13 ม.ค. 2021 เวลา 10:45 • กีฬา
ถ้าหากคุณไปถามแฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ว่าใครคือนักเตะเจ้าของเสื้อหมายเลข 7 ที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ เชื่อว่าคำตอบคงแตกต่างกันไป
บางคนอาจชอบความเป็นศิลปิน และความเป็นผู้นำของ เอริก คันโตน่า
บางคนอาจหลงใหลความสง่างามในการปั่นโค้งของ เดวิด เบ็คแฮม
หรือบางคนอาจชื่นชมพัฒนาการจากดาวรุ่งสู่การเป็นนักเตะที่ดีที่สุดในโลกของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้
ขณะที่แฟนหงส์แดงรุ่นเดอะ ก็มีความทรงจำกับเสื้อแข่งเบอร์ 7 ที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน
ว่ากันว่าก่อนถึงยุคที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ไปสร้างความยิ่งใหญ่ให้อาณาจักร โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด คนที่เจ๋งที่สุดที่สวมเสื้อเบอร์นี้ต้องเป็น เควิน คีแกน หรือไม่ก็ เคนนี่ ดัลกลิช เท่านั้น
ลิเวอร์พูล ยังมีนักเตะที่เคยสวมเสื้อเบอร์ 7 ที่สร้างความตื่นตาตื่นใจในยุคพรีเมียร์ลีกให้เห็นหลายคน ไม่ว่าจะเป็น สตีฟ แม็คมานามาน หรือ หลุยส์ ซัวเรซ ซึ่งแม้ 2 คนนั้นจะเสกแชมป์ลีกสูงสุดให้ทีมไม่สำเร็จ แต่ไม่มีใครปฏิเสธความยอดเยี่ยมของฝีเท้าเลย
3
แต่ถ้าหากคุณไปถามแฟนบอล อาร์เซน่อล ว่า “นักเตะเบอร์ 7 ที่ดีที่สุดตลอดกาลของทีมปืนใหญ่คือใคร?”
มั่นใจได้เลยว่าคำตอบของ เดอะ กันเนอร์ส ร้อยทั้งร้อย ต้องบอกว่าเป็น โรแบร์ ปิแรส
โรแบร์ ปิแรส คือหนึ่งในสมาชิกของทีมชาติฝรั่งเศสชุดรุ่งเรืองที่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1998 ต่อด้วยยูโร 2000
แม้อาจไม่ใช่กำลังสำคัญของทีมตราไก่ใน 2 ทัวร์นาเมนต์ที่ว่า แต่เขาเป็นคนทำแอสซิสต์ประวัติศาสตร์ ด้วยการกระชากผ่าน เดเมตริโอ อัลแบร์ตินี่ และ ฟาบิโอ คันนาวาโร่ ไปสุดเส้นหลังฝั่งซ้าย ก่อนเปิดบอลตัดหน้า อเลสซานโดร เนสต้า ถวายพานให้ ดาวิด เทรเซเก้ต์ เอี้ยวตัวซัดปลิดวิญญาณ อิตาลี ในช่วง โกลเด้น โกล ของนัดชิงชนะเลิศ
ซึ่งหลังจากแอสซิสต์ลูกนั้นให้ทีมตราไก่ครองเจ้ายุโรปเพียง 2 วัน เขาเซ็นสัญญาร่วมทีม อาร์เซน่อล ด้วยค่าตัวเพียง 6 ล้านปอนด์
และแน่นอนว่านั่นคือหนึ่งในการซื้อตัวที่ดีที่สุดในชีวิตการคุมทีมของ อาร์แซน เวนเกอร์ อย่างไม่ต้องสงสัย
อันที่จริง โรแบร์ ปิแรส ไม่ใช่คนสายเลือดฝรั่งเศส เขามีคุณพ่อชื่อ อันโตนิโอ เป็นชาวโปรตุเกส ส่วนคุณแม่ชื่อ มาริเบล เป็นชาวสแปนิช
ความรักระหว่างคุณพ่อกับคุณแม่ของโรแบร์ เริ่มมาจากสงครามอาณานิคมโปรตุเกสช่วงทศวรรษที่ 70 ซึ่งโปรตุเกสต้องเกณฑ์คนหนุ่มเป็นกองกำลังทหารเพื่อไปทำศึกสงครามที่ประเทศแองโกลา
อันโตนิโอ ปิแรส ได้ตัดสินใจย้ายหนีสงครามเพื่อไปหาชีวิตที่ดีกว่าที่ดินแดนน้ำหอม และที่นั่นทำให้เขาได้พบรักกับหญิงสาวที่ชื่อ มาริเบล ก่อนที่ทั้งคู่จะได้ให้กำเนิดเด็กชายที่กลายเป็นสุดยอดนักฟุตบอลในเวลาต่อมา
ถึงแม้ โรแบร์ ปิแรส จะลืมตาดูโลกที่เมืองแร็งส์ ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศส แต่ด้วยความที่ภาษาเฟร้นช์ไม่ใช่ภาษาพ่อภาษาแม่ นั่นทำให้เขาเจอความยากลำบากในการสื่อสารกับเพื่อนที่โรงเรียน
สิ่งที่ทำให้เขาเติบโตขึ้นมาได้อย่างแข็งแกร่ง มีเพียงความรักในกีฬาฟุตบอล ที่พ่อกับแม่บังเกิดเกล้าของเขาปลูกฝังให้ตั้งแต่ยังเล็กเท่านั้น
อันโตนิโอ คุณพ่อของโรแบร์ เป็นแฟนบอลของ เบนฟิก้า และมักจะพาลูกชายไปดูตัวเองเล่นฟุตบอลทุกคืนวันเสาร์ ส่วนคุณแม่อย่าง มาริเบล ก็เป็นแฟนบอลตัวยงของ เรอัล มาดริด
ปิแรส เคยเผยว่า นักเตะที่เป็นไอดอลของเขาในวัยเด็กคือ มิเชล อดีตเพลย์เมกเกอร์ระดับตำนานของทีมราชันชุดขาว นั่นทำให้ตำแหน่งที่เขาเริ่มเล่นไม่ใช่ปีก แต่เป็นมิดฟิลด์ตัวกลาง
ตอนที่ โรแบร์ ปิแรส อายุ 15 ปี เขาตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนเพื่อไปล่าฝันกับเส้นทางลูกหนัง โดยเข้าสู่อะคาเดมี่ของ แร็งส์ ทีมในเมืองที่เขาเกิด
1
อันที่จริง ปิแรส ไม่ค่อยแน่ใจนักว่านั่นคือการตัดสินใจที่คุ้มค่า แต่เป็นเพราะมารดาบังเกิดเกล้าอย่าง มาริเบล ยืนหยัดว่าลูกชายคนเก่งของเขาจะต้องเอาดีกับการเป็นนักฟุตบอลให้ได้เท่านั้น เขาจึงเซ็นสัญญาเป็นนักเตะเยาวชนของ แร็งส์ อย่างไม่ลังเล
หลังจากเข้าฝึกในอะคาเดมี่ของ แร็งส์ ได้ 4 ปี พอถึงปี 1992 เขาก็เซ็นสัญญาร่วมทีม เม็ตซ์ ซึ่งในตอนนั้นยังเล่นในลีกสูงสุด ก่อนได้รับการเลื่อนชั้นขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่หลังจากนั้นแค่ปีเดียว
ฟิลิปป์ ฮินช์แบร์เกอร์ อดีตโค้ชทีมสำรองของเม็ตซ์ คือบุคคลสำคัญที่ทำให้ โรแบร์ ปิแรส กลายเป็นปีกพรสวรรค์สูงในเวลาต่อมา
ปิแรส เคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร ฟร้องซ์ ฟุตบอล เมื่อปี 2014 ว่า “เขาคือคนแรกที่จับผมไปเล่นเป็นปีกซ้าย ก่อนหน้านั้นผมเล่นตำแหน่งหมายเลข 10”
“ฮินช์แบร์เกอร์ได้เห็นการเล่นของผม และวันหนึ่งเขาเข้ามาบอกผมว่า “โรแบร์ ฉันรู้ว่านายไม่ได้ถนัดเท้าซ้าย แต่ฉันอยากให้นายลองไปเล่นตรงนั้น” ซึ่งผมก็แปลกใจ เพราะในตอนนั้นมีนักเตะถนัดขวาแค่ไม่กี่คน ที่เล่นเป็นปีกซ้าย”
และเรื่องราวหลังจากนั้นกลายเป็นประวัติศาสตร์ เมื่อ โรแบร์ ปิแรส พัฒนาตัวเองกลายเป็นหนึ่งในปีกที่ดีที่สุดของวงการฟุตบอลฝรั่งเศส
1
ตลอด 6 ฤดูกาลที่ ปิแรส เป็นนักเตะของ แอฟเซ เม็ตซ์ เขายิงไปถึง 47 ประตูจากการลงสนาม 195 นัดรวมทุกรายการ
ในฤดูกาล 1995-96 เขายิงในลีกสูงสุดฝรั่งเศสไปถึง 11 ลูก ช่วยให้ เม็ตซ์ จบฤดูกาลด้วยอันดับ 4
และที่สำคัญกว่านั้นคือเขาเป็นตัวหลักช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ เฟร้นช์ ลีก คัพ ไปครอง และนั่นคือแชมป์ระดับเมเจอร์รายการสุดท้ายของสโมสรมาจนถึงทุกวันนี้
ช่วงปี 1996 และ 1997 เบนฟิก้า ซึ่งเป็นทีมโปรดของคุณพ่อต้องการดึงตัวเขาไปเล่นที่โปรตุเกส แต่ ปิแรส ปฏิเสธโอกาสนั้น เพราะมองว่าเขากำลังไปได้สวยกับการเล่นฟุตบอลที่แดนน้ำหอม จึงยังไม่ต้องการรีบย้ายไปเล่นกับทีมใหญ่ในต่างแดน
การเล่นในลีกฝรั่งเศสต่อไปคือการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะในเดือนสิงหาคม 1996 โรแบร์ ปิแรส ถูกเรียกตัวติดทีมชาติชุดใหญ่เป็นครั้งแรก และรักษาตำแหน่งในทีมชาติเอาไว้ได้อย่างต่อเนื่อง
อันที่จริง ปิแรส เกือบคว้าแชมป์ลีกสูงสุดสมัยแรกกับ เม็ตซ์ ตั้งแต่ซีซั่น 1997-98 แล้ว จากการที่ซัดไปถึง 11 ประตู แล้วช่วยให้ต้นสังกัดเก็บไปถึง 68 แต้มจาก 34 นัด
แต่มันน่าเสียดายที่ เม็ตซ์ มีผลต่างประตูได้-เสียเป็นรอง โมนาโก เพียง 5 ลูก ทำให้เขาได้แค่ตำแหน่งรองแชมป์ลีกไปอย่างน่าเจ็บปวด
อย่างไรก็ตาม ด้วยฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยม ทำให้ โรแบร์ ปิแรส มีชื่อติดทีมตราไก่ชุดสู้ศึกฟุตบอลโลก ฟร้องซ์ 98 ที่ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพ และหลังจบทัวร์นาเมนต์นั้น เขาคือส่วนหนึ่งของทีมชาติชุดแชมป์โลกสมัยแรก
1
ผลงานที่โดดเด่นยังทำให้ ปิแรส ได้เซ็นสัญญาไปร่วมทีม โอลิมปิก มาร์กเซย ซึ่งเป็นสโมสรมหาอำนาจของประเทศในปี 1998 อีกด้วย
โดยค่าตัวในการย้ายไปร่วมทัพโอแอ็ม มีมูลค่าอยู่ที่ 5 ล้านปอนด์ ซึ่งถือเป็นราคาที่แพงที่สุดของการซื้อขายระหว่าง 2 สโมสรในฝรั่งเศส ณ เวลานั้น
อย่างไรก็ตาม การย้ายไปเล่นให้สโมสรที่ใหญ่ขึ้นของประเทศ แถมเป็นการย้ายทีมด้วยค่าตัวไม่ใช่น้อยๆ มันกลับกลายเป็นทำให้ ปิแรส ลงเล่นภายใต้เครื่องแบบ มาร์กเซย ด้วยความกดดัน
จากที่เคยยิงในลีกสูงสุดได้ไม่น้อยกว่าฤดูกาลละ 10 ประตูได้ 3 ซีซั่นติดต่อกัน กลายเป็นว่าเขายิงให้ มาร์กเซย ในเกมลีกแค่ 8 ประตูตลอด 2 ฤดูกาลที่ค้าแข้งในถิ่น สต๊าด เวโรโดรม
ฤดูกาล 1998-99 ถือเป็นซีซั่นที่น่าเจ็บปวดสำหรับ ปิแรส เพราะ มาร์กเซย พลาดแชมป์ลีกด้วยการตามหลัง บอร์กโดซ์ เพียงคะแนนเดียว แถมยังแพ้ ปาร์ม่า ยับเยิน 3-0 ในรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า คัพ ด้วย
แฟนบอลทีมโอแอ็ม ถือว่ามีแพชชั่นที่รุนแรง และคาดหวังความสำเร็จไว้สูง เมื่อทีมอกหักจากโทรฟี่ ทำให้ โรแบร์ ปิแรส เจอปัญหาโดนแฟนบอลทีมตัวเองกดดัน บ้างก็มีการเหยียดเชื้อชาติ จนทำให้เขาไม่มีความสุข
ซีซั่นที่สองของเขากับ มาร์กเซย ถือว่าแย่ยิ่งกว่าเดิม จากการที่อันดับในลีกเลวร้ายถึงขั้นเกือบตกชั้น
ส่วนบอลถ้วยก็ตกรอบอย่างรวดเร็ว นั่นทำให้ โรแบร์ ปิแรส ไปพูดคุยกับเจ้าของทีม โอลิมปิก มาร์กเซย เป็นการส่วนตัว ก่อนได้รับการตกลงว่า เขาจะได้ย้ายทีมเมื่อจบศึกยูโร 2000
ถึงแม้ผลงานกับ มาร์กเซย จะน่าผิดหวัง แต่สำหรับการเล่นระดับทีมชาติ ถือว่า ปิแรส ยังมีประโยชน์กับทีม นั่นทำให้เขายังเป็นหนึ่งในทีมตราไก่ชุดคว้าแชมป์ยูโร 2000 โดยเป็นซูเปอร์ซับในนัดชิงชนะเลิศ เมื่อทำแอสซิสต์ให้ ดาวิด เทรเซเก้ต์ ซัดประตูโกลเด้นโกลดับฝันอิตาลี
ในช่วงซัมเมอร์ปี 2000 โรแบร์ ปิแรส ได้รับความสนใจจาก เรอัล มาดริด ทีมโปรดของคุณแม่ซึ่งเพิ่งคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และคราวนี้เป็นอีกครั้งที่เขาปฏิเสธโอกาสไปร่วมทีมโปรดของบิดามารดา
ปิแรส มองว่า เขาอยากเล่นร่วมกับเพื่อนร่วมทีมชาติฝรั่งเศสที่ตัวเขาเองเข้ากันได้ดี จึงตัดสินใจย้ายไปร่วมทีม อาร์เซน่อล แทน เพราะมีทั้ง เธียร์รี่ อองรี กับ ปาทริค วิเอร่า เป็นกำลังหลัก ขณะที่ ซิลแว็ง วิลตอร์ ก็กำลังจะย้ายจาก บอร์กโดซ์ ตามไปอยู่ด้วยเช่นกัน
ปิแรส เคยเล่าให้ฟังว่า การปฏิเสธโอกาสไปร่วมทีมราชันชุดขาว แล้วไปเล่นที่อังกฤษแทน ทำให้คุณแม่ของเขาไม่พอใจอย่างมาก
“คุณแม่ของผมซึ่งเป็นชาวสแปนิชบอกว่า “แกบ้าไปแล้ว แกไม่รู้ภาษาอังกฤษด้วยซ้ำ ด้วยความเก่งของแก แกควรต้องไปเล่นที่สเปน!” ซึ่งหลายคนพยายามบอกว่า คุณไม่มีทางปฏิเสธมาดริดได้ แต่ผมทำให้เห็น”
2
แน่นอนว่าบุคคลสำคัญอีกหนึ่งคน ที่ทำให้ โรแบร์ ปิแรส ปฏิเสธโอกาสย้ายไปเล่นในถิ่น ซานติอาโก้ เบร์นาเบว แล้วเลือกซบทีมปืนใหญ่แทน ก็คือกุนซือชาวเฟร้นช์แมนอย่าง อาร์แซน เวนเกอร์
ปิแรส ให้สัมภาษณ์ในวันเปิดตัวเป็นนักเตะ อาร์เซน่อล ด้วยค่าตัว 6 ล้านปอนด์ว่า เขาเชื่อว่า อาร์แซน เวนเกอร์ ซึ่งเป็นกุนซือสัญชาติเดียวกัน น่าจะทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่เก่งขึ้นได้มากกว่า หลังจากมีตัวอย่างให้ดูนับไม่ถ้วน
“ผมมีความชื่นชมและเคารพต่อ อาร์แซน เวนเกอร์ อย่างมาก เขาเปลี่ยนแปลงเส้นทางอาชีพของเพื่อนร่วมชาติของผมอย่าง เธียร์รี่ อองรี, ปาทริค วิเอร่า, เอ็มมานูเอล เปอตีต์ และแน่นอน… นิโกล่าส์ อเนลก้า ให้กลายเป็นสุดยอดนักเตะได้”
“ผมได้สโมสรใหม่ และผมมีความสุขที่จะได้ร่วมงานกับเพื่อนร่วมทีมชาติฝรั่งเศสอีกครั้ง ผมตั้งตารอคอยช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นกับ เดอะ กันเนอร์ส จริงๆ”
ช่วงแรกๆ ที่ โรแบร์ ปิแรส เพิ่งย้ายไปเล่นในพรีเมียร์ลีกใหม่ๆ ถือว่าไม่ค่อยน่าจดจำมากนัก
การลงสนามให้ อาร์เซน่อล นัดแรกของ ปิแรส จบลงด้วยการที่ต้นสังกัดใหม่ของเขาพ่ายแพ้ โดยปีกเคราแพะถูกส่งลงสนามแทน เฟรดริก ลุงเบิร์ก ในครึ่งหลังของเกมที่บุกแพ้ ซันเดอร์แลนด์ 1-0
จากนั้น อาร์แซน เวนเกอร์ ลองส่ง ปิแรส ลงตัวจริงในพรีเมียร์ลีกอีก 5 นัดติดต่อกัน ซึ่งแม้ว่าทีมปืนใหญ่จะไม่แพ้เลยใน 5 เกมนั้น แต่ดาวเตะเจ้าของเสื้อหมายเลข 7 ไม่สามารถทำประตูหรือแอสซิสต์ให้เพื่อนได้เลยแม้แต่ลูกเดียว
ปิแรส เผยว่า เวนเกอร์ พยายามกระตุ้นให้เขาตัดสินใจในการเล่นให้เร็วขึ้น เพราะการเข้าปะทะของฟุตบอลที่อังกฤษเร็วกว่าที่ฝรั่งเศสมากนัก
และหลังจากนั้นไม่นาน ปิแรส ก็ค่อยๆ เรียกฟอร์มสุดยอดสมัยที่เคยโดดเด่นกับ เม็ตซ์ ตอนเป็นดาวรุ่งกลับคืนมา
ปิแรส ยิงประตูแรกในสีเสื้ออาร์เซน่อล ได้เมื่อวันที่ 17 ตุลาคมปี 2000 โดยกระชากไปซัดใส่ ลาซิโอ ได้อย่างสุดสวย ช่วยให้ทีมปืนใหญ่ตามตีเสมออินทรีฟ้าขาวชุดดรีมทีมได้ถึงกรุงโรม 1-1 ในช่วงท้ายเกมของศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม
ถัดจากนั้นเพียง 4 วัน เขาทำประตูแรกของตัวเองในพรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ ช่วยให้ทีมบุกชนะ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ที่มี แฮร์รี่ เร้ดแน็ปป์ เป็นกุนซือได้ 2-1
ฤดูกาล 2000-01 ถึงแม้ อาร์เซน่อล จะไม่มีแชมป์ติดมือ แต่ชื่อของ โรแบร์ ปิแรส ค่อยๆ เข้าไปอยู่ในใจแฟนบอล เดอะ กันเนอร์ส มากขึ้นเรื่อยๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การยิงใส่คู่ปรับตลอดกาลอย่าง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ได้ถึง 2 ครั้ง ทั้งในลีก และเกม เอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ มันยิ่งทำให้เขาเป็นที่รักของเด็กปืนอย่างรวดเร็ว
จากนั้นพอถึงฤดูกาล 2001-02 โรแบร์ ปิแรส ที่ปรับตัวเข้ากับฟุตบอลอังกฤษได้อย่างเต็มรูปแบบแล้ว ก็ระเบิดฟอร์มเทพกลายเป็นหนึ่งในปีกที่อันตรายที่สุดของพรีเมียร์ลีก
ปิแรส ยิงไปถึง 9 ประตู และเป็นผู้เล่นที่แอสซิสต์มากที่สุดในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนั้นถึง 12 ลูก ซึ่งหากนับรวมทุกรายการ เขาซัดไปถึง 14 ประตู ช่วยให้ทีมปืนใหญ่ทวงความยิ่งใหญ่คืนจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้สำเร็จ ด้วยการคว้าดับเบิ้ลแชมป์ทั้งพรีเมียร์ลีก และ เอฟเอ คัพ
ผลงานสุดยอดของ ปิแรส ในฤดูกาลนั้น การันตีด้วยการมีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมแห่งฤดูกาลของพีเอฟเอ และคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำปี จากสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษ
หนึ่งในประตูที่คลาสสิคที่สุดที่ ปิแรส ยิงได้ในฤดูกาลนั้น คือการยิงใส่ แอสตัน วิลล่า ในเกมที่บุกชนะถึง วิลล่า พาร์ค 2-1 จากการกระดกบอลหลบ จอร์จ บัวเต็ง แล้วชิพบอลข้าม ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล ลอยเสียบใต้คานเข้าไปอย่างเหนือชั้น
ขณะที่ประตูที่สวยที่สุดของทีมในซีซั่นนั้น ที่ เดนนิส เบิร์กแคมป์ โชว์ทักษะระดับโลกด้วยการพลิกตัวแตะบอลหลบ นิคอส ดาบิซาส แล้วอ้อมไปอีกฝั่งเข้าไปยิงใส่ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ก็มาจากการแอสซิสต์ให้ของ ปิแรส ด้วยน้ำหนักที่ยอดเยี่ยม
น่าเสียดายที่เขาเจออาการบาดเจ็บเอ็นเข่าอย่างรุนแรงในช่วงท้ายฤดูกาล จึงพลาดติดทีมชาติฝรั่งเศสไปสู้ศึกฟุตบอลโลก 2002 ที่ทวีปเอเชียอย่างน่าเสียดาย
การที่ทีมตราไก่ต้องขาดปีกตัวสำคัญอย่างเขาไป กลายเป็นความเสียหายถึงขั้นตกรอบแรก ชนิดที่ไม่ชนะใครเลย ในการเจอทีมอย่าง เซเนกัล, เดนมาร์ก และอุรุกวัย
แน่นอนว่าฤดูกาลที่ดีที่สุดของ โรแบร์ ปิแรส กับ อาร์เซน่อล คือตอนที่ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกแบบไร้พ่ายได้ในฤดูกาล 2003-04
ถ้าหาก เธียร์รี่ อองรี คือพระเอกประจำทีม ตำแหน่งเพื่อนพระเอกที่มีบทบาทสำคัญที่สุด ย่อมหนีไม่พ้น ปิแรส ที่ยิงไปถึง 14 ประตู และทำอีก 7 แอสซิสต์ในฤดูกาลนั้น
ระหว่างซีซั่น 2001-02 จนถึง 2004-05 ถือเป็นช่วงเวลาที่ ปิแรส มีแชมป์ติดมือกับทีมปืนใหญ่ทุกปี ถ้าหากไม่ได้แชมป์ลีก ก็ต้องมีถ้วย เอฟเอ คัพ มาประดับบารมีได้ตลอด
อย่างไรก็ตาม พอถึงฤดูกาล 2005-06 เขาเจอปัญหาเรื่องการต่อสัญญาฉบับใหม่กับทีม เพราะ ณ เวลานั้น ปิแรส อายุย่างเข้า 32 ปี และต้องการสัญญาเพิ่มอีก 2 ปี แต่สโมสรมีนโยบายต่อสัญญานักเตะอายุเกิน 30 แบบปีต่อปีเท่านั้น
การที่ อาร์แซน เวนเกอร์ เซ็นสัญญาคว้าตัว อเล็กซานเดอร์ คเล็บ ตัวรุกจอมเทคนิคทีมชาติเบลารุสจาก สตุ๊ตการ์ท ในช่วงซัมเมอร์ปี 2005 ถือเป็นการลดโอกาสลงตัวจริงของ ปิแรส ไปอย่างปฏิเสธไม่ได้ และนั่นคืออีกปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้ดาวเตะชาวฝรั่งเศสรายนี้ ตัดสินใจอำลาทีมเมื่อจบซีซั่น
การลงสนามให้ อาร์เซน่อล เป็นนัดสุดท้ายของ โรแบร์ ปิแรส มันควรเป็นเกมที่น่าจดจำ เพราะมันคือนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ บาร์เซโลน่า โดยที่เขาพาทีมปืนใหญ่ผ่านเข้าชิงฟุตบอลรายการใหญ่สุดของยุโรปได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
แต่การโดนใบแดงของ เยนส์ เลห์มันน์ ตั้งแต่นาทีที่ 18 บีบบังคับให้ อาร์แซน เวนเกอร์ ต้องเปลี่ยนนักเตะเอาต์ฟิลด์ออกจากสนาม 1 คนเพื่อส่งผู้รักษาประตูลงไปทำหน้าที่แทน
และคนที่โชคร้ายก็คือ ปิแรส ที่ต้องโดนเปลี่ยนให้ มานูเอล อัลมูเนีย ลงไปแทน ทำให้เขามีเวลาในสนามเพียงแค่ไม่ถึง 20 นาที
เรื่องที่น่าเจ็บปวดยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ ทีมปืนใหญ่พลาดชัยชนะไปแบบน่าเสียดาย เพราะแม้ว่า โซล แคมป์เบลล์ จะเติมขึ้นไปโขกให้ อาร์เซน่อล ออกนำ 1-0 ในครึ่งแรก แต่บาร์ซ่าพลิกแซงได้ในช่วง 14 นาทีสุดท้าย
ปิแรส ต้องอำลาทีมปืนใหญ่ก่อนที่สนาม เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม จะเปิดใช้งานในปี 2006 เสียอีก
โดยเกียรติประวัติของเขากับ อาร์เซน่อล คือแชมป์พรีเมียร์ลีก 2 สมัย และแชมป์ เอฟเอ คัพ อีก 2 ครั้ง โดยติดทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของพีเอฟเอ ได้ถึง 3 ฤดูกาล จากช่วงเวลา 6 ปีที่เขาเล่นที่อังกฤษ
ในปี 2006 โรแบร์ ปิแรส ที่กลายเป็นนักเตะไม่มีค่าตัว เกือบย้ายไปเล่นที่สกอตแลนด์กับ กลาสโกว์ เรนเจอร์ส อยู่แล้ว แต่เขาเลือกเซ็นสัญญาย้ายไปเล่นที่สเปนกับ บียาร์เรอัล แทน เพื่อจะได้ใกล้ชิดกับคุณแม่ที่ใช้ชีวิตในแดนกระทิงดุ
1
แน่นอนว่าหลังจาก ปิแรส ย้ายออกจาก อาร์เซน่อล เส้นทางนักฟุตบอลของเขาก็ไม่ได้พีคเหมือนเดิมอีก
เพราะด้วยอายุที่โรยราลงไปเยอะ ทำให้เขาไม่ประสบความสำเร็จนักกับการค้าแข้งที่ บียาร์เรอัล 4 ปี ตามด้วยไปเล่นกับ แอสตัน วิลล่า เป็นช่วงสั้นๆ ในครึ่งหลังของซีซั่น 2010-11 แล้วจึงว่างเว้นจากฟุตบอลอาชีพนาน 3 ปี ก่อนคัมแบ็กไปเล่นในลีกอินเดียเมื่อปี 2014 และประกาศแขวนสตั๊ดในปี 2016
อย่างไรก็ตาม ด้วยความสำเร็จที่เขาเคยคว้าได้กับ อาร์เซน่อล ทำให้เขาถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในปีกที่ดีที่สุดตลอดกาลในประวัติศาสตร์ทีมปืนใหญ่ และเป็นผู้เล่นเจ้าของเสื้อหมายเลข 7 ที่ดีที่สุดตลอดกาลของทัพ เดอะ กันเนอร์ส
1
สิ่งที่ผู้คนจดจำเขายิ่งกว่าเรื่องของถ้วยแชมป์ ก็คือลีลาเหนือชั้นในสนาม
ทักษะการเล่นกับลูกบอลที่เนียนตา
การยิงประตูได้อย่างสวยงาม
1
การทำแอสซิสต์แบบถวายพานให้เพื่อน
ไปจนถึงใบหน้าติดเคราแพะ ที่ดูเป็นแบดบอยที่เท่สุดๆ
และถ้าเราจะบอกว่า โรแบร์ ปิแรส คือหนึ่งในไอดอลของปีกซ้ายถนัดขวายุคปัจจุบัน ก็คงไม่ใช่การพูดเกินไปเลย...
#เสียบสามเหลี่ยม #ปิแรส #เวนเกอร์ #อาร์เซน่อล #พรีเมียร์ลีก #ตำนานนักเตะ
โฆษณา