14 ม.ค. 2021 เวลา 06:57 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
ปัญญาประดิษฐ์​ หรือที่เรียกกันว่า​ AI ( Artificial Intelligence​ ) คืออะไรกันนะ ???
เริ่มต้นกับการเขียนบล็อคครั้งแรกของผมขอแนะนำตัวข้างต้นก่อนนะครับ​ สวัสดีครับผม​คือ
''​ หมีอ้วน​ ''​ เป็นนักเขียนมือใหม่ที่ชอบในการเขียน
ขอฝากเนื้อฝากตัวกับนักอ่านทุกๆท่านด้วยนะครับถ้ามีส่วนใดผิดหรือไม่เข้าใจขอประทานโทษ​ ณ​ จุดๆนี้ด้วยนะครับเพราะพึ่งหัดเขียนครั้งแรก
เอาล่ะเรามาเริ่มเข้าเรื่องของเรากันเลยดีกว่า​ สำหรับเจ้า​ ''​ ปัญญาประดิษฐ์​ ''​ หรือที่คนทั่วไปเรียกกันว่า​ ''​ AI​ ''​ สรุปแล้วคืออะไรกันแน่นะมุยๆ?
และมันมีประโยชน์อะไรในการดำเนินชีวิตประจำวันของมนุษย์กันนะ​ เราค่อยๆมาทำความเข้าใจกันไปนะมุยๆ
1
.
.
.
💡ปัญญาประดิษฐ์ (AI : Artificial Intelligence)
ปัญญาประดิษฐ์ (AI : Artificial Intelligence)  เป็นระบบประมวลผลที่มีต้นแบบมาจากโครงข่ายประสาทของมนุษย์สามารถเรียนรู้และเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลได้ตามจํานวนข้อมูลที่เพิ่มขึ้นผ่านกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเอง
ซึ่งสามารถจดจํา คิด วิเคราะห์เรียนรู้และเชื่อมโยงข้อมูลต่างๆที่ซับซ้อนได้อย่างรวดเร็ว (Deep Learning) เสมือนระบบสมองของมนุษย์ จึงอาจเรียกได้ว่า “สมองกลอัจฉริยะ”
1
ดังนั้น AI จึงถือเป็นเทคโนโลยีที่ร้อนแรงที่สุดในปัจจุบันและเข้ามามีบทบาทสําคัญต่อการใช้ชีวิตการทํางาน รวมถึงการนํามาใช้ในการเสริมศักยภาพทางธุรกิจและอุตสาหกรรม
ซึ่งจะสามารถส่งผลต่อการเจริญเติบโต ทางด้านเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนของประเทศ สำหรับปัญญาประดิษฐ์หรือ Artificial Intelligence นั้น เราสามารถแยกออกได้เป็น 2 คำ ได้แก่
“Artificial” มีความหมายว่า สิ่งที่ไม่มีชีวิต ถูกสร้างหรือสังเคราะห์ขึ้นโดยมนุษย์
“Intelligence” มีความหมายว่า ความฉลาด ความคิดคำนวณที่จะนำไปสู่ผลสำเร็จ
ซึ่ง AI ก็ถูกแบ่งออกเป็นหลายระดับตามความสามารถหรือความฉลาด โดยจะวัดจากความสามารถในการ ให้เหตุผล การพูด และทัศนคติของ AI ตัวนั้นๆ เมื่อเปรียบเทียบกับมนุษย์อย่างเราๆ
1
AI ถูกจำแนกเป็น 3 ระดับตามความสามารถหรือความฉลาดดังนี้
1 ) ปัญญาประดิษฐ์เชิงแคบ​ (Narrow AI ) หรือ ปัญญาประดิษฐ์แบบอ่อน (Weak AI)
คือ AI ที่มีความสามารถเฉพาะทางได้ดีกว่ามนุษย์(เป็นที่มาของคำว่า Narrow(แคบ) ก็คือ AI ที่เก่งในเรื่องเเคบๆหรือเรื่องเฉพาะทางนั่นเอง)
อาทิ เช่น AI ที่ช่วยในการผ่าตัดที่อาจจะเชี่ยวชาญเรื่องการผ่าตัดกว่าคุณหมอยุคปัจจุบันแต่แน่นอนว่า AI ตัวนี้ไม่สามารถที่จะทำอาหาร ร้องเพลง หรือทำสิ่งอื่นที่นอกเหนือจากการผ่าตัดได้นั่นเอง ซึ่งผลงานวิจัยด้าน AI ณ ปัจจุบัน ยังอยู่ที่ระดับนี้
2​ ) ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (General AI )
คือ AI ที่มีความสามารถระดับเดียวกับมนุษย์ สามารถทำทุกๆอย่างที่มนุษย์ทำได้และได้ประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงกับมนุษย์
3​ ) ปัญญาประดิษฐ์แบบเข้ม (Strong AI )
คือ AI ที่มีความสามารถเหนือมนุษย์ในหลายๆด้าน
โดยสรุป​ : ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI เป็นเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สามารถรับมือกับปัญหาที่ซับซ้อนเกินกว่าที่มนุษย์จะสามารถรับมือได้ เเละ AI ยังเป็นเครื่องมือที่สามารถทำงานที่ซ้ำซากน่าเบื่อแทนมนุษย์ได้อย่างดีเยี่ยม โดยที่ไม่บ่น
แถมยังช่วยให้เราสามารถมีเวลาไปโฟกัสงานที่สำคัญๆและสามารถสร้างมูลค่าได้มากกว่าอีกด้วย นอกจากนี้การประยุกต์ใช้ AI ในระดับอุตสาหกรรม ยังช่วยลดต้นทุนเเละเพิ่มรายได้มหาศาล
💡เรามาดูประวัติย่อของ AI​ กันบ้างดีกว่ามุยยย
AI ถือว่าเป็นคำยอดฮิตที่ได้ยินในปัจจุบัน แม้ว่ามันจะไม่ใช่คำที่เพิ่งถูกบัญญัติขึ้นมาใหม่แต่ ในปี 1956 , กลุ่มของผู้เชี่ยวชาญแนวหน้าจากหลายๆวงการได้ร่วมกันทำงานวิจัยเกี่ยวกับ AI
ได้แก่ John McCarthy (Dartmouth College), Marvin Minsky (Harvard University), Nathaniel Rochester (IBM) และ Claude Shannon (Bell Telephone Laboratories)
โดยมีจุดประสงค์หลักของงานวิจัย คือ การค้นหามุมมองและหลักการต่างๆที่ใช้การเรียนรู้อย่างครอบคลุมเพื่อที่จะนำมาประยุกต์ใช้ให้เครื่องจักรสามารถเรียนรู้ได้เช่นกัน
💡โดยมีเนื้อหาของโครงการมีดังนี้
1.) คอมพิวเตอร์อัตโนมัติ (Automatic Computers)
2.) จะสามารถเขียนโปรเเกรมคอมพิวเตอร์โดยใช้ภาษาคอมพิวเตอร์ได้อย่างไร ( How Can a Computer Be Programmed to Use a Language?)
3.) โครงข่ายประสาทเทียม (Neural Nets )
4.) การพัฒนาด้วยตนเอง (Self-improvement )
องค์ความรู้เหล่านี้เป็นองค์ความรู้พื้นฐานที่ทำให้คอมพิวเตอร์มีความฉลาดมากขึ้น และยังทำให้ความคิดที่จะการสร้าง AI มีความเป็นไปได้มากยิ่งขึ้น
ถัดมานะครับเราจะมาดูชนิดของ AI (Type of Artificial Intelligence) ซึ่ง​ AI ถูกแบ่งออกเป็น 3 sub field ได้แก่
1) ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence)
2) การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine learning)
3) การเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning)
.
.
.
ปัญญาประดิษฐ์​เราทราบแล้วว่าคืออะไร​ แต่​ การเรียนรู้ของเครื่อง​ และ​ การเรียนรู้เชิงลึก​ คืออะไรกันนะเอ๋~~~
💡เรามาเริ่มที่​ การเรียนรู้ของเครื่อง​
( Machine Learning​ )​
คือ ศาสตร์ของการศึกษา วิธีการคิด ที่ใช้ในการเรียนรู้ จากตัวอย่าง และ ประสบการณ์ โดยมีพื้นฐานมาจากหลักการที่เชื่อว่า ทุกสิ่งอย่างมีรูปแบบหรือแบบแผน ที่สามารถบ่งบอกความเป็นไปของสิ่งนั้นๆ
ซึ่งเราสามารถที่จะนำแบบแผนนี้ มาประยุกต์ใช้เพื่อทำการทำนายถึงความเป็นไปในอนาคตได้ ( prediction ) อาทิเช่น การใช้ machine learning ในการทำนายราคาหุ้นในอนาคต จากข้อมูลกราฟในอดีตและปัจจุบัน
.
.
.
💡และมาต่อกันที่​ การเรียนรู้เชิงลึก​
( Deep Learning​ )​
เป็นซับเซตของ Machine Learning  โดย Deep Learning นั้นไม่ได้หมายความว่า มันคือการทำความเข้าใจองค์ความรู้​ในเชิงลึก แต่หมายถึงการที่เครื่องจักร(machine)ใช้หลายๆเลเยอร์(layer)ที่แตกต่างกัน
ในการทำความเข้าใจหรือเรียนรู้ข้อมูล โดยความซับซ้อนของโมเดล​ ก็แปรผันตามจำนวนของเลเยอร์​ ยกตัวอย่างเช่น  บริษัทกูเกิล ใช้ LeNet model ในการวิเคราะห์และทำความเข้าใจภาพ โดยมีการใช้เลเยอร์ทั้งหมด 22 เลเยอร์
โดยใน Deep learning , จะมีเฟสของการเรียนรู้ ที่ถูกสร้างขึ้นโดย Neural Network ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นสถาปัตยกรรมของ layer ที่แต่ละ layer ซ้อนทับกันอยู่
ถัดไปเรามาดูเรื่องของ​ AI vs. Machine Learning​ กันต่อนะมุยย​ >[]<
ในปัจจุบัน อุปกรณ์(device)ที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน หรือ เเม้กระทั้งอินเทอร์เน็ตก็มีการประยุกต์ใช้ AI  ในหลายครั้งๆ เวลาที่บริษัทใหญ่ๆจะประกาศให้โลกรับรู้ถึงนวัตกรรมใหม่สุดของพวกเขา
พวกเขามักจะใช้คำว่า AI หรือ machine learning เสมือนว่ามันเป็นคำที่ใช้เเทนกันได้ แต่อันที่จริงเเล้ว AI กับ machine learning นั้นมีข้อแตกต่างกันบางประการ
" AI- artificial intelligence คือ วิทยาศาสตร์ของการฝึกฝน เครื่องจักร โดยมีจุดประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาของมนุษย์  ถูกนิยามเมื่อ 1950s  เมื่อเหล่านักวิทยาศาสตร์เริ่มให้ความสนใจกับปัญหาที่ว่า
"คอมพิวเตอร์สามารถแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองได้อย่างไร"
(how computers could solve problems on their own.)​
ถ้าจะให้อธิบายอย่างง่ายๆ AI ก็คือ คอมพิวเตอร์ที่มีคุณสมบัติและความสามารถคล้ายมนุษย์อีกทั้งยังสามารถทำงานได้อย่างลงตัว หรือ อาจเรียกได้ว่า AI ก็คือ วิทยาศาสตร์ของการเลียนแบบทักษะของมนุษย์
Machine learning เป็นเพียงซับเซ็ตของ AI ที่จะเจาะจงไปที่การฝึกฝน​เครื่องจักร​ โดย machine ก็จะพยายามหารูปแบบ(pattern)ต่างๆของข้อมูล​ ที่ถูกใส่เข้ามาเพื่อในการ train กล่าวโดยสรุป
เราไม่จำเป็นต้องเขียนโปรแกรมหรือสร้าง model​ ขึ้นมาเอง สิ่งที่เราต้องทำก็ให้ข้อมูลหรือตัวอย่างกับตัว machine
เพราะว่า machine จะพยายามสร้าง model ที่ใช้วิเคราะห์ pattern ของข้อมูลที่ได้จากการ train โดยตัวของมันเอง ( เป็นที่มาของคำว่า machine learning นั่นเอง )
.
.
.
แล้ว AI ถูกในไปใช้ที่ไหนบ้างกันนะ⁉️
ปัจจุบัน ได้มีการนำ AI มาประยุกต์ใช้อย่างกว้างขวาง  อาทิเช่น
การนำเอา AI ไปประยุกต์ใช้ในงานที่ซ้ำซ้อน ยกตัวอย่างเช่น AI ในกระบวนการผลิตต่างๆ  ซึ่งเป็นงานต้องใช้ความปราณีต เเละ ทำเหมือนเดิมตลอดเวลา(จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิต )
การนำ AI มาประยุกต์ใช้จะช่วยเพิ่มผลผลิต เเละ ยังลดความผิดพลาดในการผลิต เพราะว่า AI  ไม่จำเป็นต้องพักและไม่มีความรู้สึกเหนื่อยล้าอีกทั้งยังไม่มีความรู้สึกเบื่อหน่ายต่องานที่ทำ​ (ไม่ขี้บ่นเหมือนคนอ่ะเนอะดีจัง)​
และการนำเอา AI มาพัฒนาผลิตภัณฑ์​ ที่มีอยู่แล้ว ก่อนจะถึงยุคของ machine learning​, product มักจะอยู่ในรูปแบบของโค้ดเเต่เพียงอย่างเดียว อยากได้อะไร มีฟังก์ชันเเบบไหน ก็ต้องลงมือทำขึ้นมาเองทั้งสิ้น
ลองนึกถึง facebook สมัยก่อนนะครับ ที่เวลาเราอัพโหลดรูปภาพ เราต้องเสียเวลามานั่งแท็กเพื่อนทีละคนๆ แต่ปัจจุบัน facebook มี AI ที่ช่วยในการแท็กรูปได้อย่างอัตโนมัติ​ (สะดวกขึ้นเยอะเลยย)​
ปัจจุบัน AI ได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในเกือบทุกอุตสาหกรรม ตั้งแต่ระดับการตลาด ไปถึงระดับห่วงโซ่อุปทาน , การเงิน , การกระบวนการทำอาหาร จากผลสำรวจของบริษัท McKinsey
พบว่า การให้บริการให้การเงิน และการสื่อสารด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย เป็นด้านที่มีการใช้ AI เป็นระดับแนวหน้า เมื่อเทียบกับด้านอื่นๆ
ขอบคุณเนื้อหาบางส่วนจาก​ : https://www.thaiprogrammer.org/2018/12/whatisai/
บทความถัดไปจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับ​
ความสามรถของปัญญาประดิษฐ์ว่ามีการทำงานอย่างไร
ยังคงซี่รี่ย์ของปัญญาประดิษฐ์​อยู่นะมุยถ้าสนใจฝากติดตามบล็อคหน้าใหม่ของหมีอ้วนด้วยน้ามุย
เป็นยังไงกันบ้างสำหรับบทความนี้​ หวังว่าคงเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านไม่มากก็น้อยนะมุย ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยนะมุ้ยย พึ่งลองหัดทำครั้งแรกอาจจะไม่ดีมาก​ สามารถติชมได้นะมุยๆๆแล้วจะนำไปปรับใช้​ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะมุยย~~
ขอบคุณมุยยยย~~🙏❤️

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา