14 ม.ค. 2021 เวลา 06:33 • กีฬา
Ray Miller 50, Malibu, CA
(November 19th 2016, 50miles 4,000m+, bib 78, finished 13:58:40)
รายการนี้เป็นรายการที่วางแผนไว้ตอนต้นปีให้เป็นรายการสุดท้ายของปี มีความคาดหวังคือPR เนื่องจากคิดว่าร่างกายคงพร้อมที่สุด และข้อได้เปรียบที่การเดินทางไปง่าย ไม่มีเรื่องtime zone และaltitudeใดๆให้ต้องกังวล
เอาเข้าจริงๆพอวันใกล้เข้ามา ความคาดหวังนั้นก็เลือนลางจนแทบริบหรี่ ย้อนหลังไปที่Kodiak50เดือนกันยายนที่ไปค้างในป่าอยู่เกือบ16ชม. หลังจากพักหายเซ็งก็ออกไปวิ่งซ้อมครั้งแรกสำหรับLong Beach Marathonจนเจ็บ มาราธอนครั้งนั้นแทนที่จะเป็นอีกPRก็เป็นแค่การประคองตัวเองไปให้จบ หลังจากLong Beachมีเวลา6สัปดาห์สำหรับRay Miller นอกจากอาการเจ็บที่ไม่หายแล้ว ยังต้องมีเหตุให้กลับบ้านเกิดอีก2สัปดาห์ กลับมาป่วยเป็นหวัด แม้เช้าวันวิ่งก็ยังทานยาและสั่งขี้มูกอยู่ 6สัปดาห์นี้วิ่งรวมไปทั้งสิ้น66ไมล์ โดยที่การซ้อมสำหรับระยะนี้อย่างน้อยที่สุดต้องมี50ไมล์ขึ้นไปต่อหนึ่งสัปดาห์
Ray Millerนี้ไม่เปิดโอกาสให้เลื่อนเปลี่ยนปี คืนเงิน หรือเปลี่ยนคนวิ่งเลย ทางเลือกที่มีคือไปลองวิ่ง หรือไม่ก็ทิ้งไปเลย ตามสภาพที่เจ็บจนทำให้ซ้อมไม่ได้ สิ่งเดียวที่ทำได้คือการวางแผนเอาตัวรอด เปลี่ยนท่าวิ่ง บังคับก้าวขาสั้นๆให้อยู่ใต้ลำตัวตลอดเวลา ศึกษาระยะแต่ละช่วงและความชัน เพื่อประเมินว่าจะลองวิ่งด้วยpaceเท่าไหร่ถ้าวิ่งได้ สรุปออกมาเข้าข้างตัวเองมากว่าถ้าจบได้น่าจะจบที่13ชม. เพราะดูจากprofileแล้ว "14,000 feet gain and lose" ทำให้เข้าใจว่าขึ้น7,000ลง7,000ซึ่งความสูงขนาดนี้ถึงจะไม่ฟิตแต่พอมีลุ้น และถ้าไปไม่ไหวก็จะหยุด หรือถ้าช้ามากเค้าจะดร๊อปเราไปที่ระยะ50กิโลเอง
ศุกร์ที่18
เสร็จงานเย็นก็ออกเดินทางไปค้างที่เมืองCarmarillo ที่นี่ห่างจากจุดเริ่มวิ่งราวๆ15นาที เชคอินก้าวเท้าเข้าห้อง เสียงเพลงดังสนั่น ไม่อยากเสี่ยงรีบกลับไปขอเปลี่ยนห้องทันที เข้าที่พักจัดของอีกนิดก็เข้านอน เจอแจ๊กพอตราวเที่ยงคืนข้างห้องมีปาร์ตี้ ก็ไม่ว่ากัน ไม่คาดหวังอะไรมากกับคืนก่อนวิ่งอยู่แล้ว
เสาร์19
ลุกขึ้นตี4 ทานกาแฟ อาบน้ำเข้าห้องน้ำเสร็จก็ออกเดินทาง ไปถึงต้องเชคอิน ติดเบอร์ ดร๊อปถุง เชคอุปกรณ์ เข้าห้องน้ำ เฉียดฉิวมากๆ 6:00เป๊ะปล่อยตัว
รายการนี้มีระยะ30k 50k และ50mi โดยรวมก็เป็นรายการเล็กๆ ค่าลงทะเบียนไม่ถูก คอร์สสวยจับใจทีเดียว สำหรับ50miนี้ 23miแรกเป็นขึ้นๆลงๆเขาขนาดกลางๆ พื้นtrailไม่โหดหินอะไรมาก เรียกว่าก็ถูๆไถๆพอไปได้ระยะห่างของaid stationก็ต่ำกว่า7ไมล์ซึ่งไม่ต้องกังวลมากกับสัมภาระและน้ำ
ที่มาหนักคือราวๆกลางทางที่ระยะห่างระหว่างstationเป็น10ไมล์ และ11ไมล์ตามลำดับ ในช่วง10ไมล์นี้เป็นทางขึ้นชันโหดยาวเป็นระยะราวๆ6ไมล์สู่ Mt. Boney Peak ซึ่งเป็นทางที่สวยงาม มีหินยักษ์แปลกตาสวยงามมาก ลากสังขารไปถึงaid stationที่ไมล์33 อาสาสมัครยื่นdrop bagให้ แวปแรกก็นึกโหรายการนี้บริการยอดเยี่ยม เห็นเบอร์วิ่งเข้ามายื่นกระเป๋าให้เลย ไม่ใช่หรอกครับ ความจริงนี่คือกระเป๋าใบสุดท้ายที่เหลือ อาสาสมัครบอกว่าเข้ามานี่ก่อนcutoffที่จุดนี้20นาทีนะ โอ้ววว...นี่มันคนน้อยหรือว่าเราห่วยฟระ ความเจ็บปวดเริ่มเปลี่ยนเป็นแรงกระตุ้นขึ้นมาทันที ไม่คิดว่าจะไล่กวดใครได้แต่เริ่มได้กลิ่นของชัยชนะ เพราะ33ไมล์ผ่านมาแล้ว ที่เหลือ17ไมล์ดิ่งๆลงซะมาก น่าจะจบได้แน่แต่จะทัน14ชม.มั้ยนั้นต้องลุ้น
ออกตัวจากstationมาด้วยประสบการณ์ใหม่ถอดด้าม "เป็นคนสุดท้ายของcourse" สปีดเริ่มมาแต่ใจคงลอย ก้มหน้าก้มตาวิ่งออกมาได้ราวสองไมล์ เจอทางสามแยกที่ไม่มีริบบิ้น!!! โอว ณ จุดนี้ไม่มีคำบรรยายใดเหมาะสมไปกว่าF***อีกแล้ว สติเริ่มไปใจเริ่มแป้ว นี่ตูหลงมาไกลแค่ไหนแล้วเนี่ย? คือนอกจากจะไม่จบตามเวลาที่เค้าให้แล้ว ตอนนี้หมายถึงการหลงป่าแบบไม่มีใครอยู่ข้างหลัง ในเวลาที่เริ่มมืดแล้ว ชีวิตบัดซบสุดๆ
เส้นทางที่เค้าจัดให้วิ่ง, เส้นทางที่ไปหลง, จุดหักศอก
รวบรวมสติตั้งเป้าหมายใหม่ "run for life" หันหลังกลับย้อนไปทางเดิม ซึ่งขามาลงๆ ขากลับก็เนินสิครับ แต่จุดนี้จะเนินจะเหวก็ไม่สนแล้ว เร่งฝีเท้าเต็มที่ด้วยความกลัว ความผิดพลาดจุดนี้คือความผิดพลาดเดิมๆที่ใจลอย วิ่งตรงโดยไม่สังเกตุmarkerที่เป็นจุดเลี้ยวหักศอก 45นาทีที่เสียไปทำให้Garminคลาดเคลื่อน บอกได้ยากว่าอยู่ตรงไหนของคอร์ส คือแทนที่จะดูpaceและไมล์ ตอนนี้เปลี่ยนเป็นโหมดเวลาธรรมดาเพื่อให้รู้ว่ากี่โมง แล้วก็เคลื่อนตัวให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
11ไมล์กว่าจะถึงอีกaid stationนี่ก็ไกลมากๆแล้ว ดันมาหลงทางไปอีก45นาที มืดสนิท แล้วจะเร็วได้แค่ไหน จะหลงอีกมั้ย cutoffที่จุดต่อไปนี้ไมล์ที่44คือหนึ่งทุ่มครึ่ง แต่ถ้าไปถึงหนึ่งทุ่มครึ่ง อีก6ไมล์ก็ไม่ทันcutoffที่เส้นชัยสองทุ่มอยู่ดี บอกกับตัวเองว่าเลิกคำนวณเถอะ ตั้งสติให้ออกไปจากป่านี้ให้ได้ก่อนแบตเตอรี่ไฟฉายจะหมด "run for lifeๆๆๆ" มีสติมองพื้นห้ามล้ม และคอยดูริบบิ้นตามทางเพราะหลงไม่ได้อีกแล้ว ซึ่งหลังจากมืดสนิทแล้ว แต่ละครั้งที่เจอริบบิ้นนี่ต้องถึงกับหยุดไหว้กันเลยทีเดียว
มาถึงaid stationสุดท้ายราว15นาทีก่อนหนึ่งทุ่ม เช่นเคยกับการต้อนรับที่อบอุ่น รู้สึกเริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักผู้คนรอคอย อาสาสมัครบอกว่าYou've got this ซึ่งจริงๆมันไม่ง่ายเลย ทางที่เหลือคือการข้ามเขาย่อมๆหนึ่งลูก ระยะราว6ไมล์ มีความสับสนก้ำกึ่งระหว่างจะฮึดสู้หรือถอดใจ เอาว่ะเต็มที่จบอยู่แล้วแต่จะจบยังไงเท่านั้นเอง เดินไต่เขาขึ้นมาและเริ่มลาดลงกลับไปสู่ถนน เริ่มเห็นแสงไฟปลายทางส่องแสงเป็นระยะบ่งบอกว่าคืนนี้ไม่ติดอยู่ในtrailแน่ แต่ระยะห่างแค่ไหนนั้นบอกยาก การวิ่งที่ผ่านมาเกือบ3ชม.นี้เห็นแค่พื้นที่จะวางเท้าสามสี่ก้าว สลับกับเงยหัวให้ไฟส่องหาริบบิ้นที่เป็นmarkerเท่านั้น นอกนั้นดำมืดสนิทไม่เห็นทิศทางใดๆ กัดฟันเร่งฝีเท้าลงมาเต็มที่จนเริ่มเห็นซุ้มและนาฬิกาซึ่งยังแสดงตัวเลขเริ่มที่13 ใกล้ๆเข้าไปจนเห็นนาทีที่ใกล้จะถึง59 และก็ผ่านเข้าไปจบคาบเส้นที่ 13:59:02 ดราม่าสุดๆ มีคนหลงเหลือที่จุดนี้ไม่กี่คน นักวิ่งคนนึงเข้ามาทักทายว่า You are really rocking out there ซึ่งเป็นมุมมองของคนดู คือคงเห็นไฟของเราที่วิ่งไปแล่นมาในความมืดมาพักใหญ่แล้ว มันคงเป็นภาพที่สนุกลุ้นกับเวลาดี แต่มุมของเรามันคือ"run for life" เพื่อความอยู่รอดโดยแท้จริง
Finisherที่โหล่ลำดับที่71 เส้นบางๆระหว่างDid Not Start 25คน และDid Not Finish 9คน
Ray Miller 50 รายการสุดท้ายของปีที่ตั้งใจให้เป็นรายการสุดท้ายในระยะ50miและคาดหวังจะทำPR จบลงแบบคว้ารางวัลดราม่ายอดเยี่ยมแซงKodiak50ไปขาดลอย ความมืดสนิท3ชม.ระยะ12ไมล์ที่ไร้เพื่อนร่วมทาง มันThe Blair Witch Projectฉายวนสองรอบดีๆนี่เอง
สรุปรวม สมกับเป็นรายการสุดท้ายของปีและอาจเป็นรายการสุดท้ายสำหรับ50ไมล์ แม้ตอนจบไม่เป็นอย่างที่วาดฝันไว้ แต่มีอุปสรรค์มากมายที่สามารถถูไถผ่านมาได้ หนึ่งในนั้นคือความชันที่เหนือความคาดหมายคือเข้าใจผิดว่าขึ้น7,000ลง7,000 แต่ความเป็นจริงวิ่งจบไปแล้วGarminบอกว่าขึ้น13,300ฟุตลง13,300ฟุต เป็นความชันที่มากสุดเท่าที่เคยวิ่งมา ส่วนเหรียญfinisherที่ถูกส่งมาทางไปรษณีย์ก็ต้องขอบคุณมากที่ทางผู้จัดให้คุณค่าและความหมายของการเดินทางของแต่ละคน โดยไม่มีการขาดตกบกพร่องแต่อย่างใด
Last but not least
โฆษณา