16 ม.ค. 2021 เวลา 05:00 • กีฬา
[ASEAN STARS: AUNG THU "อ่อง ตู" ]
'ซูเปอร์สตาร์หมายเลข 1 ของเมียนมาร์'
นี่คือหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดของย่านอาเซียน ในปัจจุบัน แน่นอนว่าการย้ายมาเล่นใน ไทยลีก เป็นคำรมที่สองนั้นย่อมมาพร้อมความ 'กดดัน' และความ 'คาดหวัง' ของชาวเมียนมาร์ ที่อยากเห็น ซูเปอร์ สตาร์ส คนนี้เฉิดฉาย
1
ใบหน้าอันคมสัน คิ้วหนาขมวดไปพร้อมกับแววตาที่มุ่งมั่นและร่างกายสันทัด แต่ลักษณะบ่งบอกถึงความกำยำล่ำบึ้ก นี่คือลักษณะชัดเจนถึงชายคนหนึ่งผู้ที่ชีวิตก่อนหน้านี้ต้องต่อสู้มาอย่างไม่น้อยเลยทีเดียว
ใช่...อ่อง ตู คือเอกบุรุษที่เรากำลังพูดถึง
เขาไม่ได้เติบโตมาในฐานะที่มั่งคั่ง คุณพ่อเป็นตำรวจ ส่วนคุณแม่ก็ค้าขายทั่วไป เพียงสิ่งเดียวที่พอจะเป็นประกายในอนาคตคือ 'ฟุตบอล'
อ่อง ตู ใช้มันนำทางอย่างตั้งใจ และเหมือนว่าสวรรค์จะประทานพรให้กับเขา เพราะในวัยเพียง 13 ขวบ เจ้าตัวก้าวข้ามไปเล่นกับเยาวชนอายุ 19 ปี จนถูกรับเลือกให้เข้าไปเป็นหนึ่งในนักเตะของโครงการพัฒนาฟุตบอลของประเทศเมียนมาร์
ชื่อของหมอนี่เริ่มเป็นที่จับตามากยิ่งขึ้น หลายคนที่เริ่มมีชื่อเสียง อาจจะหลงระเริงกับสิ่งเร้ารอบกายจนกู่ไม่กลับ ผิดกับ อ่อง ตู ที่ยังคงฝึกฝนตนเองอย่างต่อเนื่องจนพัฒนาอย่างรวดเร็วและได้ย้ายไปเล่นกับ ยาดานาร์บอน หนึ่งในบิ๊กทีมของประเทศทั้งๆ ที่อายุเพียง 17 ปี เท่านั้น
จากผลงานที่ร้อนแรง เขาเป็นขุนพลสำคัญของเมียนมาร์ ชุดประวัติศาสตร์ที่ผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลเยาวชนโลก (อายุไม่เกิน 20) รอบสุดท้ายในปี 2014 ซึ่งทัวร์นาเมนต์นี้แม้ว่าจะไม่สามารถเก็บได้สักแต้ม แต่เจ้าตัวก็มีชื่อเป็นผู้ทำประตูในเกมพบกับเจ้าภาพ นิวซีแลนด์
มาตรฐานของแนวรุกร่างเล็กยังเสมอต้นเสมอปลายจนกลายเป็นนักเตะสำคัญของ ยาดานาร์บอน และได้รับรางวัล 'ผู้เล่นทรงคุณค่า' ของลีกในปี 2014, 2015, 2016 และ 2017 อีกทั้งยังก้าวไปติดทีมชาติชุดใหญ่ตั้งแต่อายุเพียง 19 ปี เท่านั้น
ไทยลีก ฤดูกาล 2018 เปิดรับโควตาอาเซียน สอดคล้องกับฟอร์มที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว ว่าแล้ว อ่อง ตู จึงได้ออกมาเผชิญโลกกว้างเป็นครั้งแรกในชีวิตกับ โปลิศ เทโร
ในวัย 21 ปี (ขณะนั้น) เขาต้องพบกับสังคมใหม่, วัฒนธรรมใหม่, ภาษาใหม่และอีกหลายสิ่งอย่างที่เจ้าตัวไม่เคยคิดว่าจะได้เจอ
แน่นอนว่ายิ่งกับประเทศไทย ดินแดนซึ่งมีประวัติศาสตร์ด้านสงครามกับเมียนมาร์อย่างยาวนาน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเอาชนะเบื้องลึกของจิตใจชาวสยามได้โดยง่าย
ไหนจะเรื่องของความกดดันที่แบกความหวังของชาวเมียนมาร์ ที่จับตาดูว่าแนวรุกรายนี้จะไปได้ดีขนาดไหน แถมยังมีเรื่องภาษาอันเป็นอุปสรรคใหญ่เนื่องจากเจ้าตัวยังอ่อนแอในเรื่องนี้เอามากๆ
อ่อง ตู จึงต้องพยายามอย่างหนักมากกว่าคนอื่นๆ อีกหลายเท่า
วันแล้ววันเล่าที่เขามุ่งมั่นอย่างขะมักเขม้น จากสเต็ปที่หนึ่งเป็นสองเป็นสามและก้าวไปทีละขั้นโดยไม่ยี่หระต่อขวากหนามที่คอยทิ่มแทง
3
ซีซั่น 2018 จบลง 11 ประตู กับ 8 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 30 เกม ถือเป็นผลงานที่โสภาไม่เบาเมื่อเทียบกับปีแรกบนลีกสูงสุดของสยามประเทศ
 
โปลิศ เทโร ซึ่งไม่สามารถไปต่อได้ใน ไทยลีก 2019 เนื้่องจากต้องหล่นชั้นไปอยู่ลีกรอง ทำให้หลากสโมสรต่างรุมทึ้ง อ่อง ตู ราวกับว่านี่คือเพชรที่ประกายวาววับเกินที่สายตาจะทานไหว
2
ไม่เพียงสโมสรในเมืองไทย ทีมจาก เจลีก ญี่ปุ่น ก็ให้ความสนใจแข้งเมียนมาร์ รายนี้เช่นกัน
ทว่าสุดท้ายกลายเป็น เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ที่ได้ลายเซ็นไป
"ผมแทบไม่ต้องคิดเลยตอนที่รู้ว่า เมืองทอง สนใจ การมาเล่นที่นี่ ผมก็จะทำผลงานให้ดีที่สุด เป้าหมายของผมไม่ได้ตั้งว่าจะยิงกี่ประตู เพราะผมต้องการเพียงแค่ว่าทีมชนะและได้ลุ้นแชมป์เท่านั้น" สตาร์เมียนมาร์เอ่ยสั้นๆ ถึงการย้ายสู่บิ๊กทีมของไทยแลนด์
อย่างไรก็ตามชีวิตในรั้ว เอสซีจี ไม่ได้เป็นไปดั่งหวัง อ่อง ตู ได้โอกาสเพียงน้อยนิด กับสถิติ 13 เกม (ซึ่งส่วนใหญ่ลงสนามในฐานะตัวสำรอง) และ 3 ประตู ในสีเสื้อกิเลนผยองคงจะบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเขาคงรู้สึกละเหี่ยจิตกับตนเองไม่น้อย
หมดฤดูกาล 2019 เจ้าตัวเลยต้องย้ายกลับไปตั้งหลักใหม่ในบ้านเกิด
ผลงานในการหวนคืน ยาดานาร์บอน ก็ไม่เปรี้ยงปร้างดั่งหวัง เพราะนอกจากจะไม่สามารถช่วยทีมให้ก้าวสู่ความสำเร็จในซีซั่น 2020 ได้แล้ว ฟอร์มโดยรวมของ อ่อง ตู ก็ถดถอยลงไปมาก
ทว่า 'เพชร' อยู่ที่ใดย่อมเป็น 'เพชร' แม้จะไม่เปล่งแสงแวงวับชั่วครู่ แต่ความเป็น 'เพชร' ยังคงเดิม
ธันวาคม 2020 บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จึงจัดการคว้าตัวศูนย์หน้าชาวเมียนมาร์ กลับสู่ ไทยลีก อีกหน กับภารกิจกอบกู้ปราสาทสายฟ้าในเลกที่สอง
นี่คือการกลับมาพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง แถมยังอยู่กับสโมสรใหญ่อย่าง บุรีรัมย์ อีกต่างหาก ในวัย 25 ปี เขาย่อมเรียนรู้ถึงข้อผิดพลาดที่ผ่านมาและน่าจะนำมันมาปรับปรุงแก้ไขสิ่งที่ทำให้ตนเองไปไม่สุดสมัยค้าแข้ง โปลิศ เทโร จนถึง เมืองทอง
พรสวรรค์ที่มีอยู่เต็มเปี่ยม บวกกับการได้รับแรงผลักดันอย่างหนักหน่วงจากคุณ เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรที่เข้มข้นกับฟุตบอลด้วยตนเอง น่าจะเป็นสิ่งที่ อ่อง ตู พอจะอุ่นใจได้ว่าเขาจะไม่เดียวดายเหมือนที่ผ่านมา
แม้ว่าเวลานี้ลีกจะเบรกหนีไวรัสโควิด-19 แต่ อ่อง ตู และเพื่อนๆ ยังคงฝึกซ้อมอย่างขะมักเขม้น เพื่อนำ บุรีรัมย์ กลับมายืนในจุดที่ควรอยู่
แต่เขาจะไปได้ไกลเพียงใด อยู่ที่ตัว อ่อง ตู เท่านั้นแหละ
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา