16 ม.ค. 2021 เวลา 10:12 • ไลฟ์สไตล์
วันนี้มาช้าหน่อย แต่ก็มาแล้วน้าาาา 😘
ความเดิมจากตอนที่แล้ว ยังอยู่กันที่เหตุการณ์ที่มินเข้ารับการตรวจอาการปวดท้องไม่ทราบสาเหตุ ที่โรงพยาบาลนะครับ
ก่อนจะเริ่มอ่านบทความกัน ฝากกดไลค์ กดติดตาม เพื่อเป็นกำลังใจให้แอดด้วยนะครับผม 🥺
“ทำไมต้องหลอกกัน (LIE)”
EP.3 เนื้องอกกับฝนที่ไม่มีเสียง
หลังจากที่คิวเลิกเรียน และคุยงานกลุ่มกับเพื่อนๆเสร็จ คิวก็รีบเอาโทรศัพท์ขึ้นมา เพื่อที่จะทักไปถามอาการของมิน แต่มินก็ยังตรวจอยู่ จึงเป็นฝนที่เป็นคนตอบ Line คิว
หลังจากสิ้นสุดบทสนทนากับฝน คิวก็ไปทำกิจวัตรประจำวันตามปกติ เล่นกีฬา กินข้าวเย็นกับเพื่อนๆ และกลับหอ เมื่อคิวถึงหอ มินก็คอล Line มาหาคิว มินเล่าผลตรวจให้คิวฟังว่า
“หมอบอกว่า หมอเจอเนื้องอกในช่องคลอด บริเวณปากมดลูก และตอนนี้หมอได้ขูดผนังมดลูกไปตรวจแล้ว รอฟังผลวันที่ 20 มี.ค. อีกที ว่าเป็นเนื้อดีหรือเนื้อร้าย ตอนนี้ก็รักษาตามอาการไปก่อน”
ผลตรวจออกมาเลวร้ายกว่าที่คิวจินตนาการเอาไว้มาก ไม่คิดว่าจะเป็นถึงขั้นมีเนื้องอก จึงทำให้คิวรู้สึกสงสารมินเป็นอย่างมาก ต่อหน้ามิน ตอนที่คอล Line กัน คิวก็ต้องคุยเล่นกับมิน ทำให้มินยิ้มเหมือนปกติที่คุยกัน แต่ลับหลัง หลังจากที่วางสายไป คิวต้องแอบไปร้องไห้ในห้องน้ำคนเดียว เพราะกลัวว่ารูมเมทจะเห็น
จึงทำให้ตอนนี้ เกิดความสับสนในใจของคิวเป็นอย่างมาก เนื่องจากก่อนหน้าที่มินจะมีอาการป่วย สำหรับ 2 เดือนกว่าๆที่คิวได้รู้จักกับมิน มันก็นานพอแล้วที่จะทำให้คิวรู้ว่า “มินยังไม่ใช่” เพราะนิสัยของมินบางอย่าง เช่น
1. มินชอบพูดเรื่องตาย
เนื่องจากตอนที่คิวเรียนอยู่ ม.6 กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย อาม่า (คุณย่า) ของคิวมักจะชอบพูดกับคิวว่า “เนี่ย ไม่รู้ว่าม่าจะอยู่ถึงคิวเรียนจบ รับปริญญารึเปล่า” หรือไม่ก็ “ไม่รู้ว่าม่าจะอยู่ได้อีกกี่ปี” ซึ่งคิวรู้สึกว่า การได้ยินอะไรแบบนี้ มันยิ่งทำให้เราไม่มีกำลังใจในการจะทำอะไรต่อไปเลย
อาจจะเป็นเพราะคิวรู้สึกมีปมกับเหตุการณ์แบบนี้อยู่แล้ว จึงทำให้คิวไม่ชอบมากๆ ที่บางครั้งพอมินมีอาการป่วยมากๆ มินก็จะชอบพูดว่า “เค้าน่าจะตายๆไปเลยเนอะ จะได้ไม่ต้องอยู่เป็นภาระของใคร” หรือบางครั้งที่มินทะเลาะกับคิว มินจะชอบตัดพ้อประมาณว่า “ถ้าเค้าตายไป เธอคงสบายใจกว่านี้”
2. เวลาทะเลาะกัน มินชอบร้องไห้ และเงียบใส่
สำหรับคิวแล้ว คิวรู้สึกว่า “ความเงียบไม่เคยทำให่ใครเข้าใจกัน” เวลาคิวผิดใจอะไร คิวก็อยากเคลียให้จบในวันนั้น ไม่อยากให้ใันข้ามวันข้ามคืนไป แต่มินจะชอบร้องไห้ และจะชอบทำเหมือนตัวเองโอเคแล้ว และหาเรื่องวางสายไป หลังจากวางสายก็ชอบส่งสติ๊กเกอร์มารัวๆ
3
3. มินชอบโทรจิก เวลาที่คิวไปไหนมาไหนกับเพื่อน
เวลาที่มินจะออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ คิวไม่เคยห้าม แค่จะบอกว่า “ดูแลตัวเองด้วย ว่างแล้วก็ทักมาบอกเค้านะ” แต่ในทางกลับกัน เวลาที่คิวไปเที่ยวกับเพื่อนบ้าง มินจะชอบโทรมาหาบ่อยๆ ถ้าถามว่า บ่อยแค่ไหน? เฉลี่ยประมาณ 40-60 นาที ต่อ 1 ครั้ง
โดยบางครั้งที่โทรมา เพื่อโทรมาบอกว่า “เค้าจะเอาแมวไปหาหมอนะ” หรือ “เค้ากำลังจะกินข้าวนะ” ซึ่งคิวรู้สึกว่า เรื่องแบบนี้ แชทมาบอกกันก็ได้ และยิ่งไปกว่านั้น ทุกครั้งก่อนที่จะวางสาย มินจะทำเสียงเหมือนน้อยใจ และพูดว่า “โอเค งั้นเธออยู่กับเพื่อนเธอเถอะ แค่นี้แหละ”
จากนิสัยบางอย่างของมิน บางครั้งก็ทำให้คิวรู้สึกแย่ หรือบางครั้งก็รู้สึกเหนื่อย และรู้สึกว่า สิ่งที่คิวกำลังเจออยู่มันเป็น Toxic relationship
สิ่งที่คิวต้องการจริงๆเวลามีคนคุย ก็แค่เวลาที่เราเรียน ทำงานกลับมาเหนื่อยๆ ก็แค่อยากมีใครซักคนที่คอยให้กำลังใจเรา ชาร์จแบตให้เรา หรือในวันที่คุณเหนื่อยมา เราก็พร้อมที่จะเป็นที่กำลังใจ และเป็นที่ชาร์จแบตให้คุณเช่นกัน
และไม่ใช่ว่า คิวไม่เคยคุยกับมินเรื่องนิสัยของมินตรงๆ คิวเคยคุยหลายครั้งแล้ว และทุกครั้งมินก็บอกว่า “เค้าสัญญานะว่าครั้งต่อไปเค้าจะไม่ทำอีก” ซึ่งคิวก็บอกว่า “ไม่ต้องสัญญาหรอก ค่อยๆปรับกันไปก็ได้เนอะ”
แต่ทุกครั้ง มันก็ยังไงเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลยตลอด 2 เดือนกว่าๆที่ผ่านมา เผลอๆ มันดูหนักขึ้นเรื่อยๆด้วยซ้ำ คิวจึงรู้สึกตัวแล้วว่า “จะไม่ไปต่อกับมินแน่ๆ”
แต่พอมีเรื่องเนื้องอกเข้ามา ทำให้คิวรู้สึกสงสารมินมากๆที่ต้องมาเจออะไรแบบนี้ คิวจึงตัดสินใจที่จะอยู่ดูแลมินก่อน จนกว่าจะรู้ผลตรวจเนื้องอก และไม่ว่าจะเป็นเนื้อดีหรือเนื้อร้าย ก็จะอยู่กับมินจนกว่าจะรักษาหาย และค่อยตัดสินใจเรื่องความสัมพันธ์ว่าจะเอายังไงต่อไป
วันที่ 20 มี.ค. วันที่จะได้รู้ผลตรวจเนื้องอก คิวตื่นเช้ามาตามปกติ เนื่องจากมีเรียนในช่วงเช้า ในช่วงพักเบรกของการเรียน คิวทัก Line มินไปเพื่อถามผลตรวจ
หลังจากที่โทรไป แล้วไม่มึใครรับสายได้ไม่นาน มินก็ทักคิวกลับมาแทบจะทันทีที่สายตัดไป
สิ่งนี้ทำให้คิวมีเรื่องสงสัยเพิ่มขึ้น 3 เรื่อง คือ
1. ทำไมฝนถึงไม่เคยรับสายคิวเลยซักครั้งตั้งแต่ที่รู้จักกันมา ด้วยเหตุนี้ ทำให้คิวไม่เคยได้ยินเสียงฝนเลยซักครั้ง
2. ไหนบอกว่ามินเป็นลม ทำไมพอหลังจากที่คิวโทรหา ก็ฟื้นทันทีเลยหรอ (ข้อนี้อาจจะคิดได้ว่า เป็นลมไปนานแล้ว และฟื้นพอดีกับตอนที่คิวทักไปคุยก็ได้)
3. เรื่องใบผลตรวจ หมอเขาจะเก็บไว้ แล้วไม่มีใบสรุปให้คนไข้เลยจริงๆหรอ (ข้อนี้ต้องบอกก่อนว่า คิวไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้เลย ก็เลยไม่ได้รู้สึกว่ามันแปลกเท่าไหร่)
To be continued.
วันนี้แอดมีข้อความจากเพื่อนของแอดที่เรียนหมอมาฝากทุกๆคนด้วยนะ โดยเฉพาะเพื่อนๆที่เป็นผู้หญิงนะครับ
การตรวจแปปสเมียร์ (Pap smear) เป็นวิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก โดยแพทย์จะใช้เครื่องมือสอดผ่านและถ่างช่องคลอด จากนั้นจะทำการป้ายเซลล์จากมดลูกส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจหาเซลล์ที่ผิดปกติหรือเซลล์ที่มีการเปลี่ยนแปลงซึ่งอาจทำให้เกิดมะเร็งได้
แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ถึงเวลาที่ควรเริ่มตรวจแปปสเมียร์และความถี่ที่ต้องมารับการตรวจ สมาคมโรคมะเร็งแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาได้แนะนำแนวทางการตรวจแปปสเมียร์ ดังนี้
1. สตรีทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 21 ปีขึ้นไป หรือ 3 ปีหลังจากมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก ขึ้นกับว่าเวลาใดถึงก่อน ควรเริ่มทำการตรวจแปปสเมียร์ หลังจากนั้นทำการตรวจทุก 1-2 ปี
2. สตรีที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป ควรตรวจแปปสเมียร์ทุกปี หากผลตรวจเป็นปกติติดต่อกัน 3 ปี สามารถตรวจแปปสเมียร์ทุก 3 ปีได้ ยกเว้น กลุ่มที่มีความเสี่ยงของมะเร็งปากมดลูก เช่น มีการติดเชื้อ HIV ติดเชื้อ HPV (Human Papillomavirus) มีโรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันต่ำ หรือมีมารดาที่ใช้ยา diethylstilbestrol ขณะตั้งครรภ์ ต้องทำการตรวจแปปสเมียร์ทุกปี
1
3. สตรีที่มีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป หากมีผลการตรวจเป็นปกติ 3 ปีติดต่อกัน ไม่มีผลการตรวจที่ผิดปกติในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และไม่มีปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งปากมดลูก อาจยกเลิกการตรวจแปปสเมียร์ได้
สำหรับการเตรียมตัวก่อนการตรวจแปปสเมียร์
1. ควรนัดตรวจแปปสเมียร์ในช่วงที่ไม่มีประจำเดือน
2. ห้ามสวนล้างช่องคลอดก่อนการตรวจ
3. งดมีเพศสัมพันธ์ก่อนการตรวจ 24 ชั่วโมง
4. ห้ามใช้ยาเหน็บช่องคลอด ครีม หรือยาฆ่าเชื้ออสุจิในช่องคลอดก่อนการตรวจ 48 ชั่วโมง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก - https://www.bumrungrad.com/th/treatments/pap-smear
ฝากติดตามบทความต่อๆไปของแอดด้วยนะงับ ถ้าชอบหรือไม่ชอบยังไง ฝากกดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม และคอมเม้นต์ติชมแอด หรือพูดคุยเม้ามอยกับแอดกันได้นะงับ ขอบคุณงับบบบบ 😘
My Love Diary
โฆษณา