16 ม.ค. 2021 เวลา 16:41 • ท่องเที่ยว
แล้วคุณจะตกหลุมรักเนปาล🇳🇵
Part 2
การออกทริปในครั้งนี้ไม่ง่ายเลย สำหรับคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์เทรคกิ้งมาก่อนอย่างเรา เพราะฉะนั้นการเตรียมตัวจึงเป็นสิ่งสำคัญ แต่สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ ลงทะเบียนเป็นผู้เข้ามาเทรคกิ้งในประเทศเนปาล ซึ่งเราจะต้องกรอกรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับเส้นทางการเทรคกิ้งของเรา วันที่เริ่มเทรคจนถึงวันสิ้นสุดของการเทรคกิ้ง การลงทะเบียนของคนแต่ละประเทศจะมีเงื่อนไขแตกต่างกันออกไป คนอินเดียจะได้สิทธิพิเศษนิดหน่อยเนื่องจากเป็นเพื่อนบ้านกัน สำหรับชาวต่างชาติก็อีกแบบ ส่วนคนเนปาลเองก็ต้องลงทะเบียนเช่นกันนะคะ
และนี่คือของเรา เราลงทะเบียนเทรคกิ้งแบบกลุ่ม เพราะเรามีเพื่อนร่วมเดินทางทั้งหมดอีก6คน
เพื่อนเราทั้งหมดไม่ใช่คนไทย สมุดที่ลงทะเบียนก็จะไม่ใช่สีเดียวกับของเรานั่นเอง
สำหรับทริปนี้ เรามีไกด์ผู้ชำนาญทางซึ่งเป็นคนเนปาล คอยชี้แนะและดูแลความปลอดภัยต่างๆระหว่างการเดินทาง อยากบอกว่าเราโชคดีที่ไกด์คนนี้ใจดีมากๆ ดูแลเอาใจใส่เราและกลุ่มเพื่อนเป็นอย่างดี
การเดินทางในวันแรกนั้น เราได้นั่งรถตู้จากตัวเมืองกาฐมาณฑุประมาณ4ชั่วโมงมาลงที่เมืองๆหนึ่ง เพื่อจะเปลี่ยนไปขึ้นรถจี๊ป และจะใช้เวลาอีกประมาณ6ชั่วโมง เพื่อไปลงที่เมืองอีกเมืองหนึ่ง ต้องขออภัยที่จำชื่อเมืองไม่ได้นะคะ การที่เราเลือกนั่งรถจี๊ปไปที่เมืองนั้นเพราะเรามีเวลาสำหรับทริปนี้แค่10วัน ซึ่งมันช่วยประหยัดเวลาไปได้เยอะมาก จากคำแนะนำของไกด์นั่นเอง
รถจี๊ปคันนี้แหละที่เราพูดถึง
ถึงแม้ว่าเราจะนั่งรถจี๊ปในวันแรก แต่เราก็ได้เห็นวิวสวยๆของประเทศเนปาลที่หาดูไม่ได้ง่ายๆเช่นกัน ได้สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเต็มปอด รู้สึกเหมือนได้ชาร์จพลัง มีพลังเต็มร้อยที่จะเดินไปให้ถึงจุดหมาย...
1
แต่หารู้ไม่ว่าความท้าทายกำลังรอเราอยู่!!!
เวลาผ่านไปเกือบค่อนวัน พวกเราก็เดินทางมาจนถึงที่หมาย ซึ่งก็คือที่ๆเราจะพักกันในคืนแรกนั่นเอง บรรยากาศของที่นี่ดีมากๆ ตัวบ้านล้อมรอบไปด้วยภูเขา ส่วนข้างหลังบ้านสามารถมองเห็นเทือกเขาหิมาลัยที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ อากาศคือดีมาก เรารู้สึกว่าคนที่นี่โชคดีที่เค้าได้ใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายและได้สูดอากาศบริสุทธิ์ทุกวัน
พูดไปจะหาว่าเราโม้ เราเลยแปะรูปไว้ให้ดูกัน 😁
หลังจากจัดแจงที่พักเรียบร้อย ก็ได้เวลาเดินสำรวจบริเวณรอบๆ แต่จากคำเตือนของไกด์ ว่าเราควรเก็บแรงไว้เดินในวันพรุ่งนี้จะดีกว่า ทำให้เราและเพื่อนๆลังเลที่จะเดินไปสำรวจไกลๆ ก็เลยจบที่เดินแค่แถวๆที่พักก็พอ
หลังจากสำรวจไปได้สักพัก ก็ถึงเวลาอาหารเย็น เย็นวันนี้เราเลือกกินโมโม่ บางคนอาจจะรู้จักอาหารจานนี้ดี แต่บางคนอาจจะงงว่าอะไรคือโมโม่ ชื่อญี่ปุ่นแต่หน้าตาเหมือนอาหารจีน แต่นี่คืออาหารเนปาล! รูปร่างจะคล้ายๆเกี๊ยวซ่าหรือเสี่ยวหลงเปา ส่วนไส้ในของโมโม่นั้นมีหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นผักล้วน เนื้อไก่ เนื้อแพะ เนื้อแกะ เนื้อควาย หรือเนื้อจามรี ที่คนท้องถิ่นที่นี่จะเรียกว่า Yak จะนำเนื้อสัตว์มาผสมกับกะหล่ำปลี มันฝรั่ง หัวหอม และเครื่องเทศต่างๆ สามารถนำไปนึ่งหรือทอดก็ได้
ยังไม่หมดแค่นั้นเพราะยังมีไส้ชีส Paneer เป็นชีสที่คนอินเดียนิยมนำมาทำอาหารนั่นเอง ซึ่งรสชาติของมันอร่อยมากๆ เราอยากให้ทุกคนได้ชิมจัง😋
Steamed Chicken Momos
กินกันคนละจานก็อิ่มพุงป่องแล้ว อีกอย่างที่ขาดไม่ได้เลยคือ Local Beer เราชอบเบียร์ของที่นี่มากโดยเฉพาะ Nepal Ice เป็นเบียร์ที่เข้มและหอมมาก คอเบียร์ถ้าได้มาที่เนปาลห้ามพลาดเด็ดขาด!
ระหว่างมื้อเย็น พี่ไกด์ก็ได้นัดแนะเวลาและบอกตารางของวันพรุ่งนี้ ซึ่งวันพรุ่งนี้พวกเราทุกคนต้องตื่นแต่เช้ามืดเพราะต้องเริ่มออกเดินทางตอน6โมงเช้า ดังนั้นคืนนี้เราจึงต้องแยกย้ายกันเร็วหน่อยจะได้นอนพักผ่อนให้เต็มอิ่ม พรุ่งนี้จะได้ตื่นมาสูดอากาศและมีเวลาจิบชาก่อนเริ่มออกเดินทาง
เช้าวันใหม่ได้เริ่มขึ้น อากาศในตอนเช้าของที่นี่หนาวมากๆ ทำให้เราไม่อยากลุกจากเตียงอยากจะนอนหมกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มอีกสักพัก แต่ก็เป็นไปไม่ได้ 😅
เราตัดสินใจว่าเช้านี้เราจะไม่อาบน้ำเพราะอากาศที่หนาวเย็นจนควันออกปากทำให้เราไม่อยากเสี่ยงหนาวตายก่อนจะได้ขี้นไปเห็นวิวสวยๆบนยอดเขา
หลังจากแพ็คของใส่เป้ใบใหญ่เรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ลงมารวมตัวกันที่ห้องอาหารของที่พัก ซึ่งจะเป็นเหมือนจุดรวมพล คล้ายๆกับชมรมคนรักกาแฟ คนที่มาพักจะลงมารวมตัวกันเพื่อดื่มชากาแฟและพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเทรคกิ้ง เราจะบอกว่ามันเป็นบรรยากาศที่น่ารักมากๆ เพราะคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนซึ่งมาจากคนละมุมโลกก็มานั่งร่วมโต๊ะและพูดคุยกัน
คุยกันได้สักพักก็ถึงเวลาที่พวกเราต้องกล่าวอำลาเพื่อนใหม่ เพราะแต่ละคนมีตารางเวลาและแพลนการเทรคกิ้งที่ต่างกัน
สิ่งแรกที่เห็น หลังออกมาจากที่พัก
เราและเพื่อนๆพร้อมกับแบ็คแพ็คคนละใบก็ได้เริ่มเดินทาง ณ ตำแหน่งที่พวกเราอยู่นั้น ยังไม่ถือว่าสูงเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นการหายใจยังคงเป็นปกติ ไม่ได้หายใจลำบากแต่อย่างใด แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคสำหรับเราก็คือเป้บนหลังเรานั่นเอง การมาเทรคกิ้งครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตของเราเลย เราไม่ได้หาข้อมูลการแพ็คกระเป๋ามาดีเท่าที่ควร เพราะเราคิดว่าก็คงเหมือนกับแพ็คกระเป๋าไปเที่ยวธรรมดาๆนั่นแหละ แต่มันกลับไม่ใช่แบบนั้น เพราะการแพ็คกระเป๋ามาเทรคกิ้งนั้น ควรจะมีสิ่งของหลักๆที่สำคัญก็คือ ยาสามัญต่างๆ อุปกรณ์กันหนาว ถุงเท้า อุปกรณ์กันแดด อุปกรณ์สำหรับการนอน เช่น ถุงนอน และขวดน้ำดื่ม เป็นต้น
เป้ของเราก็มีสิ่งจำเป็นพวกนั้น แต่เราดันมีสิ่งที่ไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่เพิ่มมาอีกด้วย เช่น เครื่องสำอาง ไดร์เป่าผม รองเท้าผ้าใบ สิ่งของพวกนี้ทำให้เราเสียพลังงานในการเดินเป็นอย่างมาก เพราะมันค่อนข้างหนัก แต่ในเมื่อแบกมาแล้วก็จำเป็นจะต้องแบกต่อไป
ถึงแม้ว่าเป้เราจะหนักแต่เราไม่รู้สึกเหนื่อยเลย เพราะตั้งแต่เราเริ่มเดินออกมาจากที่พัก เราก็ได้เห็นวิถีชีวิตของคนบนเขา ได้เห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม แบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน มันมีเสน่ห์มาก เราอยากให้ทุกคนได้มีโอกาสมาสัมผัสกับความสวยงามของธรรมชาติแบบนี้จัง
เดินมาได้สักพักขาก็เริ่มล้า พี่ไกด์เลยมองหามุมเหมาะๆหยุดให้พวกเราพักสักหน่อย ก่อนที่จะเริ่มเดินต่อ...
วันนี้โชคดีที่พวกเรามาถึงที่พักค่อนข้างเร็ว จึงมีเวลาสังสรรค์กันนิดหน่อยก่อนที่จะแยกย้ายกันไปพักผ่อนเพื่อชาร์จตัวเองให้พร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้
เราเก็บรูปที่พักของวันนี้มาฝากทุกคนด้วยนะ 😊
การมาเทรคกิ้งในครั้งนี้ทำให้เราเหมือนเปลี่ยนเป็นคนใหม่ เราเปิดใจให้กับสิ่งใหม่ๆมากขึ้นเช่นเราสามารถปลดทุกข์(เบา)หลังโขดหินได้ ซึ่งที่จริงแล้วเราไม่มีทางเลือกมากกว่า 😂 เพราะการเดินของเราต้องเดินผ่านป่าและภูเขาเป็นส่วนใหญ่ และนานๆทีจะเดินผ่านเข้าหมู่บ้านที่จะสามรถหาอาหารว่างรองท้องเพื่อให้มีแรงเดินต่อไปได้ บางครั้งเวลาน้ำดื่มที่พกติดตัวไปด้วยหมดกลางทาง ก่อนที่จะถึงร้านค้า เราก็ต้องกรอกน้ำจากลำธารที่เราเดินผ่านและใส่ยาที่ช่วยฆ่าเชื้อในน้ำ เพื่อจะได้ดื่มน้ำนั้นๆได้อย่างสบายใจ
แผนการเทรคกิ้งของเราจะใช้เวลาเดิน7ชั่วโมงเป็นอย่างน้อยและ9ชั่วโมงเป็นอย่างมาก ซึ่งการเดินในแต่ละก้าวก็คือการเดินขึ้นเขานั่นเอง ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา พี่ไกด์จึงพยายามให้พวกเราเดินอย่างน้อยๆ3ชั่วโมงถึงจะหยุดพักได้ เพราะพี่ไกด์ได้คำนวณมาแล้วว่าการเดินในแต่ละวันของพวกเรา จะไปถึงที่พักก่อนฟ้ามืดพอดีถ้าเราเดินตามตารางของเค้า
ระหว่างการเดินทาง ยิ่งสูงขึ้นอากาศก็ยิ่งแปรปรวนมากขึ้น บางครั้งเราเดินๆอยู่ฝนก็ตก เดินต่อไปอีกหน่อยแดดร้อนจ้า เดินต่อไปอีกสักพักหิมะโปรยมาแบบไม่ทันตั้งตัว เพราะอย่างนี้ไงเราถึงต้องเตรียมอุปกรณ์มาให้ครบ เพราะมันสำคัญมากจริงๆ
ในแต่ละวันของการเทรคกิ้งของเราก็จะคล้ายๆกัน เดิน พัก เดิน พัก แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกันในแต่ละวันก็คือ จังหวะการหายใจของเรานั่นเอง ยิ่งสูงยิ่งหายใจยาก และยิ่งเดินก็ยิ่งเหนื่อย
ตอนนี้การเดินทางของเราได้มาถึงครึ่งทางแล้ว แต่อีกครึ่งทางที่เหลือคือครึ่งทางที่ยากมากสำหรับเรา และมันเกือบทำให้เราถอดใจไปหลายครั้ง แต่สิ่งที่ทำให้เราไม่ยอมแพ้ในการมาเทรคกิ้งครั้งนี้ ก็คือวิวข้างทางและเพื่อนร่วมทางที่คอยให้กำลังใจกันและกันในเวลาที่มีคนท้อ เป็นความรู้สึกที่ดีมากๆและยากที่จะอธิบาย
ครึ่งทางก่อนถึงจุดหมายของเรา เป็นครึ่งทางที่ทำให้เราอยากกลับไปเยือนเทือกเขาหิมาลัยอีกครั้ง มันเป็นครึ่งทางแห่งความทรงจำ ครึ่งทางที่มีทั้งรอยยิ้มและน้ำตา
ครึ่งทางที่เหลือนี้แหละ จะทำให้ทุกคนที่อ่านเรื่องราวของเรา ต้องอยากไปทำความรู้จักกับเทือกเขาแห่งนี้แน่นอน...
To be continue...
โฆษณา