17 ม.ค. 2021 เวลา 14:55 • ท่องเที่ยว
บันทึกการเดินทาง
หมู่บ้านอีต่อง อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี
..
บทที่ 2 รสชาติของ‘การเดินทาง’
..
ณ ตอนนั้น บนยอดเขา‘ฮัวกั่วซาน’ ธรรมชาติกำลังโอบกอดเราทั้งสี่คน เราสังเกตเห็น เรามีเวลาชื่นชมมันอย่างเต็มที่ เพราะแผนการหลวม ๆ ของเรา
..
‘เราเริ่มต้นปีด้วยความทรงจำดี ๆ’
เช้านี้ดูเหมือนจะมีแค่พวกเราเพียงกลุ่มเดียวที่ขึ้นมาดูแสงแรกของปี จึงทำให้ข้างบนนี้ไม่มีใครอื่นเลย พวกเราได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศอันสงบนี้แต่เพียงสี่คนเท่านั้น แต่ละคนต่างเก็บเกี่ยวบรรยากาศ ความทรงจำ และภาพถ่ายกลับไป จนแสงจากดวงอาทิตย์ค่อย ๆ เริ่มแต่งแต้มเติมสีส้มลงบนขอบฟ้า สีเริ่มสดขึ้นตามเวลาที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จากนั้นพระอาทิตย์ก็โผล่พ้นขอบฟ้ามาทักทายยามเช้า พวกเราจึงเริ่มภารกิจจัดตั้ง‘สภากาแฟ’กันขึ้น
แปลก,เครื่องดื่มที่แสนธรรมดา แต่กลับช่วยเพิ่มบรรยากาศของสิ่งรอบข้าง และบรรยากาศของวงสนทนามีรสชาติดีขึ้นกว่าเดิม
‘กาแฟอุ่น ๆ อากาศเย็น ๆ ช่างเป็นส่วนผสมที่ลงตัว’
ในระหว่างที่เรานั่งจิบกาแฟแลชมวิวทิวทัศน์อยู่นั้น พวกเรามองไปที่ภูเขาตรงหน้าแล้วผุดไอเดียดี ๆ ขึ้นมาว่า‘จะเดินไปที่นั่นกัน’ เมื่อมองจากระยะไกลมันเป็นภูเขาที่ทอดตัวยาวอยู่ทางทิศตะวันตก มีลักษณะเขียว ๆ เกลี้ยง ๆ ไม่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นปกคลุม ดูสวยงามสบายตา นอกจากนั้นยังมองเห็นว่าเหมือนมี‘ศาลาเล็ก ๆ’ อยู่บนยอดเขานั้นอีกด้วย พวกเราจึงคิดกันว่าน่าจะเป็นจุดที่เหมาะแก่การดูพระอาทิตย์ตกในเย็นนี้ และดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจว่าระยะทางจะไกลแค่ไหน เราคิดกันแค่ว่า“เย็นนี้เราจะมุ่งหน้าสู่เขาลูกนั้นกัน”
‘พวกเราจะมุ่งหน้าสู่เขาลูกใหม่’
..
พวกเราทั้งสี่ต่างเสพบรรยากาศจากธรรมชาติกันจนรู้สึกอิ่มเอมใจ และด้วยแสงอาทิตย์ที่เริ่มอบอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ จนชักจะรู้สึกอบอ้าวขึ้นทุกที เราจึงลงมติเห็นชอบในการยุบ‘สภากาแฟ’ของเราในครั้งนี้ลงก่อน และเริ่มเก็บข้าวของสัมภาระเดินลงไปที่หมู่บ้านเพื่อรอเดินทางในเย็นนี้
เดิน...เดิน...เดิน แล้วก็...เดิน
เมื่อลงมาถึงหมู่บ้านเรามีแผนการต่อไปคือไปที่‘อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ’ เพื่อประทับตราปั๊มลงใน‘หนังสือเดินทางท่องเที่ยวอุทยาน’ของพวกเรา และหาที่นั่งพักเพื่อฆ่าเวลารอให้ถึงเย็นนี้
เราขับรถออกจากหมู่บ้านอีต่องและแวะกินข้าวร้านข้าง ๆ ทาง พร้อมกับชำระล้างร่างกายที่สะสมเหงื่อไคลผ่านการเดินตั้งแต่เมื่อเย็นวาน ความรู้สึกที่‘น้ำขันแรก’ ไหลผ่านหัวลงสู่ปลายเท้า ผมรู้สึกเหมือนกับมีเข็มนับพันเล่มทิ่มทั่วร่างกาย มันรู้สึกจี๊ด ๆ และชาไปทั้งตัว อุณหภูมิของอากาศตอนนั้นน่าจะอยู่ที่สิบปลาย ๆ แต่อุณหภูมิของน้ำที่อาบ ผมเดาว่าน่าจะเลขตัวเดียว แต่อาบไป ๆ ชักสะใจ
หลังจากที่ทุกคนสดชื่นจากการอาบน้ำ เราก็มุ่งหน้าสู่อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิกันต่อ และเดินดุ่มหาที่นั่งสงบ ๆ ห่างไกลจากผู้คน จนไปเห็นพื้นหญ้านิ่ม ๆ แถวบ้านทาร์ซาน เราจึงลงหลักปักฐานกันที่นี่
ผมล้มตัวลงนอนเอกเขนกบนพื้นหญ้า แหงนมองท้องฟ้าและยอดไม้ ด้วยจิตใจที่เบาสบาย
ณ ขณะนั้นผมได้ยินความไพเราะของบทเพลงที่ธรรมชาติร่วมกันบรรเลง บทเพลงที่มีเสียงนกน้อยเป็นผู้ขับร้องผสานเสียงกัน ผ่านดนตรีที่สายลมบรรเลงจากการพัดพาให้ต้นไม้น้อยใหญ่ไหวเอน
“สงบดีจัง”
..
ผมรู้สึกเหมือนจิตใจที่อ่อนแอของผมได้รับการบำบัดจากธรรมชาติ อาจเป็นเพราะว่าธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์เรานั้นไม่ได้ถูกออกแบบมาให้อยู่แค่ในห้องสี่เหลี่ยมที่มีกำแพงปิดทึบทุกด้าน บรรพบุรุษของเราดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับธรรมชาติมานับแสนปี แต่วิถีชีวิตในปัจจุบันทำให้เราห่างไกลจากอ้อมกอดของธรรมชาติมากขึ้นเรื่อย ๆ ถึงแม้ร่างกายและสติปัญญาของเราจะวิวัฒนาการก้าวล้ำไปเพียงใด ก็มิอาจหลีกหนีสัญชาตญาณดั้งเดิมไปได้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เรามักจะโหยหามันในวันที่รู้สึกเหนื่อยล้ากับชีวิต และเมื่อใดก็ตามที่ได้กลับมาให้ธรรมชาติได้โอบกอดอีกครั้ง ทั้งร่างกายและจิตใจของเราเหมือนได้รับการฟื้นฟูให้สมบูรณ์ดังเดิม
เสมือนเด็กน้อยที่โหยหาอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นของ ‘แม่’
..
เมื่อพักผ่อนหย่อนใจจนได้เวลาอันสมควร จากนั้นเราก็มุ่งหน้าสู่หมู่บ้านอีต่องกันอีกครั้งเพื่อจัดแจงสัมภาระสำหรับเดินทางไกลรอบนี้
พวกเรายังคงใช้เส้นทางเดิมเพื่อเดินขึ้นไปสู่พื้นราบที่เชื่อมต่อระหว่าง‘เนินช้างศึก’กับ‘เขาฮัวกั่วซาน’
ผมคิดในใจว่า คงมีคนอยู่ 2 ประเภทเท่านั้นที่มาเที่ยวกันได้แค่สองวัน แต่สามารถเดินขึ้น-ลงเขาด้วยเส้นทางเดิม ๆ ได้ถึง 3 ครั้ง “ถ้าพวกมันไม่ ‘บ้า’ ก็คงต้อง ‘ชอบมาก ๆ’ อ่ะ” ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพวกเราจัดอยู่ในประเภทไหน
เราเดินกันเรื่อย ๆ จนมาถึงพื้นราบและมองเห็น‘จุดหมายใหม่’อยู่ไกลลิบ ๆ เส้นทางต่อจากนี้เราจะเดินตัดเข้าสู่ถนนหลักที่เขาใช้สำหรับขับรถสัญจรขึ้น-ลงไปที่จุดชมวิวเนินช้างศึก เดินลัดเลาะถนนไปเรื่อย ๆ มุ่งหน้าสู่ยอดเขาที่ตั้งเป้าไว้ โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าระยะทางอีกไกลแค่ไหน แต่ทุกคนก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะไปอยู่เช่นเดิม
ระยะทางที่เดินเพิ่มขึ้น
แน่นอน,ระยะห่างก็สั้นลง
เราเดินมากันจนเห็นเขาลูกนี้ชัดขึ้นเรื่อย ๆ และรู้สึกว่าน่าจะลูกนี้แหละที่เป็นหมุดหมายของเรา เพื่อนผมสังเกตุเห็นว่าข้างทางมีร่องรอยของหญ้าที่แหวกเป็นทางเดินอยู่ พวกเราทั้งสี่ไม่รีรอ ออกจากเส้นทางหลักและเดินลัดเลาะไปในเส้นทางใหม่ที่เพิ่งพบเจอทันที แล้วก็พบว่ามันก็เป็นเส้นทางที่ใช้เดินเลียบเขาลูกนี้จริง ๆ
‘จุดหมายอยู่แค่เอื้อม’
พวกเราเดินเลียบเขาไปเรื่อย ๆ โดยมีสองข้างทางเป็นต้นหญ้า และไม่แน่ใจว่าจะมีเพื่อนสัตว์ร่วมโลกตัวไหนนอนขดตัวซ่อนอยู่ในนั้นบ้างหรือเปล่า จากเส้นทางที่ต้นหญ้าสูงประมาณเข่า พอเดินลึกเข้าไปชักสูงขึ้นมาถึงเอว ลึกเข้าไปสูงถึงอก และร่องรอยหญ้าที่แหวกเป็นทางตรงหน้าก็ยิ่งแคบลงเรื่อย ๆ ผมเริ่มลังเลในใจว่าจะ‘ไปต่อ’หรือ‘พอแค่นี้’ดี
แต่ทุกคนยังมุ่งมั่นที่จะไปอยู่, ก็ตามนั้น
เดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ เริ่มต้องชูมือขึ้นเพราะต้นหญ้าสองข้างทางสูงจนอาจเกี่ยวแขนเสื้อได้ ผมและเพื่อน ๆ เหลือบไปเห็นว่าทางขวามือมีร่องรอยที่คนพยายามใช้ปีน เพื่อเดินลัดขึ้นไปบนยอด เราไม่รีรอที่จะใช้ทางนั้น โดยต้องใช้สองมือคว้าต้นหญ้าข้างทางเพื่อพยุงตัวขึ้นไป เมื่อเราปีนขึ้นไปก็พบกับเส้นทางที่สามารถเดินเลาะขึ้นยอดเขาได้
ทว่า‘ปลายทาง’กลับไม่เป็นดั่งที่คิด
เราเดินขึ้นไปไม่นานนักก็พบกับสิ่งก่อสร้างอย่างหนึ่ง ที่ตอนแรกพวกเราเข้าใจกันว่ามันคือ‘ศาลา’ แต่ว่าจริง ๆ แล้วมันไม่ใช่ มันเป็นเหมือนห้องเล็ก ๆ ที่มีหลังคารูปทรงจั่ว ภายนอกถูกล้อมด้วยรั้วลวดหนาว ตอนแรกผมก็คิดว่าอยากขึ้นไปดูหน่อยว่ามันคือห้องอะไร แต่เพื่อนผมคนนึงมันบอกว่า“ไม่ต้องไปหรอก” ผมกับเพื่อน ๆ ก็เลยยั้งใจไม่ขึ้นไปกัน
ส่วนทิวทัศน์บนนั้นเป็นอย่างไรนะเหรอ, มันไม่ได้เหมาะกับการนั่งดูแสงอาทิตย์อัสดงสักเท่าไร เนื่องจากสองข้างทางมีหญ้าขึ้นรกชัฏ ไม่มีที่โล่ง ๆ ให้นั่ง แล้วผมก็ลืมสนใจไปเลยว่าวิวด้านข้างมันเป็นอย่างไร เพราะมีคำถามมากมายเกิดขึ้นในหัว คุยไปคุยมากับเพื่อนร่วมทางเริ่มเอะใจ เพราะไม่เห็นมีใครเขาเดินกันขึ้นมาเลย มีเพียงพวกเราสี่คนเท่านั้นที่บ้าเดินกันมาที่ “เนินไม่มีคน” แห่งนี้
หรือว่านี่มันไม่ใช่เขตแดนของประเทศไทย หรืออาจจะเป็นที่ ๆ ห้ามเข้า
พวกเราเริ่มจินตนาการกันไปต่าง ๆ นา ๆ
ก่อนที่จะตัดสินใจยอมละทิ้ง‘ความมุ่งมั่น’ไว้บนนี้
..
เวลาตอนนี้ประมาณ 5 โมงนิด ๆ ซึ่งยังมีเวลาเพียงพอที่จะหาที่ชมพระอาทิตย์ตก พวกเราตัดสินใจเปลี่ยนเป้าหมายใหม่และเดินลงจาก‘เนินไม่มีคน’นี้ ทั้งที่ยังไม่รู้จุดหมายใหม่
“พวกเราทิ้งความผิดหวังไว้บนนี้ และมุ่งหน้าสู่ความหวังใหม่”
ระหว่างทางที่เดินลงผมสังเกตไปทางขวามือแล้วมองดู นี่หากเอาหญ้าพวกนี้ออกไปมันก็ไม่มีอะไรกั้นเลยนี่หว่า หากลื่นหรือพลัดตกไปคงไหลลงไปจนถึงตีนเขาแน่นอน(เริ่มหวาดเสียวขึ้นมา) พวกเราเริ่มพูดคุยเล่นกันเหมือนเดิม บ้างก็ว่าให้รีบเดินหน่อยเดี๋ยวมีทหารพม่ามาจับตัวเอา บ้างก็ว่าระวังห่ากระสุนที่กราดยิงมาจากฝั่งกระนู้นด้วย พวกเราสี่คนเดินชูมือขึ้นเหนือหัวเพราะกลัวว่าหญ้าจะเกี่ยวแขน แต่ภาพที่เห็นกลับเหมือนพวกเราทั้งสี่คนนั้นกำลังถูกจับกุมแล้วมีคนถือปืน AK-47 จ่ออยู่ที่ท้ายขบวน และแล้วเราก็เดินมาถึงถนนหลักอย่างปลอดภัย
ผมถามเพื่อนว่าทำไมถึงไม่ให้ไปที่ห้องนั้นละ ตอนนั้นมึงคิดอะไรอยู่ มันบอกว่า“มันล้อมรั้วไว้แบบนั้น มันคงไม่ใช่ที่ ๆ ให้คนขึ้นไปดูหรอก”
อืม !! ก็น่าคิด
ตอนแรกพวกเราคิดว่าจะชมพระอาทิตย์ตกที่บนเนินช้างศึกกันเหมือนวันแรก แต่เมื่อเดินไปถึงที่หมายต้องพบกับมวลมหาประชาชนที่แห่แหนกันมา พวกเราเริ่มลังเล ตอนนี้เหลือเวลาอีกประมาณ 15 นาทีก่อนที่พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าไป เพื่อน ๆ ตัดสินใจจะไปที่เขาฮัวกั่วซานที่เดิม ผมได้ทักท้วงไปว่ามันจะทันเหรอ แต่เมื่อทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าจะไป
เอ้า!! ทันก็ทันวะ
พวกเราเร่งฝีเท้ากันเต็มที่ เดินลงกันอย่างรวดเร็ว ผ่านเส้นทางที่ขึ้นมาเมื่อเย็นวาน ไม่นานนักก็ถึงพื้นราบ
“เหลือเวลาอีก 7 นาที” ผมพูดเตือนเพื่อน ๆ
เรารีบจ้ำเท้าเดินขึ้นเขาอย่างเร็วรี่ โดยไม่สงสารน่องขาที่เพิ่งเดินทางไกลมาสักนิด ในที่สุดพวกเราก็ถึงทันเวลา แสงอาทิตย์ยังคงส่องเรืองรองอยู่ เรายังพอมีเวลาให้พักผ่อนหย่อนใจ แต่เมื่อมองไปทางทิศตะวันตกจึงได้รู้ว่า‘เราอยู่ในจุดอับ’ เนื่องจากเขาฮัวกั่วซานของพวกเรานั้นตั้งอยู่ต่ำกว่าเนินช้างศึก มันจึงถูกบดบังไม่ให้เห็นยามพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าได้
‘ปลายทางที่สอง’ของวันนี้ก็ไม่เป็นอย่างที่คิดอีกครั้ง
..
แม้ในวันนี้พวกเราทั้งสี่จะพบกับความผิดหวังกันถึงสองครั้ง แต่ดูเหมือนว่าแต่ละคนจะไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรมากนัก เราทุกคนยังคงเฮฮาสนุกสนานกันเหมือนเดิม ความผิดหวังที่เพิ่งเกิดขึ้นมิอาจลบเลือนภาพความสุขโดยรวมของพวกเราได้แม้แต่น้อย
‘หากการเดินทางของชีวิต’เป็นแบบนี้ได้ก็คงจะดีไม่น้อย
หลายครั้งในชีวิตที่ความทุกข์ใจเกิดขึ้นเพียงชั่วครั้งชั่วคราว แต่เรากลับวางมันลงได้ยาก ทำให้ต้องแบกมันใส่กระเป๋าไปตลอดเส้นทาง ความหนักอาจทำให้เราหลงลืมสิ่งสวยงามต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดเส้นทางที่ผ่านมา ซ้ำร้ายยังทำให้มัวแต่สนใจไอสิ่งที่แบกจนลืมชื่นชมสิ่งสวยงามระหว่างทางที่กำลังเดิน
แต่น้ำหนัก 10 กิโลกรัม ใช่ว่าจะหนักสำหรับทุกคน
คนที่ร่างกายแข็งแรงสามารถแบกมันได้อย่างสบาย
เช่นกัน, จิตใจที่แข็งแรงก็จะทำให้เราแบกความทุกข์นั้นอย่างเบาสบายได้
แต่ก็ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่าย ๆ
เรายังคงต้องใช้เวลา‘ฝึกฝน’กันต่อไป
..
สายลมที่เย็นสดชื่นยังคงพัดผ่านมาอย่างไม่ขาดสาย แสงแดดอ่อน ๆ ส่องแสงสีส้มเรืองรองสะท้อนบนผืนหญ้า ตรงหน้าเรามองเห็นเพียงแค่ดวงอาทิตย์ที่ค่อย ๆ เคลื่อนตัวหลบไปยังหลังเขา ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันลับขอบฟ้าไปตอนไหน แต่เมื่อไม่มีแสงอาทิตย์ที่ให้ความอบอุ่น ร่างกายก็สัมผัสได้กับความเย็นที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
พวกเรายังคงจ้องมองไปที่เขาลูกนั้น ที่‘เนินไม่มีคน’ และเรายังเห็นความสวยงามของมันจากจุดที่เรายืนอยู่
“บางอย่างอาจสวยงามกว่าเมื่อมองอยู่ใกล ๆ”
ภูเขาที่เรามองเห็นความงดงามจากจุดนี้ แต่เมื่อเข้าใกล้มัน เป็นส่วนหนึ่งกับมัน กลับไม่ได้งดงามอย่างที่คิด
แม้น‘จุดหมาย’ที่เรามองเห็นว่ามันงดงาม เมื่อเดินทางไปถึงอาจจะไม่ได้เป็นดั่งใจปอง ก็หาใช่สาระสำคัญไม่ เมื่อรู้ตัวว่าปีนเขาผิดลูก ก็แค่ยอมรับและเดินลงมาอย่างสง่างาม หากแต่สาระสำคัญได้ซุกซ่อนอยู่ที่‘ระหว่างทาง’ว่าเราเก็บเกี่ยวความทรงจำดี ๆ กลับไปได้มากน้อยเพียงใด แค่นี้ก็ถือเป็นกำไรสำหรับการเดินทางครั้งนี้แล้ว
แต่เราจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามันจะผิดลูกไหม ‘หากเราไม่ออกเดิน’
..
หลังจากพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว แม้พวกเราจะไม่ได้เห็นก็ตาม แต่ผมสังเกตเห็นร่องรอยที่มันทิ้งไว้ สีม่วงอ่อน ๆ ที่เกิดจากการผสมสีของแสงอาทิตย์กับสีของท้องฟ้า แต่งแต้มเป็นเส้นยาว ๆ บริเวณขอบฟ้าไล่ระดับสีขึ้นไปเรื่อย ๆ จนเป็นสีเดียวกับท้องฟ้า
ผมชี้ให้เพื่อน ๆ มองดู
“แม้เราจะไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตก แต่เรายังเห็นร่องรอยความงามที่มันทิ้งไว้บนแผ่นฟ้านะ”
..
‘ความผิดหวัง’ช่วยเพิ่มรสชาติของการเดินทางให้กลมกล่อมยิ่งขึ้น มิเช่นนั้นอาจมีเพียงรสหวานเลี่ยนของ‘ความสมหวัง’เพียงอย่างเดียว
เรื่องราวในครั้งนี้จะถูกจดจำ และมันจะกลายเป็นบทสนทนาอันสนุกสนานของกลุ่มเราต่อไป
..
TO BE CONTINUED
โฆษณา