17 ม.ค. 2021 เวลา 17:52 • การศึกษา
"เรียนไปทำไม ตายไปก็ลืม"
คือข้อความ ที่ถูกเขียนบนไวท์บอร์ด หลังจากที่ ผม ชวนนักเรียน ช่วยกันทำความสะอาด และลบกระดานก่อนเริ่มเรียนไปก่อนหน้านี้แล้ว
.
“ครูครับ ไอ้...มันเขียนครับ อุตส่าห์ลบเกรี้ยงแล้วแหม่” เสียงบ่นจากนักเรียนคนหนึ่ง
.
“ เฮ้ย !! ดีแล้วๆ เอาไว้นั้นแหละ เดี๋ยวบ่ายนี้ เราเปิดประเด็นคุย จากประโยคนี้กัน” ครูตอบนักเรียน ในใจคิดว่าต่อไปจะเจออะไรก็ไม่รู้ แต่รู้สึกว่าน่าจะดี เพราะแผนการสอนในหัวตอนนี้ไม่มีเลย (ได้สอนแทนครูที่ไปราชการ)
.
สายตาของเจ้าของกระทู้ ที่ดูจะกังวลตอนแรก เริ่มเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเจตนาตั้งต้นของผู้เขียนจะเป็นอะไร แต่ในใจผมตอนนั้นคือ..ชอบคำนี้มากก
.
ผมเริ่มต้นด้วยเกมส์ ปลุกให้เด็กๆตื่นตัว เล่นให้หายง่วง ๕- ๘ นาที เหมือนทุกครั้ง จากนั้นก็ โยน ประโยคนี้เข้าวงแบบซื่อๆ ไร้ลีลาใดว่า
.
"เห็นประโยคนี้แล้ว รู้สึก และคิดเห็นกันอย่างไร ”
เมื่อคนแรกเริ่ม ให้ความรู้สึกและความเห็นแล้ว ก็ส่งต่อไปหาเพื่อนคนอื่นๆที่นักเรียนอยากฟัง จนครบทุกคน
.
มีหลายเสียง รู้สึกชอบ และเห็นด้วยกับประโยคนี้ และก็มีหลายเสียง ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ ตั้งคำถามกลับว่า ประโยคนี้เป็นจริงอย่างที่ว่าจริงหรือ และพวกเค้าก็ให้เหตุผลประกอบว่าเรียนไปทำไมในมุมมองของ เด็กนักเรียน ม.1 ได้น่าสนใจไม่น้อย
.
“เราเรียนเพื่อให้ตัวเองรู้ รู้เพื่อจะได้ฉลาดขึ้น ก่อนที่ตัวเองจะตาย ช่วงที่มีชีวิตอยู่ สิ่งที่ดีที่สุดคือการเรียน”
“เรียนเพื่อเอาไว้ใช้ในอนาคต การงาน อาชีพ ตายไปอาจจะลืมหรือไม่ ไม่รู้ แต่ที่รู้ หนูยังไม่ตาย” เสียงฮา และเสียงปรบมือลั่น
“เรียนไปเพื่อเอาใช้เลย อย่างวิชาเลข วิชาสุขศึกษา วิชาทักษะชีวิตต่างๆ เอาไปบอกต่อ หรือทำได้เลย ตายไปจะได้ไม่เสียชาติเกิด หรือตายแบบโง่ๆ”
...
หลัง จากฟังเสียงของนักเรียน ม.๑ ได้แสดงความรู้สึก และมุมมองไปแล้ว ครูขอสิทธิแบ่งปันจากเสียงนักเรียนที่อยากฟังทัศนของครู กับ ประโยคดังกล่าว ครูขอใช้สิทธิพูดคนสุดท้าย เพราะจะขอใช้เวลาเยอะหน่อย และอยากวาดภาพประกอบ อธิบายด้วย
...
เด็กๆ เริ่มเปลี่ยนจากวงกลมใหญ่ มานั่งชิดกัน ส่งสายตามาที่ครูแบบเหมือนเตรียมฟังคำตอบอะไรบางอย่าง
ครูเริ่มต้นเล่า “ความยาก ของการเกิดเป็นมนุษย์ เปรียบเทียบกับเต่าตาบอด ร้อยปีผุดขึ้นเพียงครั้งเดียว แล้วยื่นคอเข้าไปในรูซึ่งมีอยู่เพียงรูเดียวในมหาสมุทร ที่มีคลื่นลมทะเลรอบทิศทาง"
.
ครูถามต่อว่า ถ้าเราเป็นเต่าตัวนั้น แล้วเกิดมาเป็นเราในวันนี้ เราคิดว่าเรามีชีวิตมีค่ามากขนาดไหน แล้วพอจะตอบคำถามกับตัวเองได้ไหมว่า เราจะเรียนไปทำไม แล้วมีเหตุปัจจัยใด ที่คนเราต้องเรียน
.
เสียงพูดคุยเรื่องการเกิด และการมีชีวิต ของเด็ก เริ่มดังขึ้น มีนักเรียนคนหนึ่งยกมือถามต่อว่า “ แล้วการตายมันเป็นอย่างไรครู แล้วมันลืมได้จริงๆไหม”
“ครูก็ไม่รู้ เพราะครูยังไม่ตาย หรืออาจจะเคยตายแต่จำไม่ได้แล้ว” แต่ครูจะขอแบ่งปันในมุมที่ครูสัมผัส และครูเชื่อ ในทางพุทธศาสนาให้ฟัง จะเชื่อ หรือไม่เชื่อขึ้นอยู่กับพวกเรานะ ”
ครู วาดภาพประกอบ(อีกแล้ว) ว่ามนุษย์ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ รูป(ร่างกาย) และนาม(จิต) เวลาตายไปจะตายแต่รูปหรือร่างกาย แต่จิตยังคงวนเวียนไปตามผลกรรมที่ได้ที่ทำตอนที่ยังมีชีวิต วาระจิตสุดท้าย จะเป็นสัญญาณบอกว่า จิตจะไปอยู่ภพภูมิไหน หากต้องการให้จิตหลุดพ้นจากวัฏจักรสงสาร เลยต้องฝึกรู้สึกตัว ทำดี เว้นทำชั่ว ขัดเกลาจิตใจให้สะอาด จะได้ไม่ทุกข์ หรือติดสุข หรือเป็นจิตปกติ อิสระ เหนือทั้งสุข ทุกข์ และปกติ หรือจะเล่าให้เห็นภาพ แฟนซีหน่อย คือ นรก สวรรค์ นั้นแหละ
.
คราวนี้ จิต มันเป็นพลังงาน จะเก็บความรู้สึกไปด้วย ส่วนข้อมูลหรือความทรงจำจะถูกเก็บที่สมอง ตอนตายสมองก็ตายไปด้วย แต่จิตไม่ตาย เลยหอบแต่ความรู้สึกไปด้วย และความทรงจำที่น่าจดจำหรือข้อมูลที่สำคัญ หรือข้อมูลทำงานกับความรู้สึกมั้ง
.
เคยไหมที่เราไม่เคยพบ ไม่เคยเจอ เเต่รู้สึกดี และไม่ดีกับสิ่งนั้น ในมุมครู ครูเชื่อว่าจิตปัจจุบันนี้ อาจจะเคยมีความทรงจำหรือประสบการณ์กับสิ่งนั้นมาก่อนหน้านี้แล้ว เพียงแต่จดจำรายละเอียดไม่ได้เฉยๆ มันอาจจะเยอะไป จิตใจ เลยเลือกบันทึกแค่ความรู้สึก
.
จากนั้น ครูขอ ให้นักเรียนที่เป็น คริสเตียน ได้แบ่งปัน มุมมองของการเกิด หรือการตาย ให้เพื่อนในวงฟัง เธอบอกว่า
การมีชีวิตอยู่ในโลกนี้เป็นเรื่องชั่วคราว แต่ชีวิตหลัง ความตาย คือการกลับไปมี ชีวิตนิรันดร์ เมื่อตายแล้วคนเราจะกลับไปในอาณาจักรของพระเจเา ไปอยู่กับองค์ในสวรรค์อันเป็นที่อยู่ถาวร ซึ่งพระเจ้าได้ทรงเตรียมไว้สำหรับมนุษย์ทุกคนที่เชื่อและวางใจในพระองค์ (ถ้ามีศาสนาอื่นด้วยน่าจะดีมากๆ)
.
เสียงเด็กๆ ต่างชั้นเริ่มดัง เป็นสัญญาณว่าหมดเวลา ครูเลยย้อนถามกลับไปยังเจ้าของ ผู้ตั้งกระทู้เขียนไว้บนกระดาน ว่าก่อนเขียนคิดอย่างไร แล้วตอนนี้คิดเห็นอย่างไร
.
“ ผมเขียนเพราะผมชอบ แค่นั้นเลยคับ ไม่ได้คิด หรือหาคำตอบ อะไร เขียนกวนๆ บนกระดานเฉยๆ พอได้ฟัง ได้เรียนจากเพื่อนและครูวันนี้ก็สนุกดีคับ "
.
ครูทิ้งท้าย ก่อนแยกย้ายว่า “ โดยธรรมชาติ มนุษย์เราเรียนรู้ เพื่อเอาตัวรอด เพื่ออยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว การเรียนในที่นี้จึงไม่ได้หมายถึงการเรียนแบบวิชา หรือเรียนในห้องแบบที่เราคุ้นเคย แต่เราเรียนกันอยู่ตลอด ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัวเนอะ .
.
ครูชวนพวกเรากลับไปสังเกต การเรียนรู้ของตัวเอง ตั้งคำถามว่าเรียนทำไมบ่อยๆ แล้วเราจะค่อยๆหาคำตอบ หาแนวทางหรือวิธีการเรียนรู้ของตัวเอง หรือไม่ก็รู้สึกตัวอยู่บ่อยๆ การมีชีวิตอยู่ก่อนตาย จะได้มีความหมาย ไม่เสียชาติเกิดเนอะ"
.
ขอบคุณเจ้าของกระทู้ ที่เป็นครูให้เราได้กลับมาทบทวนชีวิตและเห็นคุณค่าของการเกิดเป็นมนุษย์ และการเรียนรู้ เพื่อเตรียมตัวตาย ก่อนตาย ไปด้วยกัน
โฆษณา