18 ม.ค. 2021 เวลา 12:01 • นิยาย เรื่องสั้น
“หลังจากที่เราปราบจอมมารเสร็จแล้ว เรามาแต่งงานกันนะ”
ในที่สุดผมก็รวบรวมความกล้าที่จะสารภาพรักกับเพื่อนสมัยเด็กที่อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาได้สำเร็จ
หญิงสาวผมทอง อาชีพนักบวชชั้นสูง ดวงตาสีฟ้าสดใสชวนให้หลงไหลเสียเหลือเกิน ใบหน้าอันหน้ารักและบรรยากาศที่ชวนให้อบอุ่นหัวใจทุกครั้งเมื่ออยู่ใกล้
หลังจากที่ผมอยู่กับเธอมานาน จนตอนนี้ผมก็รู้สึกตัวว่าผมรักเธอ ผมรักเธอมานานมากแล้ว และผมไม่อยากเสียเธอไป เธอจะเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ผมกล้ามอบให้ทุกอย่างแม้แต่ความตาย
“นายคิดดีแล้วเหรอ?”
“อื้ม ครั้งนี้ผมจริงจังที่สุดเลยละ”
สิ้นเสียงผมก็แอบเห็นใบหน้าที่แดงระเรื่อที่แก้มของเธอ ผมลูบแก้มเธอ เธอจ้องตาผมก่อนที่จะหลับตาลง
“…..ด...ได้ใช่มั้ย?”
“อืม”
หลังจากที่ผมได้รับอนุญาตผมก็ค่อยๆเข้าใกล้เธอ ใกล้ขึ้น ใกล้ขึ้น จากนั้นก็ใช้ริมฝีปากประกบกับริมฝีปากของเธอ ถึงแม้ว่านี่จะเป็นวันสุดท้ายที่พวกเราจะอยู่ในดินแดนมนุษย์ เพราะต่อจากนี้พวกเราปาร์ตี้ผู้กล้าจะเริ่มทำการโจมตีเบลโครัส ผู้เฝ้าประตูแดนปีศาจ ซึ่งเป็นที่อยู่ของจอมมารผู้ชั่วร้าย
ด้วยเหตุนี้เอง มันจึงทำให้ผมเลือกที่จะสารภาพรักกับเธอ เพราะอนาคตข้างหน้าผมเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญกับอะไร แต่ถ้าผมทำแบบนี้ อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมมีกำลังใจที่จะสู้ต่อ เพื่อปกป้องคนรัก เพื่ออนาคตที่วาดฝันเอาไว้ ว่าจะใช้ชีวิตร่วมกับเธอคนนี้.....เชอร์รี่
ภายในถ้ำมีโพรงขนาดใหญ่ ตรงหน้ามีวัวยืน 2 ข้างคล้ายกับว่ากำลังเลียนแบบท่าทางของมนุษย์ แต่ตัวของมันสูงกว่าพวกเราถึง 3 เท่า ไหนจะขวาน 2 หน้าอันใหญ่ยักษ์นั้นอีก
“พวกเจ้ารู้ใช่มั้ยว่าหลังประตูนี้เป็นที่ห้ามมนุษย์เข้าไป”
เบลโครัสกล่าวพร้อมกับแรงกดดันอันมหาศาล
[Dispel Mind]
สิ้นเสียงของดัชแรงกดดันพวกนั้นก็หายเป็นปลิดทิ้งในทันที
หัวหน้าปาร์ตี้ที่อยู่ตรงหน้าผมเงยหน้าจ้องมองเบลโครัสอย่างไม่หวาดกลัว สมกับผู้ที่ได้รักฉายาว่าผู้กล้าจริงๆ
เขาเริ่มชักดาบก่อนที่จะชี้ไปยังเบลโครัส
“เรามาเพื่อโค่นจอมมาร ใครที่ขวางทางเรา จะต้องตาย!!”
“ลุยเลยพวก!!”
เสียงของเดลผู้เปรียบเสมือนแทงค์ของปารตี้ตะโกนขึ้นก่อนที่จะเริ่มใช้สกิลขมขู่ใส่เบลโครัส
ปารตี้ผู้กล้าที่ผมอยู่นั้นมีสมาชิก 6 คน โดยมีอาเธอร์เป็นผู้กล้า
วิลเป็นนักสุ่มยิง
เดลเป็นอัศวิน
ดัสเป็นนักเวท
เชอร์รี่เป็นนักบวช
และผมที่เป็นผู้ครอบครองพรของคนโง่
จริงๆแล้วปาร์ตี้นี้ต่อให้ไม่มีผมก็นับว่าเป็นปาร์ตี้ที่สมบูรณ์แบบเลยละ แต่เห็นแบบนี้ผมก็มีข้อดีของผมอยู่เหมือนกัน
[Skill Manager]
สิ้นคำร่ายก็มีหน้าต่างสกิลของทุกคนปรากฏตรงหน้าผม หน้าที่ของผมคือจัดแผนการรบและถ่ายโอนสกิลให้ผู้อื่นตามสถานการณ์ตรงหน้า
อย่างเช่น เดลในตอนนี้กำลังจะถูกเบลโครัสโจมตีด้วยขวานใส่เขา สิ่งที่ผมทำก็คือถ่ายโอนพลังป้องกันทั้งหมดในปารตี้มอบให้กับเดล ส่วนค่าความเสียหายนั้นผมจะโอนให้กับตัวเอง
อึก!!
นี่ขนาดใช้พลังป้องกันของทั้งปาร์ตี้ยังเจ็บขนาดนี้ ดูเหมือนว่าบอสตัวนี้จะโหดเอาเรื่องเลยนะ
โฮก!!!!!!!!
เสียงคำรามของมันได้สร้างผลกระทบอย่างรุนแรง ดัชกับเชอร์รี่จะร่ายเวทนานกว่าปกติ ส่วนทุกคนที่เหลือจะเคลื่อนไหวช้าลง
ผมได้ทำการย้ายผลดิบัพนั้นมาที่ผมจากนั้นก็ถ่ายโอนความเร็วให้กับวิล พลังโจมตีให้กับอาเธอร์
การโจมตีนั้นยังคงดำเนินต่อไป ร่างกายผมตอนนี้เรียกได้ว่าระบมไปทั้งตัวเลย ดูเหมือนว่าผมจะต้องใช้อีกสกิลแล้วสินะ
[พรของคนโง่ : การเสียสละ]
ด้วยสกิลนี้จะลดทอนความเจ็บปวดที่ผมได้รับลงมันมีทั้งขอดีและข้อเสียอยู่ ข้อดีก็คือร่างกายเราจะไม่ถูกจำกัดโดยความเจ็บปวดอีกต่อไป ส่วนข้อเสียคือเราจะไม่รู้ถึงขีดจำกัดทางร่างกายเลย
ถ้าให้เห็นภาพก็คงประมาณว่าใครที่ได้รับผลของสกิลนี้จะทำให้คนๆนั้นวิ่งเร็วขึ้น แต่แต่ด้วยความที่ไม่รู้ขีดจำกัดของร่างกาย การใช่ใช้แรงวิ่งมากเกินไป อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บโดยไม่รู้ตัวได้
เพราะข้อเสียตรงนี้เอง ทำให้ผมเลือกที่จะใช้สกิลนี้กับตัวเอง เพราะถ้าเกิดใช้พลังนี้กับคนอื่นละก็คงได้เห็นคนตายเพียงเพราะพุ่งเข้าไปโจมตีใส่ศัตรูแน่หรือไม่ก็คงเป็นคนวิ่งจนขาหลุดไปเลยก็ได้
เพราะงั้นผมที่ทำหน้าที่อยู่แนวหลังและไม่ค่อยได้เคลื่อนที่จึงเหมาะกับสกิลนี้ที่สุดเลย
………………
………..
…….
เอาละๆ ผมขอเปลี่ยนความคิดชะใหม่ ตอนนี้สกิลนี้เริ่มเป็นภาระกับผมแล้วละ
ร่างกายที่ล้มลงไปนอนกับพื้น แขนที่ขยับไม่ได้ ถึงแม้ว่าร่างกายผมจะเป็นแบบนั้น แต่ผมก็ไม่ทิ้งหน้าที่ของผมเด็ดขาด
ผมยังคงโยกย้ายสกิลพร้อมกับค่าสเตตัสอย่างเป็นระบบ เพราะนี่เป็นสิ่งเดียวที่ผมสามารถช่วยเขาได้จนกระทั้ง........
“ราฟ!!”
“ว่า!!”
“ผมขอพรแห่งคนโง่ได้มั้ย”
จู่ๆอาเธอร์ก็เอ๋ยปากขอสกิลผม
“ไม่ได้!!”
“นี่มันใช่เวลาที่จะมาห่วงสกิลอยู่อีกเหรอ”
ดัชขึ้นแทรก
“ไม่ใช่แบบนั้น”
“งั้นก็ทำตามที่อาเธอร์สั่งสิโว้ย!! ก่อนที่พวกเราจะตายกันหมด”
ดัชตะคอกใส่ผมทำให้ผมได้สติขึ้นมา สงสัยผู้กล้าจะมีแผนอะไรอยู่ในใจถึงได้ขอร้องผมแบบนั้นละ
มันก็คุ้มที่จะเสี่ยงอยู่นะ
“ได้!! ขอเวลาอีก 3 วิ!!”
ผมตะโกนกลับไปก่อนที่จะยกเลิกการใช้สกิลพรแห่งคนโง่ก่อนที่จะย้ายสกิลนั้นให้กับอาเธอร์
อ๊าก!!!!!
ทันทีที่ผมปลดสกิล ความเจ็บปวดต่างๆก็ถาโถมใส่ผมไม่มีหยุด เหมือนร่างกายจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ผมกัดฟัน สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดก่อนที่จะตะโกนบอกอาเธอร์ไป
“ให้ไปแล้วนะ!!! ฝากที่เหลือด้วย!!”
ผมกัดฟันตั้งสติรับมือกับความเจ็บปวดของปาร์ตี้ มันเจ็บชะจนผมอยากจะกรีดร้องออกมา แต่มันเจ็บชะจนแค่พ้นลมหายใจก็เจ็บ แต่ผมต้องมีชีวิตรอด เพื่อตัวผม เพื่อคนรัก เพื่อมวลมนุษย์
ตูม!!
มอ!!
เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ภายในถ้ำสั่นสะเทือน เสียงของเบลโครัสนั้นโหยหวนอย่างหาคำใดเปรียบ
แต่นั้นก็บ่งบอกถึงชัยชนะที่พวกเราได้มา ปาร์ตี้ของผู้กล้าเป็นฝ่ายชนะ
ทุกคนต่างลุมล้อมผม ตอนนี้หูผมอื้อจนจำใจความที่เขาพูดไม่ได้ ยกเว้นว่าผมจะใช้วิธีอ่านปากที่ผมเคยฝึกกับพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก
“ไม่น่าเชื่อ พรแห่งคนโง่นี่มันดีสุดๆเลยนะเนี่ย”
“ขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ใช่ ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลย ดูเหมือนจะเพิ่มประสิทธิภาพให้กับร่างกายอีกด้วยนะ”
“ของดีแบบนี้ทำไมหมอนี้ถึงไม่ยอมเอามาใช้กันละ”
“มันคงหวงสกิลละมั้ง เพราะยังไงชะสาเหตุที่มันยังอยู่ปาร์ตี้นี้ก็เพราะสกิลนี้นี่แหละ”
ไม่ๆๆๆๆๆ ไม่มีทาง ดัชกับอาเธอร์ไม่มีทางพูดแบบนั้นหรอก เราต้องเข้าใจผิดไปแน่ๆ
“เชอร์...รี่”
ผมพยายามกัดฟันเรียกหญิงสาวอันเป็นที่รักเพื่อขอความช่วยเหลือ เธอมองมาที่ผมก่อนที่จะส่งยิ้มให้
“เอาละ ในเมื่อเราได้สกิลของมันมาแล้ว ฉันก็คงไม่จำเป็นต้องแสดงแล้วสินะ”
“นั้นสินะ หมอนี่มันหมดประโยชน์แล้วนี่นา”
“อาเธอร์!!”
นั้นคือสิ่งที่ได้จากการอ่านปาก ตอนแรกผมเองก็ไม่เชื่อทักษะนี้เท่าไร แต่หลังจากที่เชอร์รี่ที่โผเข้ากอดอาเธอร์พร้อมกับจูบอันดูดดื่มนั้น มันก็เป็นคำตอบให้กับผมได้เป็นอย่างดี เพราะท่าทีการจูบของพวกมันราวกับว่าพวกนี้มันตั้งใจจะยั่วผม และที่เจ็บใจที่สุดก็คือเชอร์รี่ก็เป็นไปกับเขาด้วย ด้วยการจับมืออาเธอร์มาขย่ำหน้าอกตัวเอง
“เอาแบบนี้เลยเหรอ? นั้นเพื่อนสมัยเด็กเธอนะ”
“ไหนๆมันก็จะตายแล้ว ให้มันได้เห็นพวกเรามีความสุขก่อนตายจะเป็นไรไป”
ทั้งคู่พลอดรักกันอย่างเมามัน ผมเหลือบไปหาวิลเพื่อขอความช่วยเหลือ
!!!
วิลหลบหน้าผม วิลผู้ไม่เคยโกหกเพราะมันคือศักดิ์ศรีของเผ่าเอลฟ์ ยังโกหกผมได้ แสดงว่าทุกคนในที่นี่ยกเว้นผมรู้เรื่องราวทั้งหมดเลยสินะ
“มึง....หลอ...ก.....กู”
ผมกัดฟันพร้อมกับคำสาปแช่งเต็มอก ดัชที่เห็นแบบนั้นก็เข้ามาเตะปากผมอย่างไม่ใยดี
“ฮ่ะๆๆ มึงนี่มันชื่อจนโง่เลยว่ะ ไม่สงสัยบ้างรึไงวะ ว่าปาร์ตี้นี้ต่อให้ไม่มีแก พวกเราก็อยู่กันได้ กลับกันแกน่าจะเป็นตัวถ่วงสำหรับพวกเราชะมากกว่า”
ตอนนี้ผมเชื่อในทักษะการอ่านปากของผมแล้ว พวกนี้มันทรยศผม หักหลังความไว้ใจของผม หลังจากนี้ไม่ว่าจะกี่10กี่100ปี กูก็จะขอสาปแช่งมึงตลอดไป
ผมที่ทำได้แต่นอนพะงาบราวกับคนใกล้จะตายก็ได้แต่มองปาร์ตี้ผู้กล้าที่กำลังเปิดประตูสู่โลกปีศาจ
ถ้ารู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ ผมขอยอมเป็นพวกจอมมารดีกว่า
[เจ้าต้องการเช่นนั้นเหรอ?]
จู่ๆก็มีเสียงดังก้องอยู่ในหัว ผมหันหลังกลับก็พบกับคนๆนึงที่ดวงตาคู่นั้นมีตราสัญลักษณ์ที่ผมรู้จักดี
“จ..อ..ม..ม...า...ร”
………………………….
ในที่สุดพวกเราก็ฟันฝ่าทุกสิ่งจนมาถึงปราสาทจอมมารได้สักที
ผมล้มลงไปนั่งด้วยท่าทีเหนื่อยล่าแบบสุดๆ ซึ่งทุกคนเองก็เช่นกันยกเว้นวิล
“ใครมันจะไปคิดกันละว่าดินแดนนี้มันโล่งแบบนี้”
“ใช่ ไม่มีที่ซ่อน ไม่มีเวลาพักหายใจ”
“แต่นี่นับว่าเป็นเรื่องที่ดีนะ เพราะปราสาทจอมมารอยู่ไม่ไกล เดินทางแปปเดียวก็ถึงแล้ว”
“อย่าเอาระยะทางของเอล์ฟมาเทียบกับของมนุษย์สิย๊ะ ยัยเอลฟ์งี่เง่า”
“ใจเย็นก่อนสาวๆ ตอนนี้เราก็มีเวลาพักแล้ว อย่าทำให้มันเสียเวลาเปล่าสิ”
“ขอโทษค่ะ”
“………..”
พวกเราได้พักฟื้นกันนานมาก แต่นั้นก็ไม่น่าสงสัยเท่ากับการที่ไม่มีปีศาจตนไหนออกมาป้องกันปราสาทเลย ทั้งๆที่นี่เป็นที่พักของจอมมารแท้ๆ
“ดัช เดล ผมรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเลย”
“เฮ้ยๆ!! ผู้กล้าพึ่งมากลัวเอาตอนนี้เหรอเนี่ย ผู้กล้า”
ผั๊วะ
เดลตบหลังผมไป 1 ทีก่อนที่จะยืนมือให้ผม
“ถ้าผู้กล้าเสียกำลังใจ พวกเราคงมาไม่ถึงที่นี่กันหรอก”
ดัชก็ยื่นมือมาที่ผมเช่นกัน
“ใช่แล้ว ความรักของเราไม่มีทางแพ้ปีศาจนั้นหรอกนะ”
เชอร์รี่เข้ามาโอบกอดผมจากด้านหลัง
“………”
ส่วนวิลนั้นยังไงยืนนิ่งไม่ขยับไปไหน
“พร้อมที่จะสร้างประวัติศาสตร์รึยัง คุณผู้กล้า”
เดลพูดเรียกสติผม ผมจึงยื่นมือไปคว้าทั้ง 2 ก่อนที่จะฉุดตัวเองขึ้นมา
“เรามาจบเรื่องนี้กันเถอะ”
เอี๊ยด!!
ผมผลักประตูขนาดใหญ่เข้าไป
หลังประตูบานใหญ่นี้เต็มไปด้วยเสาหินมากมายเรียงกันสวยงาน
โคมไฟถูกจุดขึ้นเป็นทางพอให้เห็นภายในปราสาท ภายในปราสาทนั้นไม่มีอะไรเลยยกเว้นชะจากบัลลังก์ที่มีชายคนนึงนั่งอยู่
ผมชักดาบพร้อมรบจากนั้นก็พุ่งตัวออกไปหมายจะบันคอจอมมาร
เกร้ง!!
แต่ไม่ทันที่จะได้ถึงตัวจอมมารก็มีคนมาขวางทางชะก่อน และคนๆนั้นก็ทำให้ผมถึงกลับหวาดผวาในทันที
“ราฟ”
ผมเรียกชื่อเขา แต่เขาไม่สนใจพร้อมกับปัดดาบผมจนกระเด็น ผมม้วนตัวลงพื้นก่อนที่จะมองไปที่ศัตรู
“ไม่จริง”
“ทำไมมันตายยากอย่างงี้วะ”
“.........”
“อย่าไปกลัว นี่เป็นกับดักของจอมมารเพื่อให้พวกเราไขว้เขว”
ดัชเรียกสติทุกคน ตอนนี้ทุกคนต่างงัดอาวุธตัวเองพร้อมสู้เต็มที่
“ฮ้า!! ไอจอมมารโง่เอ้ย ถึงแกจะเอามันมาเป็นพวก มันก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับเราหรอก ฮ่ะๆๆๆ”
ดัชหัวเราะด้วยความชอบใจก่อนที่จะเริ่มทำการร่ายเวททันที
เพล้ง!!
“อะไรกัน!!”
จู่ๆ วงเวทย์ที่อยู่บนพื้นก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ไม่ว่าดัชจะพยายามร่ายเวทย์สักกี่ครั้ง มันก็ไม่ส่งผลอะไรเลย
[Wind Gu…..]
เพล้ง!!
นี่มันเกิดอะไรขึ้น ดัชใช้เวทย์มนต์ไม่ได้ เชอร์รี่บัพสนับสนุนก็ไม่ได้ นี่มันหมายความว่ายังไงกัน....หรือว่า
ผมหันกลับไปก็พบหน้าต่างสกิลที่ถูกโยกย้ายไปมาตรงหน้าราฟ
“พวกเราขับราฟออกจากปาร์ตี้เดี๋ยวนี้”
“มันมีวิธีด้วยเหรอ?”
“มี แต่พวกเราลบความทรงจำของราฟไปชะ ให้คนว่าคนตรงหน้าคือคนแปลกหน้า เร็วเข้า”
ผมตอบเดลพร้อมกับอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ
“ได้สิ”
“ช่างเป็นเงื่อนไขที่ง่ายมาก”
“……….”
“ก็แค่เพื่อนสมัยเด็กเอง คงไม่ยากหรอก”
“ไม่เชอร์รี่ ห้ามคิดแม้แต่จะเป็นเพื่อนสมัยเด็ก ต้องคิดว่าเป็นคนอื่นที่เราไม่รู้จักไปเลย เร็วเข้า ก่อนที่มันจะสับเปลี่ยนสกิลจนหมด”
พูดจบผมกำดาบไว้แน่นก่อนที่จะพุ่งออกถ่วงเวลาราฟเอาไว้ แต่ตอนนี้ผมรุ้สึกได้ถึงความเร็วที่ตกลงอย่างต่อเนื่อง ผมถูกถ่ายโอนความเร็ว แล้วใครกันละที่ได้ความเร็วนั้น
ผมพยายามรีดเค้นมันสมองที่เหลือคิดหาแผนการ แต่มันก็ไม่เป็นผล เพราะตามประวัติศาสตร์ที่เคยเรียนทุกยุดทุกสมัย ในกลุ่มผู้กล้าจะมีขุนผลจอมวางแผนเท่านั้นที่มีสกิลโอนถ่ายสเตตัสแบบนี้ และมันมักจะมีเพียงคนเดียวในโลกหลังจากที่จอมมารถือกำเนิดขึ้น ราวกับพระเจ้าได้อวยพรให้กับมนุษย์ด้วยการมอบพรสวรรค์ให้กับผู้แข็งแกร่งที่จะต่อกรกับจอมมารถึง 2 คน
และตามประวัติศาสตร์แล้ว ไม่เคยมีวิธีการกำจัดบุคคลทั้ง 2 นี้ได้เลย ผมที่เป็นผู้กล้า และราฟที่เป็นขุนผล
งานชักจะหยาบชะแล้วสิ
โถ่เอ้ย!! รู้งี้น่าจะอดทนหลอกมันไปแต่ ก็ใครมันจะไปคิดละว่าเรื่องจะกลายเป็นแบบนี้ ผมเองก็กลัวเหมือนกันนะ กลัวว่าราฟมันจะได้กินเชอร์รี่ของผมยังไงละ แค่เมื่อคืนมันยังจูบเลย ขืนปล่อยทิ้งเอาไว้มีหวังเชอร์รี่ได้รักมันแน่
ตูม!!
อัก!!
ความเจ็บปวดที่ไม่เคยเป็นมาก่อนได้ถาโถมเข้าใส่ผม ดูเหมือนว่าพลังป้องกันของผมจะถูกโอนถ่ายไปแล้วสินะ
งั้นแบบนี้ละ
ผมใช้พรแห่งคนโง่ลบความเจ็บปวดก่อนที่จะพุ่งตัวออกไปบันคอราฟแบบเต็มแรง แต่ทว่า.....
เกร้ง!!
ราฟปัดการโจมตีนั้นอย่างง่ายดาย ดูเหมือนว่าพลังโจมตีของผมก็ถูกโอนไปแล้วสินะ
“ทุกคน!! เปลี่ยนแผน ตอนนี้ราฟได้โยกย้ายสเตตัสของพวกเราไปหมดแล้ว แต่สกิลของเขานั้นไม่สามารถเอาสเตตัสใส่ตัวเองได้”
“แล้วมันหมายความว่าไง”
“ก็หมายความว่าค่าสเตตัสของพวกเรายังวนเวียนอยู่ในพวกเรายังไงละ สิ่งที่มันทำก็แค่โยกย้ายไปมาเท่านั้น แต่มันขโมยสเตตัสของพวกเราไปไม่ได้”
“แล้วมันทำไมอาเธอร์ กูตามไม่ทัน”
“พวกเราก็แค่เข้าจู่โจมมันพร้อมกัน ไม่ต้องสนเรื่องอาชีพ ไม่ต้องสนเรื่องตำแหน่ง รุมจัดการมันชะก็พอ”
“แต่ก็คือนักเวทย์นะโว้ย”
“นักเวทย์ที่ใช้เวทย์ไม่ได้มันก็ไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดานั้นแหละ ถ้าอยากได้อาชีพตัวเองกลับมาก็ทำตามที่บอกชะ”
“เอาก็เอาวะ”
ดัชสบดทิ้งท้ายก่อนที่จะทิ้งคทาที่ตัวเองถึงก่อนที่จะพุ่งกระโจนใส่ แต่ละคนก็ทำตามที่ผมบอก ทุกคนได้ทิ้งอาวุธที่มี พร้อมกับหย่นระยะเข้าประชิดราฟอย่างพร้อมเพรียง
“ย๊าก!!!!”
ตูม!!
“เป็นยังไงละ ถ้าเป็นแบบนี้ละก็....ต่อให้แกโยกสเตตัสก็ตาม มันก็ต้องมีหมัดใดหมัดนึงที่ฆ่าแกได้ละวะ”
ผมชูมือทำท่าได้รับชัยชนะ แต่ความหวังนั้นก็หมดไป เพราะราฟยั้นยังคงใช้ดาบใหญ่ยักษ์รับเอาไว้อย่างสบายๆ
เดี๋ยวนะ......มีคนหายไปคนนึง
ผมหันดูรอบๆก็พบวิลที่กำลังยืนพิงกำแพงโดยไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“วิล เธอกำลังทำบ้าอะไรของเธอ”
“ฉันก็แค่ยืนดูพวกนายอย่างเงียบๆเท่านั้นเอง”
“ทำไมเธอถึงไม่ช่วยพวกเราละ เธอเป็นเอลฟ์ที่เหลือรอดเพียงคนเดียวไม่ใช่เหรอ?”
“คิดงั้นจริงเหรอ?”
“หมายความว่าไง”
“ฉันคือเอลฟ์คนสุดท้ายที่อยู่ในดินแดนมนุษย์ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว พูดแบบนี้คงจะเข้าใจสินะ”
“เธอหักหลังพวกเราเหรอ?”
คำพูดของผมทำให้ทุกคนกระจ่างชัดรับรู้กันทั่วหน้า แต่ทว่ากลับไม่มีใครเชื่อสักคน
“แล้วครอบครัวเธอละ เธอไม่แก้แค้นให้ครอบครัวเหรอ?”
“ครอบครัวของฉันตอนนี้กำลังปลูกผักสวนครัวอยู่หลังปราสาทอย่างมีความสุขอยู่ละมั้ง”
“แล้วการแก้แค้นเพื่อเผ่าละ”
“ก็อย่างที่บอกไปนั้นแหละ เผ่าเอลฟ์ของเราอยู่ฝั่งจอมมารไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่แค่เผ่าเอลฟ์เท่านั้นนะ เผ่าคนแคระ เผ่ายักษา และเผ่าพันธ์อื่นๆที่ไม่ใช่มนุษย์ต่างก็มาอยุ่ฝั่งนี้จนหมดเธอไม่สังเกตุเมืองหน้าด่านก่อนที่อาณาจักรปีศาจบ้างเหรอ? ที่นั้นไม่มีทาสเผ่าอื่นเลยนอกจากมนุษย์ด้วยกันเอง”
วิลพูดไปพร้อมกับเดินฝ่าพวกเราทีละคนจนมาหยุดตรงหน้าราฟที่กำลังแบกดาบใหญ่ไขว้หลังอยู่
เธอคุกเข่าทำความเคารพราฟอย่างสวยงาม ทำเอาผมและคนอื่นๆต่างพากันตกตะลึง
“ดิฉันกลับมาแล้วค่ะท่านราฟ....ไม่สิ ตอนนี้ท่านคือจอมมารผู้ยิ่งใหญ่แล้วสินะคะ”
“อะไรนะ!!!”
ผมแทบไม่เชื่อในสิ่งที่เห็นและสิ่งที่ได้ยิน นี่มันอะไรกัน ราฟคือจอมมาร? นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นเนี่ย
“ก็....นะ ตามที่ได้ยินนั้นแหละ ผมคือจอมมาร ส่วนคนที่นั่งอยู่นั้นก็แค่หุ่นหลอกเท่านั้น แล้วตอนนี้พวกแกก็น่าจะเข้าใจแล้วนะ ว่าทำไมแกถึงไล่ผมออกจากปาร์ตี้ไม่ได้ ทำไมค่าสเตตัสถึงหายไป คงไม่ต้องบอกหรอกนะว่าผมเอาค่าสเตตัสไปลงที่ใครน่ะ”
“ทำไม เราไม่เคยทรยศเธอเลยนะวิล พวกเราไม่ดีตรงไหน”
“พวกคุณไม่มีสิทธิ์พูดคำนั้นเลยนะ พวกคุณที่เอาแต่ได้ คิดจะทรยศอยู่ตลอดเวลา ไหนผู้กล้าที่วางแผนจับฉันเป็นทาสกามให้กับปาร์ตี้หลังจากสงครามนี้จบ ไหนจะดัชที่ต้องการเรียนเวทย์ต้องห้ามเพื่อทำลายอาณาจักรของตัวเอง ไหนจะเดลที่หลอกทุกคนว่าเป็นอัศวิน แต่จริงๆแล้วเป็นขอทานจากสลัม ส่วนเชอร์รี่.....คงไม่ต้องพูดหรอกนะ”
ความลับของผม....ไม่สิ ความลับของทุกคนถูกแฉจนหมดเปลือก แผนการที่วาดฝันเอาไว้พังทลายลง สันติสุข ความหวัง และความอยู่รอดของมนุษย์ ทุกอย่างสูญสิ้นไปหมด
“วิล ลืมเล่าอะไรไปรึเปล่า”
“อ่ะ!! ขอโทษด้วยค่ะ นั้นเป็นเรื่องสำคัญด้วยนี่คะ”
สิ้นเสียงวิลก็เริ่มดีดนิ้ว สิ้นเสียงปราสาทจอมมารก็ค่อยๆหายไปกลายเป็นเพียงลานกว้างของเมืองหน้าด่านก่อนที่จะเข้าสู่ดินแดนปีศาจ
บนพื้นเต็มไปด้วยศพผู้คนที่นอนเรียงรายเต็มไปหมด เลือดสีแดงสดเปื้อนไปตามพื้นลามไปถึงหลังคา และนั้นก็ทำให้ผมเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างในทันที
“นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกัน ฝีมือแกอย่างงั้นเหรอราฟ”
ดัชตะคอกใส่ราวกับเชื่อในสิ่งที่เห็นไม่ลง ตอนนี้เขาสติแตกสูญเสียความเยือกเย็นไปเรียบร้อย ส่วนคนอื่นๆต่างก็พากันตกตะลึงต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
“ไม่นะลูกพ่อ ฟื้นสิลูก มาร์ ฟื้นสิมาร์”
“แม่คะ พ่อคะ ฟื้นสิคะ”
เดลกับเชอร์รี่ต่างพากันร้องไห้ต่อคนที่ตัวเองรัก สักพักทั้ง 2 ก็หันไปมองราฟ
“มึงฆ่าลูกกู!!”
“มึงฆ่าพ่อแม่กู!!”
ทั้งสองตะโกนกู่ก้องก่อนที่จะหยิบดาบที่อยู่ใกล้ๆจากนั้นก็พุ่งเข้ามาโดยมีราฟเป็นเป้าหมาย
สิ่งที่ผมเห็นก็คือวิลพยายามเข้ามาขวาง แต่หล่อนถูกรั้งโดยตัวราฟเอง
ฉึก!!
ราฟใช้มือรับดาบกันคนละข้างอย่างง่ายดาย เลือดที่มือเขาค่อยๆไหลอาบไปทั้งแขน
“หึๆๆๆ ฮ่ะๆๆๆ”
เสียงหัวเราะที่มาพร้อมกับแรงกดดันมหาศาลทำเอาทั้งสองถึงกับทรุดลงไปนอนกองกับพื้น
“เจ็บ เจ็บเหลือเกิน.....ถึงแม้ว่าจะเจ็บ แต่ความเจ็บจากการโดนหักหลังนั้นเจ็บว่านี้เยอะเลย”
ราฟเหวี่ยงดาบออกไป จากนั้นวิลก็ใช้สกิลฮิลให้กับราฟ
“นายขโมยสกิลไปด้วยเหรอ?”
ผมถามเขา แต่เขาก็ยิ้มก่อนที่จะตอบกลับมาอย่างหน้าชื่นตาบาน
“ของมันแน่อยู่แล้ว แต่มีอย่างนึงนะที่ผมไม่ขโมย เพราะผมถือคติไม่ขโมยของโจร”
พอได้ยินแบบนั้นผมก็งัดสกิลพรแห่งคนโง่ทันที
[พรของคนโง่ : การเสียสละ]
ผมลุกขึ้นพร้อมกับในมือที่กำดาบไว้แน่นก่อนที่จะพุ่งตัวออกไปสุดแรงเกิด
ย๊าก!!
เกร้ง!!
เกร้ง!!
เสียงดาบปะทะกันยังคงดังต่อเนื่อง ผมโจมตีเข้าไม่ได้เลย แต่มันก็โจมตีผมไม่ได้เช่นกัน เพราะผมไม่เปิดช่องว่างให้กับมัน
ผมยังคงฟันอย่างต่อเนื่องไม่มีหยุดจนราฟเอ๋ยขึ้น
“สกิลนั้นน่ะ หยุดใช้ไปเถอะนะ เห็นแล้วสงสาร”
“สงสาร? กูว่ามึงน่าจะกลัวกูมากกว่า”
“นั้นสินะ มันก็ดูน่ากลัวจริงๆนั้นแหละ วิล!! ใช้เวทกระจกให้มันได้ดูหน่อย”
สิ้นเสียงก็มีกระจกเวทย์มนต์ปรากฏขึ้น เผยให้เห็นแขนขาที่ผิดรูป สภาพผมตอนนี้เรียกได้ว่าห่างไกลความเป็นมนุษย์สุดๆ
“นี่แหละข้อเสียของสกิลพรแห่งคนโง่ยังไงละ”
เป็นเพราะผมไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวด ผมจึงไม่รู้ตัวเลยว่าร่างกายของผมตอนนี้ต้องรับภาระมากมายแค่ไหน ซึ่งมันส่งผลยังไงบ้าง
ผั๊วะ!!
ผมถูกถีบจนล้มลงกับพื้น จากเดิมที่แขนขาบิดเบี้ยวอยู่แล้ว ตอนนี้สภาพยิ่งแย่หนักกว่าเดิมอีก
“ยอมรับรึยังเอ๋ย?”
“ปล่อยทุกคนชะ แลกกับชีวิตกู”
อย่างน้อยถ้ามีคนกลับไปรายงานถึงเรื่องที่เกิดขึ้นได้ พวกเราก็จะไม่มีวันแพ้
“แลกชีวิต? แลกทำไม ผมก็ได้คิดจะฆ่านายสักหน่อย”
สิ้นเสียงสกิลสุดท้ายที่ผมเหลืออยู่ก็ถูกขโมยไปทันที
อ๊าก!!
ความเจ็บปวดราวกับตายทั้งเปิด ร่างกายแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ถึงแม้ว่าผมจะเจ็บปวดจนสลบ ความเจ็บปวดนี้ก็ยังปลุกผมให้รับรู้ความเจ็บปวดต่อไป
“การฆ่าน่ะมันง่ายไป มันไม่สมกับที่มึงทำกับกูเลย เพราะงั้นกูจะทรมานมึงและคนอื่นๆให้หลาบจำ ชนิดที่คิดว่าความตายนั้นคือความสุขที่ยิ่งใหญ่เลยละ ฮ่ะๆๆๆๆๆ!!!!!”
นั้นคือคำพูดสุดท้ายที่ผมได้ยินจากเขา หลังจากนั้นเสียงของผมก็ได้กลบเสียงของเขาจนหมดสิ้น
โฆษณา