19 ม.ค. 2021 เวลา 07:27 • ความคิดเห็น
“ภาวะ Fresh Graduate“
ท่ามกลางความมืดของเมืองใหญ่ แสงไฟริมทางลอดเข้ามาในห้อง ผ่านหน้าต่างบานใหญ่บนชั้น 24 ของคอนโดแห่งหนึ่ง จากบนนี้ฉันเห็นแสงพวกนั้นเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ กระจายอยู่ทั่วเหมือนเมล็ดถั่วเรืองแสง บนโต๊ะหัวเตียงมีเสียงเปียโนช้า ๆ จากโทรศัพท์ที่เปิดเอาไว้คลอไปพลาง กับฉันที่เอาแต่นั่งเหม่อมองออกไปข้างนอกมองรถที่แล่นผ่านไปมา คันแล้วคันเล่าแต่ก็ยังละสายตาไม่ได้ ถึงดวงตาจะมองรถเหล่านั้น แต่ใครจะรู้ว่าในหัวของฉันตอนนี้มันกำลังว่างเปล่า ว่างเปล่าเหมือนอนาคตของฉันตอนนี้ ว่างเปล่าจนฉันรู้สึกไร้ค่า น่าแปลกนะ ปกติฉันก็ฟังเพลงแบบนี้และเคยนั่งมองวิวตอนกลางคืนเหมือนที่ทำอยู่ แต่ก็ไม่เคยรู้สึกเหมือนว่าทุกอย่างถาโถมเข้ามาขนาดนี้เลย หลากหลายความรู้สึกเอ่อขึ้นมาจนรู้สึกร้อนที่ขอบตาไปหมด ฉันไม่เคยเป็นแบบนี้เลย
ฉันเคยเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ใฝ่ฝันจะโตขึ้นมาเป็นคนที่เท่ แบบที่ใคร ๆ ก็ต่างอิจฉา ตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันเลยพยายามทำทุกวิถีทางที่จะทำให้ตัวเองได้เป็นดังที่ปราถนาไว้ แต่เหมือนยิ่งโตขึ้นเท่าไหร่ ความปราถนาในตอนเด็กที่เคยวาดฝันไว้ก็ค่อย ๆ เลือนลางลงไปพร้อมกับความมั่นใจที่ถูกกัดเซาะไปเรื่อย ๆ “ฉันไม่อยากเป็นคนไม่เท่เลย” ความคิดนี้แล่นอยู่ในหัวฉันตลอดเวลา
ช่วงนี้ฉันอ่อนไหวเป็นพิเศษ แน่นอนสิ ก็ว่างงานมา 6 เดือนแล้ว ใครจะคิดว่าการที่พยายามเรียนหนังสือ ซื้อคอร์สติวเตอร์ชื่อดังที่แพงนรกแตก อดตาหลับขับตานอน เพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยอันดับต้นของประเทศไทย ฉันพยายามทำทั้งหมดนั่นและจบออกมาด้วยเกียรตินิยมอันดับสองอย่างยากเย็น แต่ก็ไม่เห็นมีใครบอกเลยว่า พอจบออกมาแล้วจะว่างงานมานานขนาดนี้ ฉันเคยได้ยินว่าถ้าเข้าเรียนที่นี่ ไม่ว่าจะยื่นใบสมัครที่ไหนเขาก็รับทั้งนั้น ฉันว่า โกหกทั้งเพ จบจากสถาบันอันดับต้นไม่สามารถเป็นตัวการันตีว่าจะมีงานทำได้เลย
วิวที่ฉันมองเห็นผ่านหน้าต่างทุกคืน
เมื่อวานฉันนั่งเล่นทวิตเตอร์เพื่อตามข่าวสารตามปกติและสะดุดเข้ากับข้อความของผู้ใช้ทวิตเตอร์คนหนึ่ง ข้อความของเขามันกินใจและแทนทุกคำพูดของฉันเป็นอย่างดี จนฉันต้องลุกขึ้นมาเปิดคอมและพิมพ์ทุกความรู้สึกลงไป
“ภาวะ Fresh Graduate” เป็นคำที่ฉันผสมมั่ว ๆ ขึ้นมาเองหลังเขียนบทความนี้จบ คำนี้อธิบายสภาวะและความรู้สึกของเด็กจบใหม่ที่กำลังก้าวเข้าสู่ชีวิตการทำงานเต็มตัว ระหว่างนี้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลายอย่าง เป็นช่วงรอยต่อของวัยเรียนไปสู่วัยทำงานที่แท้จริง บางทีอาจจะเรียกว่าเป็นช่วงที่พบเจอโลกแห่งความเป็นจริงครั้งแรกอย่างที่หลายคนเรียกก็ได้ ความรู้สึกส่วนใหญ่ที่เกิดจากภาวะนี้ล้วนแต่บั่นทอนจิตใจและกดดันจนบางครั้งก็ทำให้สงสัยว่าเป็นโรคทางจิตหรือเปล่านะ สำหรับฉันภาวะนี้มันส่งผลต่อฉันหนักขึ้น เนื่องจาก Covid-19 ไวรัสที่ระบาดหนักอยู่ตอนนี้ และช่างโชคดีเหลือเกินที่มาระบาดหนักเอาช่วงที่ฉันจบมหาวิทยาลัยพอดี ผลกระทบของมันทำให้หลายบริษัทปิดตัวลงหรือฟรีซการรับพนักงานเพิ่มเพื่อรักษาสภาพ นโยบายสำหรับรับคนเข้าแทบจะเป็น 0 ฉันว่านี่เป็นหนึ่งในสาเหตุอันดับต้น ๆ ที่ทำให้ฉันว่างงานมาหลายเดือน
การว่างงานกว่าครึ่งปีส่งผลหลายอย่างต่อชีวิตของฉันช่วงนี้ อย่างแรกผลกระทบต่อจิตใจ การร่อนใบสมัครไปเป็นร้อยกว่าที่ แต่ไม่มีบริษัทไหนตอบอีเมลกลับมาและกินเวลาหลายเดือน แถมเมื่อมองออกไปรอบตัวเพื่อน ๆ ก็ทยอยได้งานในบริษัทใหญ่โตกันไปทีละคน ทำให้ฉันเกิดความรู้สึกกับตัวเองว่า “นี่ฉันไม่ดีขนาดนั้นเลยเหรอ” “ไม่มีความสามารถจนไม่มีบริษัทไหนสนใจอยากทำงานด้วยเลยจริง ๆ เหรอ” ระหว่างที่รู้สึกแบบนั้น ความมั่นใจที่ฉันเคยมีมันก็เริ่มถดถอยลงไปเรื่อย ๆ อย่างที่ฉันไม่ได้ตั้งตัว
อย่างที่สองผลกระทบต่อคนอื่น การที่ฉันยังไม่มีงานทำ นั่นหมายความว่ายังไม่มีเงินที่จะสามารถเลี้ยงดูตัวเองได้ ทำใ้ห้ยังต้องพึ่งพาครอบครัวอยู่ ฉันรู้ดีว่าฐานะท่ีบ้านฉันเป็นอย่างไร อาจไม่ได้รวยล้นฟ้าแต่ก็พออยู่ได้บ้าง แรก ๆ ที่จบมาใหม่ พ่อกับแม่พร้อมอ้าแขนรับเพราะเขารู้ว่าขั้นตอนต่อไปคือการหางานและช่วงนั้นฉันจะไม่มีเงินแน่นอน เขาพูดให้ฉันสบายใจเสมอว่าเขายังพอเลี้ยงดูได้ แต่มองดูจากดาวอังคารก็รู้ว่าฉันเป็นภาระของเขาแค่ไหน เมื่อใดก็ตามที่พ่อกับแม่ไม่มีเงินส่งให้ฉัน เขาจะไม่มีวันบอกว่าไม่มี แต่เขาจะแอบโทรไปขอยืม เงินพี่สาวฉันแล้วเอามาให้ใช้ โดยที่ไม่ให้ฉันรู้ แต่ฉันก็จะรู้ทีหลังเสมอเพราะพี่สาวจะเอามาบ่นว่า “แกไม่รู้หรอว่าพ่อแม่ไม่มีตังและตังที่ใช้อยู่ฉันเป็นคนให้ไปเอง" พี่ฉันมักจะแอบมาบอกเสมอ ฉันรู้สึกผิดกับเรื่องนี้จนไม่รู้จะทำตัวอย่างไรแล้ว พักหลังมาที่บ้านมักถามถึงงานว่าได้อีเมลตอบกลับมาบ้างหรือยังบ่อยขึ้น บ้างก็ส่งลิ้งค์ประกาศรับสมัครงานเข้ามาในแชทครอบครัว บ้างก็ส่งรูปเพื่อนที่ทำงานที่อายุเท่ากันกับฉันมาให้ดูว่า “ดูสิ เขาอายุเท่าแก เขายังออกมาทำงานแล้วเลย” พอรู้แบบนั้นฉันยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระของทุกคนมากขึ้นกว่าเดิม ฉันอยากออกไปรับผิดชอบชีวิตตัวเองโดยที่ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนแล้ว
ฉันไปอ่านเจอข้อความหนึ่งและรู้สึกว่ามันตรงกับภาวะความรู้สึกที่เป็นอยู่ในตอนนี้มาก “ภาวะที่รู้สึกว่าตัวเองดีไม่พอ” ไม่แน่ใจว่าจะพอเทียบได้กับโรค “Impostor Syndrome” ได้ไหม แต่มันก็ใกล้เคียงมาก ๆ ช่วงนี้ฉันสงสัยกับตัวเองบ่อย ๆ ถามคนนู้นคนนี้ตลอดเวลาว่าฉันไม่ดีขนาดนั้นเลยเหรอ ฉันว่าสาเหตุมันเกิดจากการที่ยังไม่มีบริษัทไหนรับเข้าทำงานและคนรู้จักส่วนใหญ่ก็มีงานการทำงานแล้ว ความรู้สึกนี้มันมากขึ้นเรื่อย ๆ จนบางวันฉันนั่งไถแต่ฟีดของแอพพลิเคชั่นหางาน เข้า ๆ ออก ๆ อยู่อย่างนั้น พักไปหาอะไรทำไม่ให้เครียดแล้วก็กลับมาหางานใหม่ หรือบางทีเป็นหนักจนขนาดหลับไปแล้วแต่ลุกขึ้นมาหยิบโทรศัพท์หางานตอนตีสามหรือตีสี่ก็มี ไม่นานมานี้ฉันสังเกตนิสัยใหม่เพิ่มขึ้นได้อีกอย่างคือ ทุกครั้งที่ตื่นนอน ฉันจะผุดลุกผุดนั่งมาเช็คสายเรียกเข้าและอีเมลก่อนเสมอ เผื่อว่าจะมี HR จากบริษัทไหนสักที่โทรมาหาฉัน ไม่เคยคิดว่าในชีวิตนี้จะเป็นแบบนี้เลย
ทุกวันนี้ฉันเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง ไปยอมไปพบเจอใครแม้กระทั่งเพื่อนของฉันเอง เพราะฉันรู้สึกกดดัน ฉันยินดีนะที่คนอื่นเติบโตและมีงานดี ๆ ทำ แต่มันก็ทำให้ฉันรู้สึกแย่กับตัวเองเสมอ หรือบางทีฉันอาจจะพยายามไม่พอนะ ถ้าใครติดตามฉันในโซเชียลจะเห็นว่าช่วงนี้ฉันเงียบหายไปเลย ไม่ยอมโพสต์อัพเดตอะไร นั่นก็ไม่ใช่เพราะอะไรหรอก เหตุผลเดิม ๆ ทั้งนั้น และล่าสุดฉันเลื่อนอินสตาแกรมแล้วเจอรูปของผู้ใหญ่ที่รู้จักคน หนึ่งถ่ายคู่กับคนที่ฉันรู้จักอีกคน ฉันรู้ว่าการที่สองคนนี้ถ่ายรูปร่วมกันหมายถึงอะไร นั่นหมายถึงว่าเขาได้ทำงานร่วมกันแล้ว ตอนนั้นตัวฉันชามาก เพราะฉันนึกถึงอดีตที่ว่าฉันเคยอยากและพยายามหาทางเพื่อให้ได้เข้าไปอยู่ในที่ตรงนั้น แต่มันไม่มีที่ให้ฉันอยู่เลย ขอบตาฉันร้อนไปหมด รู้ตัวอีกทีก็ร้องไห้ไปแล้ว พอตั้งสติได้ ฉันก็ออกจากอินสตาแกรมแล้วบอกกับตัวเองว่า “ไม่เป็นไร มันอาจจะไม่ใช่ที่ของฉันจริง ๆ อย่าทำตัวอิจฉาเป็นเด็กแบบนี้ ฉันควรยินดีกับคนอื่น” แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกเสียใจลดลง แถมยังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่ามาก ขึ้นไปอีกด้วย มันเหมือนเป็นการถูกปฏิเสธด้วยรูปภาพรูปนั้น ปฏิเสธว่าเขาไม่ได้อยากได้ฉัน และเป็นเครื่องยืนยันที่ดีมากว่าฉันไม่ดีพอจริง ๆ มันทรมานมากเลย พอเขียนมาถึงตรงนี้ ฉันก็พึ่งนึกคำ ๆ หนึ่งที่แทนตัวฉันเองออก “Loser” ฉันว่าฉันเป็นคนขี้แพ้ไปซะแล้ว เจ็บจัง ฉันอยากหลุดพ้นจากวังวนนี้เต็มทีแล้ว
ฉันลุกขึ้นมาเขียนบทความนี้ก็ไม่ใช่เพื่ออะไร แต่เพื่อหาทางระบายความรู้สึกอัดอั้นตันใจจากภาวะนี้ออกมาให้ได้มากที่สุด เพื่อฉันจะได้ไม่รู้แย่กับตัวเองไปมากกว่านี้ นับจากวินาทีที่เขียนเสร็จ ฉันก็คงจะกลับมานั่งหางานใหม่ วนลูปเดิมซ้ำ ๆ ทุก ๆ วัน ซึ่งฉันไม่แน่ใจว่าฉันจะกลับมารู้สึกแย่อีกไหม แต่ฉันจะพยายามทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นและมีความสุขที่สุดบนโลกอันโหดร้ายใบนี้ 🌒
ฉัน
00.32
19 JAN 2021
โฆษณา