19 ม.ค. 2021 เวลา 03:20 • หนังสือ
ผมทำงานด้านสถาปัตยกรรมห้าปีครึ่ง ด้านโฆษณาสิบหกปีครึ่ง และในมิติที่ทับซ้อนกัน เป็นนักเขียนอีก 35 ปี
หลายปีหลังจากที่ผมเปลี่ยนสายงานจากวงการสถาปัตยกรรมไปทำงานโฆษณา ฝรั่งคนหนึ่งบอกผมว่า "น่าเสียดายความรู้ที่คุณเรียนมาจัง"
3
น่าเสียดายที่เรียนมาอย่างหนึ่ง แต่ไปทำงานอีกอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะงานโฆษณา งานรับใช้นายทุนที่กรอกหัวคนด้วยการตลาดแบบกำไรสูงสุด
คนจำนวนมากคิดว่า เราเรียนอะไรมาก็ควรทำสายอาชีพนั้น ด้วยเหตุผลว่า เป็นการเสียทรัพยากร เสียเวลา ฯลฯ หลายคนจึงทนทำงานที่ตนเองไม่ชอบอยู่จนวันสุดท้ายของชีวิต
4
ผมไม่คิดเช่นนั้น ผมเชื่อว่า มนุษย์เรามีเสรีภาพที่จะเลือก (อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง) คนเราควรก้าวเดินไปตามทางที่พึงใจ มิใช่เพราะเรียนมาอย่างหนึ่งก็ต้องทากาวแปะตัวเองติดอยู่กับมันทั้งชีวิต มิใช่เพราะเกิดมาในสถานะหนึ่ง ก็ต้องยึดติดกับสถานะนั้นไปจนวันตาย
7
หลายปีหลังจากที่ผมเปลี่ยนสายงานจากโฆษณาไปเป็นนักเขียนอาชีพ ฝรั่งอีกคนหนึ่งบอกผมว่า "คุณนี่น่าทึ่งจริง ๆ ที่กล้าเปลี่ยนอาชีพ จากอาชีพที่ให้เงินทองมากไปยังอาชีพที่รายได้ไม่แน่นอน และที่สำคัญคือกล้าเปลี่ยนงานในวัยนี้"
1
ใช่ การเปลี่ยนงานในวัยกลางคนไม่เคยเป็นเรื่องง่าย โดยเฉพาะคนที่ยังไม่สามารถตั้งเข็มทิศชีวิตได้แน่นอน คนวัยกลางคนส่วนใหญ่มีครอบครัว มีลูกแล้วการตัดสินใจแต่ละครั้งมีตัวแปรเพิ่มขึ้นอีกหลายตัว หนึ่งในนั้นคือกลัวความล้มเหลว
4
ในวันที่ผมบอกลาอาชีพที่ให้รายได้แน่นอนมาเป็นรายได้ที่ไม่แน่นอนนั้นหลายคนรอบตัวผมมองผมด้วยความเป็นห่วง เพื่อนหลายคนเสนองานที่ดูมั่นคงให้ทำ น่าแปลก(หรือไม่น่าแปลก?) ที่ไม่มีใครเชื่อว่า การเขียนหนังสือสามารถทำเป็นอาชีพได้ในเมืองไทย หรือคำว่า 'นักเขียนอาชีพ' เป็นความฝันเกินเอื้อมจริง ๆ ? ทว่าเพื่อนสนิทบางคนก็ให้กำลังใจเดินหน้า
2
ผมเคยถูกคำว่า 'ความมั่นคง' และ 'ครอบครัว' ตีกรอบตัวเองจนไม่กล้ากระดิกตัว แต่ทว่าเมื่อถึงจุดจุดหนึ่ง ก็ลองหัดปล่อยวาง และคิดเสียว่า"อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด อย่างน้อยกูก็ได้พยายามแล้วโว้ย!" รวมกับกำลังใจจากเพื่อนสนิทให้เดินหน้า เมื่อนั้นผมก็กล้าทำในสิ่งที่ผมไม่กล้าทำมาก่อน
7
ที่น่าแปลกก็คือ ในวันที่ตัดสินใจ 'ลอกคราบ' ตัวเองนั้น ผมไม่มีความกังวลใจในหัวเลย ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่า หากล้มเหลวแล้วจะทำอย่างไร หากไม่มีเงินทองส่งเสียลูกเรียนหนังสือแล้วจะทำอย่างไร
4
อย่างน้อยสักครั้งในชีวิต คนเราก็ควรเดินไปตามทางที่ชอบ ไม่ใช่ใช้คำว่า 'เงิน' เป็นตัวกำหนดวิถีชีวิตอย่างเดียว
18
แต่ผมก็เชื่ออย่างที่พ่อผมเชื่อ นั่นคือการทำงานหนักสามารถแปลงฝันให้กลายเป็นจริงได้ หากพ่อผมสามารถเปลี่ยนสถานะจากคนเสื่อผืนหมอนใบ ไม่ได้เรียนหนังสือ มาเป็นผู้ที่สามารถส่งเสียลูกสิบคนเข้าโรงเรียนจนจบชั้นมัธยมต้นได้ ก็ไม่มีอะไรที่ผมและคนอื่น ๆ จะทำไม่ได้
9
คนเราทำได้ทุกอย่าง ขอให้อยากทำจริง
10
จุดแตกต่างอยู่ที่จะฝันอย่างเดียว หรือจะฝันแล้วลงมือทำ
แต่การเดินตามฝันก็เช่นการออกศึก มิใช่ใช้แต่ความรู้สึกฮึกเหิม ต้องเตรียมตัวให้พร้อม เมื่อรู้ว่ารู้ไม่พอ ก็เรียนเพิ่ม เมื่อเข้าใจไม่พอก็ศึกษา เมื่อชำนาญไม่พอ ก็ฝึกฝน
เพราะถึงจะเดินตามฝันก็จริง แต่ใครบอกเล่าว่า ต้องเดินในความมืด?
อุปสรรคมีก็จริง แต่ก็มีความสนุกระหว่างทาง และความหวังที่ปลายทาง
16
หลายครั้งที่หมดแรง ผมนึกถึงคำของ 'รงค์ วงษ์สวรรค์ และ กฤษณา อโศกสิน ที่เล่าให้ผมฟังว่า พวกเขาสร้างบ้าน ส่งลูกเรียนหนังสือจนจบด้วยเงินที่ได้มาจากการเขียนหนังสืออย่างเดียว
4
จุดที่เหมือนกันของนักเขียนอาชีพทั้งสองท่านนี้คือ การทำงานหนักและมีวินัยสูง
หลายปีให้หลัง เมื่อทราบว่า 'รงค์ วงษ์สวรรค์ ในสภาพคนป่วยเขียนหนังสือในบางช่วงทำงานแบบ "ตอกพิมพ์ดีดแต่ละที เจ็บไปทั้งตัว" ผมก็ยิ่งมั่นใจว่าไม่มีอุปสรรคใดที่ขวางมนุษย์ได้อย่างเด็ดขาด หากใจของเราสู้เสียอย่าง
7
หากนักเขียนในวัยเจ็ดสิบกว่าตอกเครื่องพิมพ์ดีดแบบ "เจ็บไปทั้งตัว" อุปสรรคที่นักอยากเขียนทั้งหลายพบพานนั้นก็เป็นเพียงไม้จิ้มฟันเทียบกับท่อนซุง
ผมมักรู้สึกแปลก ๆ ทุกครั้งที่ได้ยินคนหนุ่มสาวที่อยาก 'เออร์ลี รีไทร์' เก็บเงินให้มากที่สุดเพื่อที่จะได้ทำงานที่ตัวเองรักในบั้นปลายชีวิต
2
ทำไมต้องทำงานที่ตัวเองรักหลังเกษียณ? ทำไมไม่ทำมันในวันนี้เลย?
6
ภาพนักเขียนในวัยเจ็ดสิบกว่าตอกเครื่องพิมพ์ดีดตอกย้ำในสิ่งที่ผมเชื่อว่า ความฝันไม่มีวันหมดอายุ ทำได้ตั้งแต่วัยหนุ่มสาว และทำได้จนถึงวัยเลยเกษียณ
2
เซอร์ พอล แม็คคาร์ทนีย์ ตำนานที่ยังมีชีวิตแห่งอดีตวงดนตรี เดอะ บีเทิลส์ ผู้แต่งเพลง When I'm Sixty Four ยังคงทำงานหนักในวัยหกสิบสี่ เมื่อถูกถามว่าทำไมเขายังไม่ยอมเกษียณ แต่กลับมีผลงานเพลงออกมาไม่หยุด แม็คคาร์ทนีย์กล่าวว่า "ก็ไม่มีอะไรหรอก ผมเพียงแต่สนุกกับงานมากเหลือเกิน"
1
ใช่ ความฝันไม่มีวันหมดอายุ
6
หลายปีในโลกหนังสือ ผมไม่เคยเสียใจที่ไม่ได้ทำงานในสายวิชาชีพสถาปัตยกรรมศาสตร์ที่เรียนมาอีกต่อไป และเปลี่ยนสายงานหลายสาย
2
ผมเคยคิดเล่น ๆ ว่า หากผมไม่เคยเรียนสถาปัตยกรรมศาสตร์ ไม่เคยเขียนนิยายภาพ ไม่เคยทำงานในวงการโฆษณา ไม่เคยทำงานออกแบบกราฟิก ผมจะยังสามารถเขียนหนังสือในสไตล์ที่ทำอยู่ได้หรือไม่
1
คำตอบน่าจะคือ ไม่
ผมพบว่า ชีวิตคือการปรับตัว ไม่มีกฎเกณฑ์กติกาใดที่ลบไม่ได้ ชีวิตไม่ควรมีกรอบใด ๆ ชีวิตน่าสนใจขึ้นเมื่อใช้มันอย่างหลากหลาย
9
บางทีหากเราเชื่อว่า เรามีเพียงชีวิตเดียว โอกาสเดียว แต่ละนาทีผ่านไปครั้งเดียว เราอาจใช้ชีวิตได้เต็มฝันมากกว่านี้
3
เมื่อใช้ชีวิตแต่ละวัน แต่ละอาชีพ แต่ละประสบการณ์ให้ดีที่สุด ก็ไม่มีประสบการณ์ใดที่สูญเปล่า
เส้นทางสู่ความเป็นนักเขียนของแต่ละคนต่างกัน และไม่มีสูตรตายตัว มีตัวอย่างมากมายนับไม่ถ้วน : ประชาคม ลุนาชัย เขียนฝันด้วยชีวิตที่ลำเค็ญ เขาเขียนต้นฉบับขณะที่ยืนเฝ้ายามในป้อม แต่สามารถก้าวไปสุดทางฝันอย่างน่าชื่นชม,คำพูน บุญทวี ไม่เคยจบการศึกษาสูง แต่จับปากกาเขียนเพราะไฟฝันที่คุอยู่ภายใน, กีย์ เดอ โมปาสซังก์ ใช้ชีวิตกับโสเภณี จนเขียนหนังสือได้ถึงแก่นชีวิต, จอห์น สไตน์เบ็ก ผ่านชีวิตมาหลากหลายอาชีพ ตั้งแต่นักข่าว กรรมกร ภารโรง ช่าง และเดินตามฝันจนกลายเป็นนักเขียนระดับโนเบล ฯลฯ
4
เพราะไม่มีท่อนใดของชีวิตที่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ หากรู้จักมอง รู้จักเรียนรู้ และเข้าใจ
3
หลายปีให้หลัง เมื่อย้อนกลับไปมองการตัดสินใจของตนเองที่เลือกเรียนสายวิชาที่อยากเรียนโดยไม่สนใจใบปริญญา ผมก็ตอบได้ว่า เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะทุกวิชาที่ผมเลือกเรียนสามารถนำมาผสมผสานกันในงานที่อยากทำเนื่องจากเราเองรู้จักจุดอ่อนของตัวเองดีที่สุด และในวงการสร้างสรรค์ ผลงานที่ทำมีค่ามากกว่าใบปริญญาและตัวเลข GPA บนใบเกรดหลายเท่า
3
ผมมักบอกเด็กรุ่นหลังว่า อย่าเรียนปริญญาโทเพียงเพราะไม่รู้จะทำอะไรที่ดีกว่านั้น หรือเพราะที่บ้านสั่งให้เรียน แต่เรียนเพราะมันช่วยทำให้คุณสมบูรณ์ขึ้น และในหลายกรณี การเรียนไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในห้องเรียน ไม่จำเป็นต้องเข้ามหาวิทยาลัย บางครั้งการทำงานก็คือการเรียน
5
พ่อแม่จำนวนมากบังคับให้ลูกเรียนวิชาชีพที่ตนเห็นว่าน่าจะ 'ปลอดภัย'
แน่ละ มาตรวัดความปลอดภัยนั้นก็หนีไม่พ้นคำว่า 'เงิน' วิชาชีพที่ให้ค่าตอบแทนสูงจึงเป็นวิชาชีพที่น่าเรียน เป็นสายวิชาที่ทำให้ชีวิต 'ปลอดภัย'
แต่ 'ปลอดภัย' เป็นคนละเรื่องกับ 'ความสุข' เด็กที่จำต้องเรียนวิชาที่พ่อแม่ 'ขอร้อง' ให้เรียน ไม่มีความสุขตลอด 4-5 ปีที่ร่ำเรียน จบมาทำงานแล้วก็ไม่มีความสุข
3
จุดหมายของชีวิตมิใช่การจบมหาวิทยาลัยกี่แห่ง ได้รับปริญญาบัตรกี่ใบ ท้ายที่สุดแล้ว การเรียนเพราะอยากรู้เป็นการเรียนที่มีความสุขและสนุกที่สุด
6
มีประโยชน์อะไรที่จะทำงานเพื่อเงินตราอย่างเดียว ในเมื่อเราสามารถทำงานที่เราฝันได้ และหากทำด้วยความมุ่งมั่นเต็มร้อย งานในฝันก็นำพาเงินตรามาได้ แต่ที่สำคัญมันคือความสุขที่ได้เดินไปสุดฝันสูงค่ากว่าเงินตรา ไม่ว่าจะเป็นจำนวนเท่าใด
9
เมื่อหวนกลับไปมองจุดเริ่มต้น ผมก็ยืนยันได้ว่า คนเราสามารถเป็นอะไรก็ได้ที่อยากเป็น ทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ และมีความสุขกับสิ่งที่ทำ ขอเพียงกล้าฝัน ทำงานหนัก...
และเดินไปให้สุดฝัน
25
จากหนังสือ #เดินไปให้สุดฝัน / สารคดีเกี่ยวกับประสบการณ์การเดินทางในโลกศิลปะและความคิดสร้างสรรค์ของ วินทร์ เลียววาริณ / สั่งซื้อในราคาถูกกว่าร้าน พร้อมลายเซ็นนักเขียนได้ที่ https://bit.ly/3sxqTxM
1
โฆษณา