19 ม.ค. 2021 เวลา 05:02 • หุ้น & เศรษฐกิจ
หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน
สำนวนนี้ ใจความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ม้าหรือคน แต่อยู่ที่ "หนทาง" และ "กาลเวลา"
วันนี้แอดอยากพูดถึงอคติหนึ่งในทางเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม นั่นคืออคติ "โชคของผู้เริ่มต้น" หรือ "beginner's luck"
ในหนังสือ The Art of Thinking Clearly เขียนโดย Rolf Dobelli ได้กล่าวถึง beginner's luck ไว้สั้นๆ 3 หน้า แต่จับใจ โดยมีใจความสำคัญดังนี้
เขายกตัวอย่างว่า นักพนันหน้าใหม่ที่เข้าไปเล่นในคาสิโน ส่วนหนึ่ง เวลาชนะไม่กี่ตาก็จะเลิก แต่อีกส่วนหนึ่งจะเล่นต่อ เพราะคนกลุ่มหลังเชื่อว่าพวกเขามีความสามารถเหนือกว่าคนทั่วไป มิหนำซ้ำหลายๆ ครั้งยังวางเดิมพันเพิ่มขึ้น จนมาถึงจุดที่ต้องตื่นจากความฝันตอนที่กฎแห่งความน่าจะเป็นทำงาน...
2
[นอกเรื่อง: นักพนันในคาสิโน ถ้าดวงไม่ดีจริงๆ (ซึ่งเป็นไปได้ยากมากที่ดวงเราจะดีตลอด) เล่นไปสักพักจะถูกเจ้ามือเอาคืน เพราะเกมถูกดีไซน์หรือวางแต้มต่อมาแล้วว่าเจ้ามือจะต้องชนะ และเชื่อไหมครับว่านักพนันก็รู้เรื่องเหล่านี้ดี แต่ก็คิดเสมอว่าเวลาที่เรานั่งบนโต๊ะพนันนั้น โชคเข้าข้างเราเสมอ แอดพูดได้ แอดมีประสบการณ์ตรง]
บริษัท A เข้าซื้อกิจการของบริษัท B, C และ D ปรากฏว่าสำเร็จมาโดยตลอด จนผบห.บริษัทคิดว่าเป็นเพราะความสามารถในการเลือกบริษัทที่เหนือชั้นของพวกเขา ถัดมาจึงไปเข้าซื้อกิจการ E ที่ใหญ่กว่า พบว่ากลับกลายเป็นหายนะ Synergy ที่เคยคิดว่าจะเกิดก็ไม่เกิด ซึ่งถ้าพูดอย่างเป็นกลาง ผบห.มีสิทธิที่จะเชื่อว่าพวกเขาเก่งจากความสำเร็จที่ผ่านมา แต่ความเชื่อแบบนี้คือการโดนฉากของ "beginner's luck" บังความจริงเอาไว้
เฉกเช่นเดียวกันกับตลาดหุ้น ในช่วงยุค 1990s นักลงทุนต่างเฮโลเอาเงินออมมาซื้อหุ้นอินเทอร์เน็ต บางคนกู้มาร์จิ้นมาเล่นหวังรวย นักลงทุนคิดว่าตัวเองเก่ง แต่ลืมไปว่าตลาดขาขึ้นทำให้ทุกคนเก่งเหมือนกันหมด กระทั่งนักลงทุนที่ไม่มีความรู้ใดๆ ก็กำไร แต่พอฟองสบู่แตก คนส่วนใหญ่กลับเจ็บตัว
เหมือนตอนนี้ที่ตลาดผันผวนมากๆ บางคนได้กำไรง่ายๆ เพราะจับทางถูก ดีใจได้ พอใจได้ แต่อย่าหลวมตัวไปกับ beginner's luck นะครับ
เราจะแบ่งแยกความแตกต่างระหว่าง beginner's luck กับความสามารถจริงๆ ได้อย่างไร Dobelli บอกว่ามันไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่มีตัวช่วย 2 ข้อ
1. ถ้าคุณเก่งเหนือคนอื่นจริงๆ ความเก่งนั้นต้องฉายผ่านกาลเวลาที่ยาวนานพอ (แต่ก็ไม่ได้การันตี 100%)
2. ในเวทีการแข่งขันที่มีผู้เข้าแข่งขันเยอะๆ เราจะยิ่งพบเจอคนที่พกดวงมาและชนะต่อๆ กันหลายรอบ เพราะฉะนั้น ความแตกต่างระหว่างโชคและความเก่ง จะเห็นชัดถ้าจำนวนผู้เล่นไม่เยอะ เช่น ในแผนก 10 คน คุณคือคนที่แสดงผลงานที่ดีที่สุดโดดเด่นต่อเนื่อง แบบนี้ชัดเจนว่าคุณเหนือคนอื่น แต่ถ้าคุณอยู่ในเวทีการแข่งขันกับคนเป็นล้านคน การที่คุณชนะเรื่อยๆ ไม่ได้การันตีว่าคุณเป็นคนเก่งเหนือคนอื่น ในกรณีแบบนี้โดยมากจะเป็นเรื่องโชคช่วย
1
กระบวนทางวิทยาศาสตร์อาจช่วยให้เราแยกแยะระหว่างโชคกับความเก่งได้ นั่นคือการสร้างบททดสอบที่มาหักล้าง Dobelli ยกตัวอย่างว่าช่วงที่เขาเขียนนิยายเล่มแรก เขาส่งไปที่สำนักพิมพ์หนึ่ง ปรากฏว่าได้การตอบรับแทบจะทันที ซึ่งเป็นเรื่องยากมากเนื่องจากโอกาสที่จะถูกเลือกคือ 1 ใน 15,000 เพราะไม่ใช่เขาคนเดียวที่ส่งต้นฉบับ เขารู้สึกว่าเขาเก่งขึ้นมาเลย เขาเลยทดสอบทฤษฎีของตัวเอง โดยการส่งต้นฉบับไปอีกสิบสำนักพิมพ์ที่ใหญ่กว่า ปรากฏว่าถูกปฏิเสธทั้งหมด อาการตัวลอยของเขาเลยหล่นตุ้บมาติดดินเหมือนเดิม
เวลาที่คุณชนะตลาด และคิดว่าคุณเก่งแล้ว ลองดูว่าพอบริบทเปลี่ยนไปในทางตรงข้าม คุณยังสามารถเอาตัวเข้าเส้นชัยได้ก่อนคนอื่นรึเปล่า ด้วยเหตุนี้ คนที่ประสบความสำเร็จเกือบทั้งหมดจึงให้คุณค่ากับการอยู่ในเกมนานพอ หรือพูดง่ายๆ คือ การยังคงอยู่รอดในระยะยาว นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมกฎ 80:20 ถึงเป็นจริงเสมอ เพราะกฎนี้คัดกรองแล้วว่าคนเก่งจริงๆ จะถีบตัวเองขึ้นมาอยู่ในส่วน 20% ความมั่งคั่งจึงอยู่กับคนที่เก่งกว่า [ไม่นับรวมถึงองค์ประกอบแวดล้อมอื่นๆ นะครับ เช่น เส้นสาย โอกาสต่างๆ] ถ้าความเก่งเป็นเรื่องของโชค กฎนี้ก็คงเป็น 50:50
เหมือนที่ปู่บัฟเฟตต์กล่าวไว้ว่า
"No matter how great the talent or efforts, some things just take time. You can't produce a baby in one month by getting nine women pregnant."
"ไม่ว่าคุณจะมีพรสวรรค์หรือพรแสวงขนาดไหน หลายๆ อย่างมันต้องอาศัยเวลา คุณไม่สามารถจะให้กำเนิดเด็กหนึ่งคนได้ในเวลาหนึ่งเดือนจากการทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์เก้าคน"
โอ๊ย...คมมาก
จริงๆ แล้ว แอดคิดๆ ดูแล้ว ทั้งหมดก็คือการเรียนรู้ที่จะรู้จักตัวเองอย่างถ่องแท้นั่นแหละครับ ว่าสนามรบไหนเป็นของเรา ดาบเล่มไหนที่เราลับคมมาอย่างดี
ขอให้ทุกท่านผ่านช่วงเวลาที่ต้องต่อสู้กับเพื่อนร่วมโลกตัวจิ๋วที่มองไม่เห็นไปด้วยกันครับ
เกร็ดภาษาอังกฤษครับ บอกเลยว่าเกร็ดนี้คือเคล็ดวิชาใหมฟ้า ที่ทั้งใช้ในชีวิตจริง และพบเจอในข้อสอบเยอะมาก ช่วงแรกอาจต้องจำครับ หรือใช้เยอะๆ จนไม่ต้องจำครับ ตรงไหนที่ * คือไม่จำเป็นต้องเข้าใจก็ได้ครับ
1. Have someone DO something หรือ Get someone TO DO something
เวลาเราอยากบอกว่าเราให้ใครทำอะไรสักอย่างให้เรา เราจะใช้รูปประโยคนี้ โดยถ้าใช้ have จะตามด้วยกริยาตรงๆ ไม่ต้องผันใดๆ (do) แต่ถ้าใช้ get จะต้องมี to นำหน้ากริยา (to do)
อย่าเพิ่ง งง เข้าใจตัวอย่างเป็นพอ เช่น
I have an artist paint this picture. ฉันให้ศิลปินคนหนึ่งวาดรูปนี้ให้
I get an artist to paint this picture. แปลเหมือนกันคือ ฉันให้ศิลปินคนหนึ่งวาดรูปนี้ให้
*[ถ้าในบริบททั่วๆ สองประโยคนี้ใช้แทนกันได้ แต่ถ้าดูละเอียด ประโยคที่ใช้ get อาจมีนัยยะว่าการให้ศิลปินวาดรูปให้ อาจจะมีการจ่ายค่าตอบแทน ฯลฯ แต่ประโยคที่ใช้ have ค่อนข้างพูดในเชิงกลางๆ
ลองนึกตามครับ กริยา have เนี่ย จริงๆ แปลว่า มี นั่นคือเราครอบครองอยู่แล้ว แต่กริยา get คือ เราไปหามาครอบครอง อย่าง I have a car. ฉันมีรถยนต์คันหนึ่ง แต่ I get a car. คือ ฉันมีรถยนต์คันหนึ่งเหมือนกัน แต่ฉันอาจจะซื้อมา หรือเดินไปขับมาจอดตรงนี้ ฯลฯ คือมีการกระทำเพื่อให้ได้ครอบครอง ถ้า งง ก็ไม่ต้องสนใจครับ ดูแค่ตัวอย่างพอ]
งั้นถ้าจะบอกว่า เขาไปหาหมอเพื่อตรวจร่างกาย บอกว่าไงดี?
He has a doctor check his health. หรือ He gets a doctor to check his health.
พวกเขาให้จอห์นทำอาหารจานนี้ให้
They have John cook this dish for them. หรือ They get John to cook this dish for them.
ถ้าเป็นเหตุการณ์ในอดีต have/get ก็เปลี่ยนเป็น had/got ถ้าเป็นเหตุการณ์ในอนาคต have/get ก็เปลี่ยนเป็น will have/will get นะครับ
2. Have something DONE หรือ Get something DONE
ในทางกลับกัน ประโยคต่างๆ ใน 1. สามารถพูดได้อีกแบบหนึ่ง โดยสนใจที่ของ/วัตถุว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ได้สนใจว่าใครทำให้ โดยคำว่า done แทนกริยาช่อง 3 (past participle) หรือคำคุณศัพท์ (adjective) ก็ได้
เช่น จาก I have an artist paint this picture. ----> I have this picture painted. ฉันเอารูปนี้ไปวาดมา
He gets a doctor check his health. ----> He gets his health checked. เขาเอาร่างกายไปตรวจมา (คือฉันไปตรวจร่างกายมานั่นแหละ ประโยคนี้อยู่ในรูป present เพราะฉะนั้นคำว่า "ไปตรวจมา" ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงไปตรวจ "มาแล้ว" ในความหมายที่เป็นอดีต แต่อาจจะหมายถึง ไปตรวจเป็นประจำ เป็นปกติ แต่ละคำขยายต่างๆ ไว้ในฐานที่เข้าใจ)
They have John cook this dish for them. ----> They have this dish cooked. พวกเขาทำให้จานนี้ถูกปรุง (คือก่อนนี้อาจจะเห็นปลาสดๆ กุ้งสดๆ ตอนนี้คือทำสุกเสร็จหมดแล้ว)
กลับมาที่ประโยคคุณปู่ครับ "get nine women pregnant"
nine women ตรงนี้เปรียบเป็น something *[จริงๆ คือคนนะครับ แต่อยู่ในบริบทที่เป็นเหมือนของสิ่งหนึ่ง]
ก็คือสำนวนเดียวกับข้างบนครับ แปลว่า ทำให้ผู้หญิงเก้าคนตั้งท้อง
*[ไม่ใช่แปลว่าไปเอาผู้หญิงท้องเก้าคนมานะครับ ซึ่งแบบนั้นจะพูดว่า get nine pregnant women. อ่ะๆ งงล่ะสิ ไม่ต้องสนใจครับ]
ภาษาอังกฤษง่ายๆ อย่าคิดมาก คิดมากพูดไม่ได้ครับ
#engvestment #buffett
Cr. รูปจาก Rick Wilking/Reuters
โฆษณา