19 ม.ค. 2021 เวลา 08:12 • ครอบครัว & เด็ก
❤พี่มอบปริญญาชีวิต...แด่น้องผู้มีหัวใจไม่พิการ❤
ช่วงวัยเด็กพี่ไม่เคยรู้ว่า...หากพี่พิการทางกายแล้ว  พี่จะรู้สึกเช่นไร?
นึกย้อนกลับไปที่ครอบครัวของเรา เมื่อครั้งพวกเรายังเยาว์  พี่ไม่เคยรู้สึกว่า คนใกล้ตัวของพี่ หากพิการแล้วจะอยู่อย่างไร? เป็นเช่นไร? หรือรู้สึกแบบไหน?  นั่นคงเป็นเพราะ...โลกทรรศน์ของพี่มันแคบเกินกว่าที่พี่จะเข้าใจความรู้สึกของคนอื่น
วัน ๆ ก็มีแต่เรื่องสนุกสนาน  ตามประสา  นั่งคิดถึงวันคืนที่ล่วงเลยผ่านมาในอดีต  ภาพบางภาพยังคงจำได้ ภาพบางภาพก็จางหายไปกับกาลเวลา
รูปนัองชาย เมื่อตอนเป็นเด็ก
ภาพของพี่ชายคนโต..ที่พ่อกับแม่เคยบอกว่าเป็น "โรคหัวใจรั่ว" ทั้ง ๆ ที่พวกเราเคยนอนเรียงกันเป็นตับ  ภายใต้มุ้งหลังเดียวกันตอนเด็กๆสมัยโน้น ตัวพี่เองก็ยังไม่รู้สึกเลยว่า พี่ชายคนนี้อ่อนแอและบอบบางเกินกว่าที่จะเล่นสนุกสนานไปกับพวกเราได้ตลอดเวลา
ภาพความทรงจำ มันเลือนลางเกินกว่าที่จะบอกว่า...พี่ชายนั้นเจ็บปวดและทรมานแค่ไหนกับการทนอยู่ไปวันๆของชีวิต “ด้วยความบอบบางทั้งร่างกายและจิตใจ”
พ่อกับแม่บอกว่า พี่ชายอยู่กับพวกเราตั้งแต่เล็กจนโตหลายปี จนกระทั่งวันหนึ่งพ่อกับแม่ต้องตัดสินใจ"ซื้อชีวิตพี่ชายด้วยชีวิต"  เพราะนั่นคือ"คำตอบสุดท้าย"  หากพี่ชายมีชีวิตอยู่ก็น่าสงสารและทรมาน สุดท้ายแล้วชีวิตของพี่ก็พ้นห้วงแห่งทุกข์ที่โรงพยาบาลศิริราช  มันนานมากแล้ว...นานมาก...นานมากทีเดียว
รูปของพี่ชายที่แม่อุ้ม เมื่อครั้งมีชีวิตอยู่บนองค์พระปฐมเจดีย์ (ในมือพี่ถืออะไรไว้นะ! มันคงเป็นกล่องแห่งความสุขที่พี่อยากได้มาทั้งชีวิตของพี่แน่ๆเลย..ใช่มั้ย?)
พี่ชายจากครอบครัวของพวกเราไป โดยที่ตัวของพี่เองนั้น ไม่มีความรู้สึกทุกข์ร้อนอันใดนัก เพราะโลกของพี่ มันเป็นโลกในวัยที่พี่เด็กเกินกว่าจะเข้าใจว่า..."ความทุกข์มันเป็นเช่นไร?"  "ความเสียใจเป็นอย่างไร?" และ "ความสูญเสียคืออะไร?" พี่ยังไม่เข้าใจและมิอาจรู้ได้ สิ่งที่รู้อย่างเดียว ณ เวลานั้นคือ "ความสนุก"
ทุกวันนี้...ตัวของพี่เองนั้นยังคงระลึกถึงพี่ชายคนนี้เสมอ ครั้งคราใดก็ตามที่พี่มีโอกาสได้ทำบุญสร้างกุศล พี่จะระลึกถึงเสมอ (พี่คิดทุกครั้งนะว่า...หากเรามีวาสนาต่อกันจริง  เราคงได้พบกันอีก ณ.ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ...พี่เชื่อของพี่อย่างนี้)
ภาพถ่ายเมื่อครั้งที่พี่มีโอกาสได้กราบพระทำบุญให้กับพี่ชาย
มาวันนี้ พี่นั่งดูรูปภาพเก่า ๆ ที่เก็บสะสมเอาไว้ พี่เห็นน้องจากภาพแล้ว มันทำให้ตัวของพี่นั้นรู้สึกได้ถึง หัวใจของน้องทุกครั้งไป
น้องเดินสี่ขา โดยปราศจากไม้เท้าค้ำยัน พี่เชื่อแล้วว่า..."คนพิเศษของพี่ไม่ใช่ใครที่ไหน คนพิเศษคนนี้อยู่ใกล้แค่เอื้อม"  หากแต่ความรู้สึก ณ เวลานั้น ตอนพี่เป็นเด็ก มันยากเกินกว่าจะเข้าใจความรู้สึกในหัวใจของน้องได้
พี่นั่งนึก "น้องยิ้มและหัวเราะทั้ง ๆ ที่เดินสี่ขา  อย่างสนุกสนานได้ด้วยเหตุใด?" ความรู้สึกของพี่ตอนนี้ต่างกับเมื่อก่อนราวฟ้ากับดิน
"น้องรู้มั้ย!! ทั้ง ๆ ที่เราต่างก็เดินเหมือนกัน  พี่เดินด้วยขาทั้งสองข้างของพี่ แต่น้องต้องอาศัยสิ่งอื่นมากกว่าขาของน้องที่มีอยู่  เราต่างเดินเหมือนกันก็จริง แต่พี่ขอยอมแพ้หัวใจของน้อง"
คิดอีกครั้ง   เราต่างก็โชดดีกันคนละแบบ  น้องว่ามั้ย!!
ลูกของพ่อและแม่ เหลือ 6 คน ที่ยังมีชีวิตมีลมหายใจอยู่  น้องคือผู้ที่พี่ยอมรับในหัวใจที่ทรนงมากที่สุด ในบรรดาพี่น้องทั้งหมด... นั่นเป็นเพราะสิ่งใด?
เราอาจ "อ่านใจกันด้วยแววตา  มากกว่าคำพูด ด้วยห้วงเวลาที่นานมากตลอดเยาว์วัย"
พี่รู้ว่า...น้องต้องอดทนแค่ไหน? เพื่อที่จะกลับมายืนให้ได้อีกครั้ง    น้องล้มลง   พวกเราพี่น้องก็ช่วยกันพยุง คนโน้นบ้าง  คนนี้บ้าง  แต่ก็ยังรู้สึกสนุกสนานและหัวเราะด้วยกันเสมอ(ฮาๆ)..ใช่มั้ย
น้องหัวเราะบ้าง พี่หัวเราะบ้าง  เราต่างหัวเราะให้กันและกัน.....เอ้า!!!ล้มอีกแล้ว  แล้วก็ดึงมือกันขึ้นมา จนพวกเราพี่น้องนับกันไม่ถ้วนว่า...น้องล้มแล้วลุก...ลุกแล้วล้ม...ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันครั้ง
ถึงอย่างไรก็ตาม เราก็ยังโชคดีต่อกันและกันเสมอ ที่เราพี่น้องอายุไล่เลี่ยกัน   น้องจึงเติบโตด้วยไม้ค้ำยันที่มีชีวิตมีจิตใจ  เคียงคู่กันมาโดยตลอด
น้องสาวของพี่ คือไม้ค้ำยันของน้อง  ที่ช่วยกันค้ำจุน  ตั้งแต่น้องเรียนอนุบาล  เรียนชั้นประถม จนกระทั่งจบชั้นมัธยมด้วยกัน
แม่เคยบอกว่า สมัยเด็ก ๆ เวลาน้องล้ม ไม้ค้ำยันของน้องก็จะล้มตามด้วย (น้องจำได้มั้ย!!) บางครั้งไม้ค้ำยันของน้องก็ร้องไห้โดยไม่มีสาเหตุ!!(น้องดูรูปข้างล่างนี้ซิ)  พี่ดูรูปแล้ว พี่รู้ว่า....ไม้ค้ำยันของน้อง "ร้องไห้" เพราะอะไร?"
ภาพถ่ายที่น้องสาวของพี่ร้องไห้ เพราะเดินล้มด้วยกัน
เพราะฉะนั้น  เราพี่น้อง พึงระลึกถึงกันให้มาก ๆ นะ... แม้นจะห่างไกลกันไปตามเหตุตามปัจจัย ที่พวกเรา 6 คนพี่น้องต่างคนต่างต้องดำรงชีวิตอยู่ตามครรลอง
หากนึกย้อนไปอีก เมื่อพี่พอจะเข้าใจโลกเข้าใจชีวิตที่พี่อยู่ได้มากขึ้น  มันทำให้พี่เริ่มเข้าใจครอบครัว  เข้าใจตัวเองและเข้าใจคนรอบข้างด้วยเช่นกัน
พี่จึงรู้ว่า...ใจของน้องนั้นรู้สึกเช่นไร? และพี่ก็รู้ว่า...ปมด้อยมันเป็นอย่างไร? พี่รู้ซึ้งมากพอ...ที่จะแบกรับมันเอาไว้กับตัวของพี่เวลาที่น้องเดินแล้วล้ม... เดินแล้วล้ม
วันเวลาผ่านไป เราต่างโตขึ้น ไม้ค้ำยันของน้องก็ต้องห่างออกไปทุกขณะ น้องต่างหากที่ต้องเดินและล้มคนเดียว
พี่ถึงไม่แปลกใจเลยว่า เพื่อนของน้องที่เดินอยู่ใกล้ ๆ น้องเมื่อสมัยเรียนนั้นเป็นคนเช่นไร? หัวใจเพื่อนของน้องนั้นเป็นอย่างไร?  และพี่ก็คิดเสมอว่า... การเติมเต็มของคำว่า “เพื่อน” นั้นมันยิ่งใหญ่มากพอที่จะเรียกว่า “เพื่อน” ได้อย่างจับจิตจับใจ มันเป็นอย่างไร?น้องโชคดีทีเดียว ที่มีเพื่อนหัวใจแบบนั้น
ภาพถ่ายดอกไม้กลางป่า
ตลอดชีวิตที่เติบโตมาด้วยกัน พี่ยังจำได้ สมัยที่พี่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยมหิดล   มหาวิทยาลัยที่พี่ไม่รู้หรอกว่า จะเป็นมหาวิทยาลัยที่ติดอันดับ 1 ใน 100 ของมหาวิทยาลัยโลกที่มีชื่อเสียง  (แต่ถึงแม้นว่า มหาวิทยาลัยแห่งนี้ จะไม่ติดอันดับ 1 ใน 100 ของโลก มหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็คือมหาวิทยาลัยในดวงใจของพี่  ที่สอนให้พี่รู้จักคิด และค้นหาคำตอบให้กับชีวิตของตัวพี่เอง)
โรงพยาบาลศิริราช คือสถานที่ ที่เราสองคนเคยชวนกันไป เพียงเพราะว่า พี่อยากให้น้องรู้สึกว่า "น้องเดินได้เกือบเหมือนคนปกติ ที่ไม่ต้องเดินแล้วล้มบ่อยมากนัก" ด้วยการพาน้องไปปรึกษาหมอเพื่อใส่ขาเหล็กช่วยเสริมให้การเดินสม่ำเสมอและไม่สะดุดล้ม
แต่ด้วยเหตุผลที่น้องสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ หมอบอกว่า  การใส่ขาเหล็กต่างหากกับเป็นการเพิ่มภาระให้น้องมากขึ้น  สุดท้ายเราก็เข้าใจแล้วว่า ณ ปัจจุบันน้องของพี่ดีที่สุดแล้วกับสิ่งที่น้องเป็น
ความอุตสาหะ ความตั้งใจ คือบันไดที่ทอดมาให้น้องของพี่ คืบคลานด้วยตัวเอง  "น้องเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ด้วยสองมือ สองขา และหนึ่งหัวใจของน้องที่มีอยู่"  พี่เองต่างหาก กลับวิ่งตามหัวใจของน้องไม่ทัน
รูปของแม่รูปแรกที่น้องเริ่มหัดวาด
วันนี้คือความภูมิใจที่พี่รู้ว่า น้องชายของพี่ทำได้  น้องเลือกที่จะเดินตามพรหมลิขิตของตัวเอง  น้องวิ่งทั้ง ๆ ที่วิ่งไม่ได้  วิ่งตามความฝันของตัวเองจนเจอ
ภาพวาดอีกภาพที่อยากเก็บไว้ในความทรงจำ....ที่ครั้งเมื่อพระองค์ทรงงาน...มองแล้วมีความสุข เป็นภาพวาด อีกภาพหนึ่ง ในจำนวนหลาย ๆ ภาพที่น้องชายผู้พิการวาดขึ้น....งดงามจับใจ
ภาพวาดที่ใส่จิตวิญญาณของน้องลงไป คือคำตอบที่ตัวน้องเอง เริ่มต้นนับจากศูนย์ และไต่เต้าจนถึงขณะนี้ พี่ไม่รู้หรอกว่า น้องนับไปถึงไหนแล้ว   พี่รู้แต่เพียงว่า ภาพที่เราหัวเราะร่วมกันในวัยเด็ก ตอนที่น้องล้มลง คือ ความฝันที่น้องต้องไปให้ถึง และน้องก็ทำได้
ภาพวาดรัชกาลที่ 5 ที่น้องชายวาดให้ไว้สักการะพระองค์ท่าน....ที่บ้านของพี่
พี่สัญญาว่า...พี่จะคอยชื่นชม ความสำเร็จของน้องคนนี้ของพี่เสมอ
ครอบครัวของเรา ทุกคนภูมิใจในตัวน้อง ภูมิใจในความยิ่งใหญ่ของหัวใจนักสู้ที่น้องมี
เป็นพลังใจให้น้องก้าวเดินต่อไปจนถึงปลายทางของชีวิต
หากวันใดล้มอีก ทุกคนในครอบครัวเชื่อมั่นว่า น้องต้องลุกขึ้นเองได้
พวกเราพี่น้อง จะเดินร่วมไปกับเส้นทางชีวิตที่พวกเรานั้นต่างลิขิตด้วยตัวเอง  เดินไปพร้อมๆกับน้อง และร่วมเป็นหนึ่งในไฟฝันและแรงบันดาลใจระหว่างกัน
น้องรู้มั้ย! เราพี่น้องมีเลือดนักสู้ของพ่อและแม่อยู่กันเต็มร้อย
น้องชายคือสมาชิกคนใหม่หลังจากที่พี่ชายเสียชีวิตไป "ดินสอที่น้องกำอยู่ในมือ" คือความฝันที่น้องบรรจงสร้างด้วยตัวเอง
พี่คือตัวแทนของครอบครัวที่ส่งมอบความรักอันยิ่งใหญ่ให้แก่น้องชายที่มีหัวใจของนักสู้
รับมันไว้นะ...มันจะอยู่คู่กับน้องตลอดชีวิตของน้องเลยทีเดียว
คุณงามความดีของบันทึกฉบับนี้...
ขอมอบให้ผู้พิการ ที่มีหัวใจทรนงทุกท่าน เพื่อเป็นกำลังใจที่จะเดินไปให้ถึงปลายฝัน
โฆษณา