19 ม.ค. 2021 เวลา 07:21 • ปรัชญา
ยอมรับ(1)
ดูละครแล้วให้ย้อนดูตัว วิจารณ์ท่านแล้วอย่าลืมวิจารณ์ตนและอีกหลายต่อหลายประโยคในความหมายคล้ายคลึงกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วเราทำได้เช่นนั้นจริงเหรอ อาจจะได้ในบางสถานการณ์แต่ให้ได้ต่อทุกสถานการณ์ ฉันขอยอมรับเลยว่าทำไม่ได้
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วทางเดินมุ่งสู่ธรรมของฉันย่อมเกิดอุปสรรคขึ้นตั้งแต่หน้าประตูเลยก็ว่าได้ กัลยาณมิตรผู้ล้อมรอบคอยแนะนำทั้งเรื่องงานและเรื่องธรรมจึงให้แง่คิดที่เหมาะกับจริตนิสัยของฉัน ว่าคนใจร้อนอีกทั้งยังชอบลองผิดลองถูกด้วยตนเองก็ควรจะลองมองหาวิธีด้วยตนเองก่อน หากไม่เข้าใจหรือสงสัยให้ฉันเป็นฝ่ายเดินเข้าไปถามและทุกคนจะไม่เป็นฝ่ายพูดก่อนให้ฉันรู้สึกอึดอัดขัดใจ
เมื่อแรกรับฟังฉันรู้สึกได้ถึงความเข้าอกเข้าใจของทุกคนที่มีต่อฉัน แต่เอ๊ะ!เดี๋ยวๆ ไม่ถึงสามนาทีความคิดเปลี่ยนไปอีกคือ"นี่ฉันโดนตำหนิหรือวิจารณ์ตรงๆเลยนะเนี่ย!" แล้วอะไรคือประเด็นใจความสำคัญของประโยคเหล่านั้นกัน ฉันต้องมานั่งกอดอกครุ่นคิดลำพัง เมื่อทุกคนลงความเห็นว่าฉันใจร้อนแถมชอบลองผิดลองถูกเอง ความหมายก็ตรงตัวแต่อีกนัยยะคือ "ฉันเอาแต่ใจตัวเองชัดๆเลย"
อย่ากระนั้นเลยคนธรรมะธรรมโมที่ไหนจะนั่งติติงผู้อื่นพร่ำเพรื่อกัน ฉันจึงเริ่มพิจารณาจากคำว่า"ใจร้อน"และ"เอาแต่ใจ" ของตนเองก่อน เริ่มจากทบทวนการกระทำต่างๆของตนเองตั้งแต่ยังเล็กๆมาเลย ก็เห็นเป็นเรื่องสนุกสนานไปเสียอย่างนั้น เพราะมันคือประเด็นเกี่ยวกับเพื่อนๆไม่ใช่ครอบครัวซึ่งมีแต่คำว่า"ยอม" แต่กับเพื่อนหรือคนทั่วไปแล้วฉันจะเป็นตัวของตัวเองเสมอ
และด้วยความเป็นตัวของตัวเองนี้ มันมีจุดเริ่มต้นมาจากการถูกเลี้ยงดูอบรมปนมาด้วย ฉันพยายามวิเคราะห์นิสัยตนเองอย่างตรงไปตรงมาที่สุด จนกระทั่งย้อนนึกขึ้นได้เรื่องหนึ่งคือเพื่อนที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ประถมจวบจนมัธยมเคยตำหนิฉันว่า"เลิกมั่นใจว่าตัวเองถูกอยู่คนเดียวและฟังความคิดเห็นคนอื่นบ้าง" ขณะที่ได้ยินนั้นฉันอึ้งไปหลายนาที ทุกครั้งที่ทำงานกลุ่มหรือรายงานทุกคนก็จะแล้วแต่ฉัน และฉันจะแจกแจงว่าใครควรทำอะไร เพราะทุกคนเองที่เป็นฝ่ายโยนให้ฉันจัดการ แต่เหตุใดเมื่อหวนกลับมาเจอกันฉันจึงถูกตำหนิ
ฉันใช้ใจมองย้อนทบทวนทุกเหตุการณ์ที่ถูกเพื่อนสนิท เพื่อนร่วมงาน เจ้านายหรือแม้แต่คนข้างบ้านที่ต่างเข้ามาตำหนิวิพากษ์วิจารณ์ฉันนั้น ล้วนเกิดจากการกระทำของฉันเองจริงๆ ฉันถามเพื่อนๆจริงแต่ใช่ว่าทุกคนจะเห็นตรงกันไปเสียหมดเพียงแต่ไม่กล้าจะขัดใจเพื่อนมากกว่า เพื่อนร่วมงานผู้หญิงที่ฉันไม่ค่อยชอบมีปฏิสัมพันธ์ใดๆนอกจากเรื่องงานเพราะรำคาญการพูดคุยเรื่องเสื้อผ้าและเครื่องสำอางค์แต่กลับไปพูดคุยสนุกสนานเรื่องเกมส์หรือการ์ตูนกับเพื่อนร่วมงานชาย หากเป็นยุคนี้คงไม่เกิดปัญหาอะไรกับฉันเลยแต่นี่คือเหตุการณ์ย้อนกลับไปเมื่อ20ปีที่แล้ว ฉันจึงโดดเด่นในเรื่องชู้สาวแม้ไม่เป็นความจริงแต่ภาพมันชวนให้ผู้อื่นคิดและฉันเองเป็นคนกระทำให้ภาพนั้นเกิดขึ้น
ฉันไม่สนใจกับคำนินทาติติงที่ไม่เป็นจริงแต่สังคมสนใจ นั่นเป็นความจริงที่สุดและการชอบพูดตัดบทเพื่อลดความรำคาญของฉันเองนั่นก็เรียกได้ว่า"เสียมารยาท" กล่าวโดยรวมก็คือ"ฉันยอมรับและจำนนต่อหลักฐาน" เหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้กัลยาณมิตรทั้งหลายไม่เคยรับรู้มาก่อน แต่คนที่มีอุปนิสัยเช่นไรก็มักแสดงออกเช่นนั้นเสมอแม้ไม่มีเจตนาทำให้ผู้ใดเดือดร้อน แต่ก็ต้องยอมรับว่าก่อให้เกิดความยุ่งยากใจในสังคมรอบตัวอยู่เช่นกัน เมื่อฉันยอมรับในตนเองตรงๆเช่นนี้แล้ว ฉันก็เริ่มมองเห็นหนทางที่จะเดินต่อในทางธรรมแล้ว
โฆษณา