19 ม.ค. 2021 เวลา 15:23 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
#รีวิวTENETแบบเปิดเผยเนื้อหา
#หนังสุดท้าทายคนดูประจำปี2020
จากที่เคยรีวิวความน่าดูของ TENET ไปก่อนหน้านี้ โดยที่ไม่ได้มีการเปิดเผยเนื้อหาและเรื่องราวของตัวหนัง มาโพสท์นี้ เราจะมารีวิวแบบลงลึกถึงเนื้อหา และการดำเนินเรื่องของหนังเรื่องนี้กันบ้าง หลังจากที่หนังเองก็เข้าฉายมาเป็นเวลาเกิน 2 อาทิตย์แล้ว
อย่างที่น่าจะรู้กันดีในตอนนี้แล้ว TENET เป็นหนังเรื่องล่าสุดจากฝีมือการกำกับของผู้กำกับมากฝีมือ และคุณภาพคับแก้วอย่าง คริสโตเฟอร์ โนแลน ที่มีเครดิทการกำกับหนังที่สุดยอดมากมาย ไล่มาตั้งแต่ Memento, The Prestige, Batman Trilogy, Inception, Dunkirk และ Interstellar จนมาถึง TENET ที่เป็นเรื่องล่าสุด
ก่อนอื่นเลย ไขข้อข้องใจกันก่อนว่า TENET คือหนังเกี่ยวกับอะไรกันแน่? หลังจากที่ตัวอย่างแต่ละชิ้นที่ปล่อยออกมานั้น ไม่สามารถทำให้เราสรุปได้เลย
TENET คือหนังการจารกรรม/สายลับ ล้ำยุคที่มีเป้าหมายและศูนย์กลางของเรื่องอยู่ที่การป้องกันการล่มสลายของโลกปัจจุบัน จากการโจมตีของกลุ่มคนจากโลกอนาคต โดยที่ฝั่งตัวเอกของเราเป็นฝั่งผู้ปกป้องโลก (แน่นอนแหละ) และต้องสู้กับสิ่งที่พวกเค้าไม่สามารถคาดเดาหรือวางแผนรับมือได้ด้วยวิธีการปกติ
TENET พูดถึงโลกในอนาคตอันใกล้ (?) ที่โลกยุคปัจจุบัน ตกอยู่ภายใต้อันตราย จากการคุกคามของกลุ่มคนจากอนาคต ที่มองว่าการคงอยู่ของคนในยุคปัจจุบัน ส่งผลร้ายต่อสิ่งแวดล้อมและโลก จนทำให้ในอนาคตข้างหน้านั้น โลกตกอยู่ในความเสี่ยงของการล่มสลายของอารยธรรมมนุษย์ และทำให้มนุษย์เสี่ยงต่อการสูญพันธ์ โดยที่ในอนาคตนั้น มีนักวิทยาศาสตร์ที่สามารถสร้าง “อัลกอริทึม” และ “อุปกรณ์” ที่สามารถ “ย้อนกลับ” การไหลของกระแสเอนโทรปี และทำให้เวลาไหลย้อนกลับได้
ใช่ครับ TENET พูดถึงการไหลย้อนกลับของเวลา โดยผ่านการกลับทิศทางการไหลของปริมาณทางฟิสิกส์อย่างหนึ่ง ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากตามกฏของธรรมชาติอย่าง “เอนโทรปี”
เอนโทรปี เป็นปริมาณทางฟิสิกส์อย่างหนึ่ง ที่แสดงถึงทิศทางการเปลี่ยนแปลงของพลังงานและสถานะของสิ่งต่างๆ ซึ่งทิศทางการไหลของกระแสเอนโทรปี สัมพันธ์กับทิศทางการไหลของกระแสเวลา กล่าวแบบเข้าใจง่ายๆ หรือสมมติให้เห็นภาพคือ ในโลกปกติที่เราอยู่กัน เอนโทรปีกับเวลานั้น ไหลไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งใน TENET นั้น โจทย์ที่โนแลนตั้งขึ้นมาคือ หากเรากลับทิศทางการไหลของเอนโทรปี หรือย้อนการไหลของมันได้ ก็จะทำให้เราย้อนทิศการไหลของเวลาได้ใช่หรือไม่?
ซึ่งในหนังเรื่องนี้มองว่ามันจะเป็นเช่นนั้น
การไหลย้อนกลับของเวลา หรือการเดินทางย้อนเวลาในเรื่อง TENET นั้น ไม่เหมือนกับในหนังเดินทางข้ามเวลาเรื่องอื่นๆ ในเรื่องอื่นๆนั้น ตัวละครสามารถเดินทางข้ามไปยังจุดไหนก็ได้บนไทม์ไลน์ของเส้นเวลา เปรียบเสมือนการกระโดด จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ไม่ว่าจะไปข้างหน้า หรือข้างหลัง ซึ่งโดยปกติ การกระทำดังกล่าว มักจะก่อให้เกิดความเสี่ยงของการ “แยกไทม์ไลน์” ของเวลาเกิดขึ้น แบบที่เราเห็นจากหนังหลายๆเรื่อง (โดยเฉพาะหนังซูเปอร์ฮีโร่)
ใน TENET นั้น การเดินทางย้อนเวลาของเรื่องนี้ เปรียบเสมือนการเดินถอยหลังของตัวละครนั้นๆ ย้อนมาตามไทม์ไลน์เส้นเวลาเดิม ย้อนทางกลับมา (ไม่ได้กระโดดข้ามไปมา) ทำให้มีความแตกต่างตรงที่ สิ่งต่างๆที่เกิด ก็จะยังดำเนินไปตามไทม์ไลน์ของเวลา และมันตัดปัญหาเรื่องของการสร้าง “ไทม์ไลน์แยก” จากการกระทำของตัวละครด้วย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ “แปลกใหม่” และไม่เคยมีหนังเรื่องไหนทำแบบนี้แบบเต็มสเกลมาก่อนเลย
จากหลักการดังกล่าว ทำให้เราจะเห็นการเคลื่อนที่ในหนัง ของหลายๆตัวละคร และในหลายๆฉาก มีทั้งคนที่เคลื่อนที่ตามปกติ (เคลื่อนที่ไปข้างหน้าตามไทม์ไลน์) และ เคลื่อนที่แบบย้อนกลับ (เคลื่อนที่ถอยหลังตามไทม์ไลน์) ซึ่งจุดที่จะทำให้คนดูงงและสับสนได้ง่ายคือ การที่โนแลนสื่อภาพของการเคลื่อนที่ของตัวละครและรอบข้างออกมา “จากมุมมองของตัวละครแต่ละคน”
ในเรื่องนั้น หากตัวละครเคลื่อนที่ไปข้างหน้าตามเวลา ไปพบเจอกับตัวละครหรือเหตุการณ์ที่เคลื่อนที่ย้อนกลับ เค้าจะเห็นการเคลื่อนที่ของฝั่งตรงข้ามแบบย้อนกลับ ซึ่งก็ไม่น่างงมากนัก
แต่ความพีคคือ ตัวละครที่เคลื่อนที่ย้อนกลับหรือสวนกับเวลานั้น เมื่อไปพบเจอตัวละครหรือเหตุการณ์ที่เคลื่อนที่ปกติ เค้าจะเห็นฝั่งตรงข้ามเคลื่อนที่ย้อนกลับเช่นกัน มันจึงเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมคนดูอาจจะงงได้ว่า ตอนนั้น “ใครเคลื่อนที่ตามเวลา” และ “ใครเคลื่อนที่สวนกลับกับเวลา”
หากใครมีโอกาสเข้าไปดูอีกรอบ ก็อาจจะใช้หลักการนี้ เพื่อแยกตัวละครออกตามการเคลื่อนที่ของแต่ละกลุ่มได้ โดยเฉพาะในช่วงท้ายของหนัง ที่มีการเคลื่อนที่ของตัวละครทั้ง 2 แบบ ปะปนกันอยู่ และดำเนินไปพร้อมๆกัน เพื่อจะได้เข้าใจเหตุการณ์ตอนท้ายมากขึ้น
ในส่วนของการดำเนินเรื่องนั้น TENET มีการดำเนินเรื่องโดยแบ่งจังหวะเรื่องออกเป็น 2 จังหวะใหญ่ๆด้วยกัน นั่นคือในช่วงแรกที่เป็นการปูเนื้อเรื่อง เปิดตัวละคร และอธิบายถึงกลไกของการย้อนเวลาในเรื่อง ซึ่งเรื่องจะดำเนินไปด้วยสปีดที่ธรรมดาและค่อนไปทางช้า เพื่อให้คนดูสามารถจับเหตุการณ์ได้ทัน และเข้าใจเนื้อเรื่องได้ง่ายขึ้น
และเมื่อหนังเดินทางมาถึงจุดที่ตัวหนังเปิดเผยกลไกทั้งหมดของการย้อนเวลาให้ตัวเอกของเราเข้าใจแล้ว (และก็คงจะคาดหวังให้คนดูเข้าใจเช่นกัน) ตัวหนังก็ปรับจังหวะการเล่าเรื่องและสปีดของหนังขึ้นมาอีกหลายระดับ เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ในเรื่อง และเพื่อตามเก็บรายละเอียดและจบเรื่องให้ได้แบบไม่เยิ่นเย้อจนเกินไปด้วย
ลำดับของการเล่าเรื่อง ดูมีความเป็นเส้นตรง ไม่ซับซ้อนกระโดดไปมา แม้จะมีการซ้อนทับกันของบางเหตุการณ์ แต่ตัวหนังก็เลือกที่จะเล่าทุกอย่างแบบเป็นเส้นตรง ที่ค่อยๆวนมาบรรจบกันกับบางเหตุการณ์ในภายหลังตามการย้อนเวลาแค่นั้น ทำให้เชื่อเหลือเกินว่า แม้หลายๆคนจะตามไม่ทันเรื่องหลักการของการย้อนเวลาและการเคลื่อนที่ต่างๆ แต่ก็จะติดตามดู และเข้าใจภาพใหญ่ของหนังได้ ตั้งแต่ต้นจนจบ และเอนจอยไปกับเนื้อหาของหนังได้เหมือนคนอื่นๆ
รายละเอียดของหนังนั้น ตามมาตรฐานของโนแลนแล้ว ต้องบอกเลยว่า “ไม่ทำให้ผิดหวัง” เมื่อเจ้าตัวตามเก็บรายละเอียดทุกอย่างได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนที่ของตัวละครแต่ละกลุ่ม รายละเอียดของการพูด, บทสนทนา และรายละเอียดของฉากที่ถ่ายทำยากๆต่างๆ เจ้าตัวเก็บได้อย่างละเอียดหมดจด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าใครได้อ่านเบื้องหลังของการถ่ายทำแล้ว จะรู้เลยว่า การที่หนังออกมาสมบูรณ์แบบขนาดนี้นั้น ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเลยจริงๆ
ดนตรีประกอบในแต่ละช่วง เข้ากับสถานการณ์และบรรยากาศของแต่ละเหตุการณ์ ช่วยขับอารมณ์ให้กับคนดูได้มีอารมณ์ร่วมไปกับหนังและการกระทำของตัวละครได้ตลอดเวลา ตั้งแต่เริ่มต้น จนจบเลยทีเดียว
การแสดงของตัวละครหลักแต่ละคนนั้น เข้าขั้นสมบูรณ์แบบ ทั้งการส่งสายตา ท่าทาง และการส่งอารมณ์ในฉากต่างๆ เคมีของตัวละครเข้ากันมาก โดยเฉพาะตัวเอกกับเพื่อนร่วมภารกิจอย่าง นีล ที่เคมีเข้ากัน จนเกิดเป็นกระแสจิ้นเล็กๆของทั้งคู่ขึ้นมาในโลกโซเชียลเลยทีเดียว นอกจากนี้ ความสง่าและรัศมีจับของ เอลิซาเบธ เดบิคกี้ ก็ทำให้เราเอาใจช่วยตัวละครของเธอ ที่ต้องประกบกับตัวร้ายที่ร้ายแบบไม่น่าให้อภัยของ เคนเนธ บรานาห์ อย่างตัวละคร อังเดร เซเทอร์ ได้แบบไม่ยาก เป็นการแยกกลุ่ม ฝั่งคนดี และฝั่งตรงข้าม ได้อย่างชัดเจน ผ่านการคัดเลือกคนแสดงเลยก็ว่าได้
บทสรุปของตัวหนัง และการคลี่คลายปมต่างๆของเรื่องก็ทำได้อย่างดี ทุกอย่างมีที่มีที่ไปชัดเจน และเชื่อมโยงกันเป็นวัฏจักรปิดที่สวยงาม ทำให้เราเข้าใจถึงแก่นแท้ของเรื่อง แก่นขององค์กรอย่าง TENET และที่มาของสัญลักษณ์ประสานมือได้อย่างถ่องแท้ เมื่อดูจบ
เรียกได้ว่า เป็นการตอกย้ำได้ดีถึงประโยคที่ตัวละครนีลพูดเสมอๆกับเพื่อนของเค้าว่า “อะไรที่มันเกิดขึ้นไปแล้ว มันก็เกิดขึ้นไปแล้ว - What’s happened, happened” ซึ่งสำหรับเราเองแล้ว นี่คือแก่นหลักที่สำคัญที่สุดของเรื่องนี้เลยทีเดียว
ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง และเมื่อเข้าใจหนังเรื่องนี้จริงๆแล้ว คุณจะอยากปรบมือให้กับความคิดของยอดผู้กำกับอย่าง คริสโตเฟอร์ โนแลน แบบดังๆเลยทีเดียว
TENET - 9.5/10
โฆษณา