20 ม.ค. 2021 เวลา 10:30 • ข่าว
EP. 91 “The Golden State Killer”
เชื่อว่าหลายๆคนที่เป็นแฟน True Crime ตัวยง น่าจะรู้จักเรื่องของ serial killer คนนี้ The Golden State Killer เป็นชื่อหรือสมญาณามที่ตั้งขึ้นให้กับฆาตกรต่อเนื่องที่มีชื่อเสียงมากอันดับต้นๆคนนึงของสหรัฐอเมริกาเลยทีเดียว
1
Joseph DeAngelo ในวันที่ถูกจับ
ชายผู้ทำการย่องเบา ปีนเข้าไปในบ้านและรื้อค้นขโมยของในบ้านผู้คนมากกว่า 120 หลัง ในช่วงเวลาแค่ 1 ปี
ชายผู้ที่ทำการทำร้าย ข่มขืนและล่วงละเมิดทางเพศผู้หญิงมากกว่า 50 ราย (ที่มีการแจ้งความกับตำรวจ)
ชายผู้ที่ตำรวจมั่นใจว่าเป็นฆาตกร ที่ทำการพรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปถึง 13 ราย ด้วยวิธีอันโหดร้ายและป่าเถื่อน
ที่สำคัญชายคนนี้หนีคดีและความชั่วที่ตัวเองก่อเอาไว้ได้ถึง 40 กว่า ปีด้วยกัน และจริงๆแล้ว เขาไม่น่าจะโดนจับได้ด้วยซ้ำ หากไม่ใช่เพราะเหตุบังเอิญและความสงสัยของเจ้าหน้าที่คนนึง
4
คดีนี้ในตอนแรก ก้อยจะเอาไปทำคลิปใน youtube เป็นคดีแรก เพราะเป็นคดีที่ก้อยอึ้งกับรายละเอียด ทั้งรายละเอียดการก่ออาชญากรรม รายละเอียดการสืบตัวหาผู้กระทำผิด แต่ด้วยความซับซ้อนของคดี และเนื้อหาที่เยอะมาก บวกกับความอ่อนด้อยในการทำ content ของก้อยในรูปแบบ Video ลองมาสี่รอบ ดูแล้ว งงแน่แม่จ๋า เลยเลือกเขียนแทนดีกว่านะคะ เพราะอยากให้ทุกคนอ่านแล้วคิดตาม
4
จริงๆแล้ว The Golden State Killer เนี่ย ไม่ได้ชื่อว่า The Golden State Killer มาตั้งแต่แรกหรอกนะคะ ผู้คนเรียกขนานนามเขาในหลายๆชื่อด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น “The Visalia Ransacker” “The East Area Rapist” “The Original Night Stalker” และชื่อสุดท้าย “The Golden State Killer” เป็นชื่อที่พึ่งถูกตั้งมาใหม่ไม่นาน จุดประสงค์เพื่อให้คนจำอาชญากรรมของเขาได้ และเพื่อช่วยกันหาเบาะแสตามสืบตัวเขาค่ะ โดยเรื่องที่ก้อยจะเล่าให้ทุกคนฟัง ก้อยจะแบ่งเป็นตอนๆ ตามชื่อแต่ละชื่อที่ผู้คนตั้งให้กับฆาตกรรายนี้นะคะ ที่มีชื่อเรียกต่างกันนั้น เพราะจริงๆแล้ว ในตอนแรก อาชญากรรมแต่ละอย่าง เกิดขึ้นในแต่ละเขตท้องที่กัน (แม้จะเป็นในรัฐ California เหมือนกัน) และเป็นอาชญากรรมที่ต่างกันสุดขั้ว ตำรวจนั้นถึงแม้จะมีบางคนที่สงสัย แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นการก่ออาชญากรรมจากคนคนเดียวกัน จนกระทั่งหลายสิบปีให้หลังค่ะ
8
**The Golden State Killer เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นมาโดยผู้หญิงที่มีชื่อว่า Michell Mcnamara โดย Michell เป็น blogger แนว true crime ที่หมกหมุ่น ตามเก็บรายละเอียดเกี่ยวกับ The Golden State Killer และสามารถเข้าร่วมทำงานกับตำรวจจนเก็บรายละเอียดไว้ได้เยอะพอสมควร Michell ในตอนนั้น รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ The Golden State Killer ไว้เยอะมากจนนำมาเขียนเป็นหนังสือที่มีชื่อว่า “I’ll be gone in the dark” ซึ่ง HBO ขอซื้อลิขสิทธิ์ไปทำเป็นสารคดีเรียบร้อยแล้ว แต่น่าเสียดาย ก่อนหนังสือจะเขียนจบได้ไม่นาน Michelle เสียชีวิตในขณะที่กำลังนอนหลับ ทำให้เพื่อนของ Michelle ต้องมาเขียนต่อ ก้อยแนะนำหนังสือเรื่องนี้สำหรับคนที่อยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมนะคะ
8
Part I : “The Visalia Ransacker”
ช่วงปี 1974 - 1975 เกิดเหตุโจรขโมยชุกชุมในย่านเมืองที่มีชื่อว่า “Visalia” ของรัฐ California สหรัฐอเมริกา โดยเจ้าหน้าที่คิดว่า โจรที่ก่อคดีดังกล่าวนั้นเป็นโจรคนเดียวกัน เนื่องมาจาก signature ที่เหมือนๆกันเลยคือ โจรคนดังกล่าว รู้นอกออกในบ้านแต่ละหลังเป็นอย่างดี พอเข้าไปในบ้านแล้ว แทนที่จะหยิบของมีค่าแล้วรีบหนี แต่โจรคนนี้มักจะชอบรื้อคุ้ยสิ่งของในบ้าน เอาชุดชั้นในผู้หญิงรื้อออกมาวางเกลื่อน และเอาของที่มีมูลค่าไม่ค่อยเยอะไปแทน เช่น ทุบกระปุกออมสิน เครื่องประดับเล็กๆน้อยๆ (บางทีเอาต่างหูไปข้างเดียวงี้ ไม่รู้จะเอาไปทำไม เอาไปก็ขายไม่ได้) stamp หรือเหรียญที่เป็นของเก็บสะสม ทั้งๆที่ในบ้าน มีของราคาแพง แม้กระทั่งเงินสดวางเอาไว้อย่างเห็นได้ชัด อีกความแปลกของโจรรายนี้เลยคือ มักจะชอบ “ชิล” อยู่ในบ้านของเหยื่อ กล่าวคือ เปิดเอาของในตู้เย็นมาทำ sandwich กินบ้าง เปิดกระป๋องน้ำอัดลม หรือเบียร์กิน เอาไปนั่งกินที่ระเบียง แล้วก็จากไปทั้งๆที่ทิ้งหลักฐานเอาไว้มากมาย เหมือนกับโจรรายนี้จะรู้เลย ว่าในบ้านหลังดังกล่าวมีสมาชิกกี่คน คนในบ้านจะออกจากบ้านกี่โมง และจะกลับเข้ามาในบ้านกี่โมง เลยรู้ว่าตัวเองจะมีเวลาพิรี้พิไรอยู่ในบ้านเท่าไหร่ ในช่วงปีดังกล่าว โจรรายนี้ไปเยี่ยมเยียนบ้านถึง 120 กว่าหลังด้วยกัน
11
พอเกิดเหตุยกเค้าบ่อยขึ้น (บางทีทุกสองอาทิตย์ บางทีทุกสองวัน บางคืน โดนไปสองหลัง ขยันจริงพ่อคุณ) ประชาชนก็เริ่มกังวล ไม่ใช่แค่ประชาชน เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ด้วย แทนที่จะส่งหน่วยลาดตระเวนขับรถลาดตระเวนอย่างเดียว ก็เริ่มมีการให้ตำรวจตรวจตราบ้านเรือนในละแวก Visalia แบบเดินเท้า ซึ่งในวันนึง เจ้าหน้าที่ตำรวจ McGowen ที่เป็นหน่วยลาดตระเวน ก็เจอ Jackpot เข้าจนได้
2
เจ้าหน้าที่ McGowen เดินตรวจตราบ้านในย่าน Visalia ในช่วงกลางดึกคืนนึง ขณะที่กำลังเดินไปเดินมา (น่าจะไม่คิดว่าจะเจอ Jackpot) ก็เจอกับชายคนนึง โดนลงมาจากกำแพงบ้านหลังนึง หล่นลงมาอยู่ตรงหน้าพอดี ชายคนดังกล่าว แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีดำ และสวมใส่หน้ากากสกีสีดำเช่นกัน
“หยุดอยู่ตรงนั้น ยกมือขึ้นแล้วหันมาช้าๆ!!!!” เจ้าหน้าที่ McGowen ตะโกนใส่ชายผู้ต้องสงสัย ให้ลองนึกสภาพเวลาเราดูหนังฝรั่งแล้วตำรวจพยายามจะจับคนร้ายในตอนกลางคืน ในขณะที่ตะโกน ตำรวจถือไฟฉายกระบอกใหญ่ สาดใส่หน้าคนร้าย พร้อมถือปืนจ่อไปที่คนร้ายข้างๆ กระบอกไฟฉาย แบบนั้นละค่ะ
2
แต่คนร้ายดังกล่าวไม่หยุด เขาชักปืนขึ้นมา แล้วยิงสวนเจ้าหน้าที่ McGowen ในทันที เดชะมหาบุญ ลูกกระสุนปืนยิงเข้าถูกไฟฉายอันใหญ่ที่เจ้าหน้าที่ McGowen ถืออยู่พอดีก่อนที่คนร้ายจะหนีไป เจ้าหน้าที่ McGowen ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่ก็ชะงักไปทั่วขณะ และกว่าจะวิ่งตามคนร้ายทัน เขาก็โดดข้ามรั้วหนีไปแล้วหายไปกับความมืดมิด
1
**ถ้าให้เดา คงเป็นบ้านแถบในเมืองที่มีรั้วเยอะมาก แต่ละบ้านมีรั้วหมด ไม่เหมือนกับบ้านฝรั่งในหลายๆท้องที่ที่ไม่ค่อยมีรั้วล้อมรอบบ้าน ลักษณะคนร้ายคือมีการโดดรั้วและปีนรั้วหนีเยอะมาก
1
ถึงแม้ว่าจะมีพยานคือเจ้าหน้าที่ McGowen แต่ก็ไม่ได้รูปพรรณ หน้าตาของคนร้ายมากนัก รู้แค่ว่าคนร้ายนั้นมีรูปร่างท้วมใหญ่ สูงประมาณ 5’9-5’10 เท่านั้นเอง
หลังจากที่ปะเข้ากับเจ้าหน้าที่ McGowen แล้วนั้น เหตุการณ์ยกเค้าบ้านต่างๆในเขต Visalia ก็หยุดลง ทุกคนต่างพากันโล่งใจ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ หรือเพราะการที่คนร้าย เจอเข้ากับเจ้าหน้าที่ McGowen ในครั้งนั้น ทำให้คนร้ายเกิดกลัวจนไม่กล้าก่อเหตุอีกแน่ๆเลยใช่ไหม? ดีจริงๆ ต่อไปนี้จะได้ไม่ต้องมาปวดหัวกับโจรรายนี้อีกแล้ว
3
ภาพข่าวเหตการณ์ที่คนร้ายเจอเข้ากับเจ้าหน้าที่ McGowen
ภาพข่าวและภาพ sketch ที่มีคนเห็นตัวคนร้าย
….แต่สิ่งที่ทุกคนไม่รู้เลยว่า ในอีกย่านนึงของเมือง ฝันร้ายนั้นเริ่มทยอยเกิดขึ้น
Part II: “The East Area Rapist”
1
เรื่องต่างๆมันเริ่มขึ้นในเดือน มิถุนายน ปี 1976 แถบเมือง Sacramento และย่านเมืองทางเหนือของรัฐ California ตำรวจมักจะได้รับแจ้งจากเหยื่อที่เป็นผู้หญิงที่อยู่บ้านคนเดียว (หรือพร้อมเด็ก หรือลูกเล็กๆ) ว่ามีคนร้ายลอบเข้าไปในบ้านของพวกเธอ ก่อนที่ทำการล่วงละเมิดทางเพศ และข่มขืนเหยื่อเป็นเวลาหลายครั้ง ติดต่อกันเป็นเวลานาน โดย signature ของคนร้ายนั้นคล้ายกันเกือบหมดทุกเคส
ให้เราลองนึกภาพว่า เราล็อกประตูหน้าต่าง ปิดไฟ เดินขึ้นไปนอนในห้องนอน และหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน อยู่ดีๆก็ถูกปลุกให้ตื่น โดยมีคนมายืนอยู่ตรงขอบประตู หรือปลายเตียง สาดไฟจ้าส่องใส่หน้าเรา แล้วพูดจาขู่เราให้ทำตามต่างๆนาๆ แถมพอมองดีๆ เราจะเห็นว่าชายคนร้าย สวมใส่หน้ากากสกีสีดำปิดบังใบหน้า สวมเสื้อยืดสีดำ……..และท่อนล่างเปลือยเปล่า ไม่ใส่อะไรเลยเราจะทำยังไง และจะตกใจกลัวขนาดไหน
**เทคนิคการส่องไฟจากไฟฉายใส่หน้าตอนเราพึ่งตื่น จะทำให้เหยื่องัวเงียและตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เหมือนตอนกวางกำลังจะข้ามถนนแล้วเจอไฟหน้ารถแล้วหยุดนิ่งเพราะตกใจนั้นเองค่ะ
4
เราจะสรุปของบางเคสที่เราได้ไปอ่านหรือฟังการให้สัมภาษณ์จากเจ้าหน้าที่และเหยื่อที่รอดชีวิตมาได้ มาให้ทุกคนฟังตามนี้นะคะ เพราะเอามาหมดทุกคดีมันจะเยอะเกิน
2
🔥 เหยื่อผู้หญิง A. ถูกปลุกให้ตื่นเพราะมีเสียงเรียกชื่อเธอ คนร้ายเอาไฟฉายเคาะกรอบประตู ปลุกให้เหยื่อตื่น(ในตอนแรกเหยื่องงว่าคนร้ายรู้จักชื่อเธอได้อย่างไร??? แต่ไปๆมาๆเจ้าหน้าที่คิดว่า คนร้ายน่าจะเห็นจากใบขับขี่ที่อยู่ในกระเป๋าเธอมากกว่าค่ะ แล้วไปเรียกชื่อเหยื่อเพื่อปั่นหัวเหยื่อเล่น) คนร้ายเอาเชือกมัดมือมัดเท้าเหยื่อ ลงมือข่มขืนเหยื่อ ก่อนที่จะออกไปหาอะไรกินในครัว พอเสร็จแล้วก็กลับมาข่มขืนเหยื่อ ทำแบบนี้หลายๆครั้ง ก่อนจะจากไป
🔥เหยื่อผู้หญิง B. อยู่บ้านกับลูกชายวัย 3 ขวบ สามีของ B. พึ่งออกจากบ้านไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก่อนที่ B จะได้ยินเสียงคนเดินในบ้าน B. คิดว่าเป็นสามีลืมของแล้วกลับมาเอาของที่บ้าน ก่อนที่จะตะโกนถามไป จนกระทั่งเจอเข้ากับคนร้าย สภาพเหมือนที่บรรยาย เดินเข้ามาจับ B. มัดมือมัดเท้า จับลูกของ B. แยกไปอีกห้องนึง พูดจาผ่านไรฟัน (พยายามดัดเสียง) เปิดทีวี ทิ้งไว้ก่อนจะเอาผ้าขนหนูมาบังทีวี เพื่อให้ในห้องมีแสงไฟบ้าง แต่มีแบบน้อยๆ ก่อนจะลงมือข่มขืนเหยื่อ หลายๆครั้ง หลายๆรอบ ซ้ำไปซ้ำมา ก่อนจะจากไป ไม่ทำร้ายเด็ก
5
🔥เหยื่อผู้หญิง C. มีอายุแค่เพียง 15 ปี อยู่บ้านคนเดียวในขณะที่พ่อ (ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ) เดินทางไปรับลูกสาวอีกคน C. มีนัดกับเพื่อน เลยนั่งเล่นเปียโนรอ อยู่ดีๆรู้สึกว่ามีคนมองจากข้างหลัง พอหันไปก็เจอกับคนร้ายยืนอยู่ คนร้ายเอาเชือกรองเท้าของเหยื่อมามัดมือมัดเท้าเหยื่อ ก่อนจะลงมือข่มขืน เหมือนเดิม ทำหลายๆครั้งๆ และอยู่ในบ้านเป็นเวลานาน เปิดหาของกินไปเรื่อย ก่อนจะวกกลับมาข่มขืนเหยื่ออีก
3
🔥เหยื่อผู้หญิง D. อยู่บ้านกับพี่สาว/น้องสาว สองคน เจอกับคนร้ายลอบเข้ามา ก่อนที่จะพาคนนึงไปมัดมือมัดขาไว้อีกห้องแล้วลงมือข่มขืนอีกคน ตำรวจสันนิษฐานจากคดีนี้ว่า คนร้ายเลือกเหยื่อ และน่าจะซุ่มดูเหยื่อมานานแล้ว ก่อนที่จะตัดสินใจลงมือ
5
เหยื่อบางรายของคนร้ายรายนี้มีอายุน้อยมาก หนึ่งในนั้นมีอายุเพียงแค่ 13 ปี และตอนที่เธอถูกข่มขืน อีกสองห้องนอนในบ้าน มีพ่อและพี่สาวของเธอกำลังนอนหลับอยู่อีกด้วย
2
**อายุน้อยที่สุดคือ 12 ปี และผู้หญิงคนนี้ (ณ ตอนนี้อายุ 50 กว่าปีแล้ว) รู้ด้วยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เพราะตื่นมาตอนดึกแล้วเจอเข้ากับคนร้าย ที่มัดเธอไว้แล้วถือจานไปยังห้องแม่ของเธอ เธออ่านข่าวอาชญากรรมของ The East Area Rapist มาเยอะมาก และคิดว่า ทำไมยังจับคนร้ายรายนี้ไม่ได้ซักที ในคืนนั้น เด็กน้อยวัย 12 ปี กลายมาเป็นเหยื่อรายที่ 27 ของ The East Area Rapist
5
พอเกิดเหตุการณ์เยอะๆขึ้น ในที่สุดก็มีหนังสือพิมพ์ฉบับนึง ตีพิมพ์ข่าวของคนร้ายที่ตอนนี้มีชื่อที่สื่อและประชาชนตั้งให้คือ “The East Area Rapist” และมีข้อความนึงที่ปรากฎในข่าวว่า The East Area Rapist ไม่เข้าไปก่อคดีในบ้านที่มี “ผู้ชาย”
นั้นละค่ะ เหมือนมีคนมา Challenge เราละมั่ง นับแต่นั้นเป็นต้นมาคดีต่อไป The East Area Rapist ก็เข้าไปในบ้านที่มีผู้ชายอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสามี หรือแฟนของเหยื่อ ซึ่งส่วนมากจะนอนอยู่ข้างๆกันนั้นแหละค่ะ โดย signature เหมือนเดิม เข้าไปในบ้าน แล้วไปยืนอยู่ปลายเตียง ส่องไฟฉายใส่หน้า พูดจาข่มขู่ ให้ฝ่ายหญิงเป็นคนเอาเชือกมัดฝ่ายชาย และต้องมัดให้แน่นด้วยนะ ก่อนที่จะมัดฝ่ายหญิงแล้วลากเอาไปไว้ในห้องรับแขก หรือห้องนั่งเล่น พร้อมกับเอาถ้วยจานชาม ออกมาจากห้องครัว แล้วเอาไปซ้อนวางเทินไว้บนหลังของฝ่ายชาย และขู่
4
“หากฉันได้ยินเสียงจานชามพวกนี้กระทบกันแม้แต่สักนิดเดียว ฉันจะฆ่าแก ฆ่าผู้หญิง และคนอื่นๆในบ้านด้วย” หากมีเด็กอยู่ในบ้านก็จะขู่ฆ่าเด็ก
2
ภาพจากหนึ่งในสถานที่เกิดเหตุ
ผู้ชายพวกนี้ต้องนอนอยู่นิ่งๆ ทนฟังเสียงแฟนสาว หรือภรรยาของตัวเองโดนทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำอีก บางทีคนร้ายก็จะเดินเข้ามาในห้องเพื่อเช็คดูว่าฝ่ายชายขยับไหม บางทีก็เดินไปมาในบ้าน ในครัว คนร้ายมักจะใช้เวลาอยู่ในบ้าน 3-4 ชั่วโมงด้วยกัน
**ซึ่งเหยื่อ พอคนร้ายหนีไปแล้วก็ไม่แน่ใจว่าคนร้ายหนีไปจริงๆหรือเปล่า หรือจริงๆแล้วยังนั่งอยู่ที่มุมห้อง เลยไม่กล้าแก้มัด ไม่กล้าลุกขึ้นมาโทรแจ้งตำรวจ กว่าจะรู้ตัวว่าคนร้ายไปแล้ว คนร้ายก็หนีไปนานแล้วค่ะ
1
🔪ในบางเคส ฝ่ายชายพอเห็นคนร้าย ก็ไปคว้าปืนจากตู้ข้างเตียงออกมา แต่ยิงไม่ออก พอมองไปที่คนร้าย คือคนร้ายถือลูกกระสุนให้ดูอยู่ในมือ
**ยังกับในหนังแม่เอ๋ยยยยยยยย คิดว่าในบางราย คนร้ายแอบเข้ามาในบ้านก่อน เหมือนมาดูลาดเลา พอเห็นมีปืน เลยปลดกระสุนออกก่อนเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง
3
🔪 มีอยู่หนึ่งเคส ขณะที่คนร้ายกำลังเดินไปเดินมา ด้วยร่างกายเปลือยเปล่า (น่าจะหลังจากแยกสามีภรรยาออกจากกันแล้ว) มีลูกวัย 6 ขวบของคู่สามีภรรยาเคราะห์ร้าย เดินมาเข้าห้องน้ำแล้วเจอเข้ากับคนร้ายพอดี คนร้ายเห็นหนูน้อยเดินมาก็บอกเด็กว่า “I’m playing a game with your mom and dad, wanna play?” โชคดี เด็กก็คือเด็ก เด็กเลยเดินไปเข้าห้องน้ำ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปนอน
1
พอเกิดเหตุการณ์เยอะๆขึ้น เจ้าหน้าที่เห็นได้ว่าประชาชนเริ่มแตกตื่น ก็จัดให้มีการประชุมขึ้นใน Townhall เพื่ออบรมให้ประชาชน เพิ่มรูปแบบการรักษาความปลอดภัยในบ้านตัวเอง และจะทำยังไงหากอยู่ดีๆ บังเอิญเจอเข้ากับคนร้ายในบ้านของตัวเอง
1
ในขณะที่มีการประชุมกันนั้น มีผู้ชายคนนึงพูดขึ้นมาด้วยเสียงดังท่ามกลางที่ประชุมว่า เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าในบ้านที่เกิดเหตุก่อนหน้านี้มีผู้ชายอยู่ด้วย เป็นผู้ชายประสาอะไร ปล่อยให้เมียตัวเองโดนข่มขืนได้ ถ้าเป็นเขานะ ไม่มีทาง “If he ever comes to my house, I’ll kill him.”
………..อีกไม่กี่เดือนต่อมา บ้านของชายคนดังกล่าวมีคนร้ายคนเดียวกันนั้นไปเยี่ยมเยือน และทำร้ายเขากับภรรยา เหมือนกับทุกคดีที่ผ่านๆมา
4
ตำรวจมั่นใจว่าคนร้ายตัวจริงนั้น ต้องอยู่ในที่ประชุมแห่งนั้นแน่นอน!!! (น้ำเสียงโคนัน) แต่จะเป็นใครละ? ในวันนั้นมีคนเป็นร้อยเลยนะ
2
ในตอนนี้แนวทางการสืบสวนนั้นหักเหไปในทางที่ว่า บางทีที่คนร้ายหมายตา อาจจะไม่ใช่เหยื่อผู้หญิง แต่อาจจะเป็นผู้ชายด้วยซ้ำ คนร้ายอาจจะโกรธ หรือบาดหมางกับเหยื่อผู้ชายที่ไหนสักแห่ง แล้วก็อารมณ์แบบ เดี๋ยวเถออะะะะะะ เดี๋ยวฉันจะกลับมาแล้วแกจะรู้ว่าฉันเป็นใคร ประมาณนั้น (แต่หลบอยู่หลังหน้ากากนะ)
1
พฤติกรรมของคนร้าย ก็เหมือนๆกันในเคสก่อนหน้านี้ คือมักจะใช้เวลาอยู่ในบ้านนาน เปิดเอาของในบ้านเขามากิน ทิ้ง DNA ไว้เรี่ยราด (ในตอนนั้นน่าจะไม่มีใครรู้เรื่อง DNA ว่ามันจะตามมาหลอกหลอนเขาในภายหลังนั้นเองค่ะ) หลังจากที่หนีออกไปแล้วก็จะเอาของบางอย่างของเหยื่อติดไปด้วย ของเล็กๆน้อยๆที่ไม่มีค่าอะไรมากมาย (น่าจะเอาไปเป็นที่ระลึกนั้นเอง)
2
ที่สำคัญเหยื่อทุกคนให้การตรงกันหมด คนร้ายมีรูปร่างกำยำ ผมสีทอง ตาสีเขียวหรือ Hazel และที่สำคัญ
1
…..ปิ๊กกะจู้ของคนร้ายมีขนาดเล็กมาก เล็กสุดๆ จนเรียกได้ว่าเป็นของเด็กหรือ micropenis นั้นเอง
9
พอคนร้ายก่อเหตุบ่อยขึ้น ทำให้ประชาชนเริ่มหวาดกลัว เพราะไม่แน่ใจว่าวันไหนตัวเองจะตกเป็นเหยื่อ ประชาชนเข้าไปซื้อพวกอุปกรณ์กันขโมย ล็อก และเครื่องมือช่างต่างๆ จนที่ร้านอุปกรณ์การช่างนั้นของขาดตลาด นอกจากนั้นแล้ว น้องหมาที่อยู่ตาม Shelter ต่างๆก็ถูก adopt ไปจนหมดเกลี้ยง โดยเฉพาะหมาพันธ์ใหญ่โดยหวังว่าจะทำให้คนร้ายเกิดอาการเกรงกลัวและยกเลิกความคิดแทน
3
แต่ก็ไม่ได้ผล บ้านส่วนมากที่ถูกคนร้ายบุกเข้าไปนั้น มีการติดตั้งอุปกรณ์กันขโมย มีการล็อกประตูหน้าต่างอย่างแน่นหนา หนึ่งในเหยื่อที่เป็นผู้หญิงทำทุกอย่าง โดยนอกจากการล็อกหน้าต่างแล้วนั้น เธอยังเอาไม้ท่อนขนาดพอดีกับรางหน้าต่างไปวางขัดไว้ ทำให้ถึงแม้จะเปิดล็อกหน้าต่างจากภายนอกได้ จะไม่สามารถเลื่อนบานประตูหน้าต่างออกได้ แต่คนร้ายก็ยังเข้าไปในบ้านของเธอได้ โดยคนร้ายใช้เครื่องมือเจาะหน้าต่างเป็นรูกลมๆ แล้วเอาเครื่องมืออีกอย่างสอดเข้ามายกไม้นั้นออกแล้วปลดล็อกหน้าต่างจากภายใน สามารถเปิดหน้าต่างเข้ามาในบ้านได้ และที่สำคัญ เสียงไม่ดัง
5
อีกราย คนร้ายพยายามจะเข้าข้างในบ้านผ่านทางประตูโรงรถ แต่เมื่อเปิดแง้มประตูโรงรถแล้วเจอกับลวดหนามที่เจ้าของติดตั้งไว้ คนร้ายมาทางประตูหน้าบ้านที่มีกระจก เอาเครื่องมือแบบเดิม ทำแบบเดิม แล้วปลดล็อกประตูเข้ามาได้
3
การเลี้ยงน้องหมาก็ไม่ได้ผล ในหลายๆครั้ง ตอนที่คนร้ายเข้ามา หมาพิตบูลของบ้านเหยื่ออยู่หลังบ้าน ไม่แสดงอาการไม่เห่า บางครั้งหมาก็อยู่ในบ้านตอนเกิดเหตุเหยื่อถูกทำร้าย ในบางครั้งก็นอนหลับเงียบๆอยู่ข้างเตียงในขณะที่เหยื่อถูกทำร้ายอีกด้วย
**พฤติกรรมของคนร้ายยังชอบทำให้เหยื่อหวาดระแวง หวาดกลัว ในครั้งถึงมีการไปทิ้งเชือกแบบเดียวกับที่ใช้มัดมือมัดขาเหยื่อไว้ที่ทำงานเหยื่อ อีกครั้งเลยคือ โทรหาเหยื่อที่ทำงานในร้าน Fast Food หลังจากที่ผ่านไปแล้ว 24 ปี พอเหยื่อรับก็แบบ “Remember when we played” จนเหยื่อกลัวและตกใจลนลาน (คือผ่าน 24 ปีแล้ว คนร้ายน่าจะเดินเข้าไปในร้านนั้นแล้วจำเหยื่อได้ค่ะ เลยใช้วิธีโทรเข้าหาที่ร้าน อิคนสารเลวววว)
5
อีกรายเลยคือคนร้ายโทรไปแล้ววางหูบ่อยๆ คลิปที่บางคนอาจจะเคยได้ยินเลยคือ คลิปที่เขาหายใจแรงๆใส่หูโทรศัพท์ พร้อมกับกระซิบกระซาบพูดขู่เหยื่อว่า “I’m gonna to kill you...gonna to kill you”
2
**เข้าใจว่าคนเป็นเหยื่อฟังแล้วคงตกใจกลัว แต่ก้อยไม่ชอบคนมากระซิบกระซาบอะไรแบบดี ฟังดูโรคจิต ใครโทรมาแบบนี้น่าจะโดนด่า คลิปของ Ted Bundy เหมือนกัน ฟังไม่จบกระซิบอยู่ได้ อิผี จะพูดอะไรก็พูดๆมาๆ ลำไย
4
คลิปจะแปะไว้ใน comment นะคะ
นอกจากนี้แล้วบทสนทนาที่มีกับเหยื่อ ในตอนที่เข้าไปทำร้ายเหยื่อนั้น เหมือนกับว่า The East Area Rapist นั้นพยายามจะพูดเพราะรู้ว่าเหยื่อจะให้การกับเจ้าหน้าที่ทีหลัง เป็นการพูดกับเหยื่อเพื่อหันเหการสืบสวนของตำรวจอีกด้วย เช่น “ฉันต้องการเงินเพื่อไปเสพยาเท่านั้นแหละ” “อย่าบอกตำรวจนะว่าแกเห็นรถ van ของฉันจอดอยู่ข้างนอก” “บริเวณแถวนี้เขาเรียกว่าอะไรนะ ห่างจากอีกเมืองนึงมากไหม?”
3
ตำรวจเอาจริงๆแล้วก็ไม่โง่ เพราะดูแล้วไม่รู้คนร้ายจะบอกเหยื่อไปทำไม และคิดว่าน่าจะเพื่อทำให้การสืบสวนของตำรวจนั้นยากขึ้นเพราะไม่รู้ทิศรู้ทางว่าคนร้ายมาจากกลุ่มไหน มาจากแถวไหน และเป็นคนที่มีพื้นเพยังไงกันแน่
2
อีกเบาะแสที่น่าสนใจเลยคือ คนร้ายนั้นในตอนที่เขาไปทำร้ายเหยื่อ บางทีก็ร้องไห้ และชอบพูดกับตัวเอง ในตอนที่เข้าไปในบ้านของเหยื่อรายนึง ขณะที่กำลังทำร้ายเหยื่อ คนร้ายก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นพร้อมกับพึมพำกับตัวเองไปมา “I hate you Bonnie, I hate you” แต่อีกครั้งก็ร้องไห้แล้วพูดว่า “I’m sorry Bonnie, I am sorry” ทำให้ตำรวจอดคิดไม่ได้ว่า ต้องมี “Bonnie” คนสำคัญในชีวิตของคนร้ายคนนี้แน่ๆ แต่เธอเป็นใคร แม่? น้องสาว? คนรัก? หรือภรรยา???
6
พฤติกรรมการพึมพำของคนร้ายนั้นไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ในครั้งนึงที่คนร้ายเกือบพลาดและเกือบทุกจับได้เพราะการพึมพำนี่ละค่ะ
1
คนร้ายเข้าไปในบ้านหลังนึง พร้อมกับจับสามีภรรยามัดมือมัดเท้า ปิดตา และแยกห้องกันเหมือนเดิม ขณะที่คนร้ายกำลังอยู่ในห้องกับฝ่ายภรรยา อยู่ดีๆก็พึมพำ พูดกับตัวเองไปมา แต่ดันไปพูดว่า “I’m going to kill them……...I’m going to kill them this time” ทำให้ฝ่ายภรรยาที่นอนอยู่ตกใจค่ะ (แน่ละเป็นเราก็สติแตก) เธอลุกขึ้นมาทั้งๆที่ถูกปิดตา และถูกมัดอยู่ พร้อมกับพยายามวิ่งไปที่ประตูหน้าบ้าน และกรีดร้องไปด้วย คนร้าย พยายามไล่ตามจับฝ่ายหญิงให้กลับมานอนอยู่ที่เดิม แต่ในตอนนี้ฝ่ายสามีได้ยินภรรยาร้อง ก็ลุกขึ้นและวิ่งตะโกนไปด้วยแต่ไปทางหลังบ้าน (ติดรั้วออกไปไม่ได้) คนร้ายเริ่มเสีย “control”
4
เพื่อนบ้านของสามีภรรยาดังกล่าว เป็นเจ้าหน้าที่ FBI เกิดอยู่บ้านและได้ยินเสียงร้องตะโกนของเพื่อนบ้าน เพื่อนบ้านคนดังกล่าววิ่งออกมาพร้อมกับปืนตัวเอง ก่อนจะเห็นคนร้ายขี่จักรยานผ่านหน้าตัวเองไป เพื่อนบ้านขึ้นรถ ขับออกไปตามคนร้ายไปติดๆ ก่อนที่คนร้ายจะทิ้งจักรยาน แล้ววิ่งโดดข้ามรั้วหนีไปในความมืด (ด้วยเหตุนี้หนังสือของ Michelle จึงมีชื่อว่า I’ll be gone in the dark เพราะชอบหนีและหายตัวไปกับความมืดนี่เอง)
1
บทเรียนครั้งนี้เป็นบทเรียนครั้งใหญ่ของคนร้าย เขาเกือบถูกจับได้ เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ครั้งหน้า เขาจะพลาดอีกต่อไปไม่ได้แล้ว
1
Part III “The Original Night Stalker” and “The East Area Rapist”
1
Phase นี้เป็น Phase ที่เริ่มทวีความรุนแรงถึงขีดสุด ที่เรียกว่า The Original Night Stalker เพราะในช่วงเวลาใกล้ๆกันมี serial killer อีกคนที่ก่อเหตุเข้าไปทำร้ายและฆ่าคนในบ้านแถบ California เหมือนกัน (Richard Ramirez) คนถึงเรียกว่า The Night Stalker เพื่อไม่ให้เกิดการสับสนหรือซ้ำ ก็เลยไปเรียก The Golden State Killer ว่า The Original Night Stalker แทนค่ะ (เออ เปลี่ยนมาเป็น The Golden State Killer นั้นแหละดีแล้ว) เราจะสรุปรายชื่อเหยื่อสั้นๆให้ทุกคนตามนี้นะคะ
4
Case 1: วันที่ 30 ธันวาคม ปี 1979 เจ้าหน้าที่ถูกตามตัวให้ไปที่บ้านของ Dr. Robert Offerman และ Dr. Alexandra Manning เจ้าหน้าที่ไปถึงพบกับสภาพเปลือยเปล่าของทั้งสองคน โดย Dr. Manning นั้นนอนอยู่บนเตียงและมือถูกมัดไพล่หลัง มีแผลถูกลูกกระสุนปืน ยิงเจาะเข้าที่หลังศรีษะหนึ่งนัด
ศพของ Dr. Offerman ถูกพบอยู่ข้างเตียงมีเชือกถูกมัดที่ข้อมือ มีรอยกระสุนยิงเข้าที่สะโพกซ้าย ด้านข้าง และด้านหลังของคอ จากรูปการณ์ที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า Dr. Offerman น่าจะแกะเชือกที่มัดมือทั้งสองข้างหลุด (เลยเหลือแค่คล้องไว้ที่ข้อมือด้านเดียว) แล้วลุกขึ้นมาเตรียมพุ่งเข้าใส่คนร้าย ก่อนที่คนร้ายจะยิง Dr.Offerman เข้าที่คอ และยิงอีกสองนัด ก่อนจะมายิง Dr. Manning ที่นอนอยู่บนเตียง
1
Dr. Offerman and Dr.Manning
Case 2: วันที่ 16 มีนาคม ปี 1980 Lyman Smith อดีตอัยการ และกำลังจะได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้พิพากษา กับ Charlene Smith ภรรยา ถูกพบเสียชีวิตอยู่ในบ้านตัวเองในเมืองเขต Ventura ทั้งสองศพอยู่ในสภาพเปลือยและกึ่งเปลือยและถูกมัดมือมัดเท้า สาเหตุการเสียชีวิตคือถูกท่อนฟืน (ที่ตั้งอยู่บริเวณนอกบ้าน) ฟาดกระหน่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเสียชีวิต
1
**DNA ที่ได้จาก Charlene ทำให้ตำรวจสืบทราบหลายสิบปีให้หลังนะคะ ว่า คนร้ายเป็นคนเดียวกันกับ The East Area Rapist.
** เคสนี้ตำรวจคิดว่าเป็นเคสแรกที่ The Golden State Killer สามารถทำทุกอย่างสำเร็จตามแผน ไม่เหมือนเคสก่อนหน้านี้ที่ Dr. Offerman ดันหลุดจากที่มัดไว้แล้วพุ่งใส่เขาทำให้เขาต้องใช้ปืนฆ่าเหยื่ออย่างรวดเร็ว แต่วิธีฆ่าในเคสนี้แหละเป็นสิ่งที่ The Golden State Killer ต้องการและวางแผนที่จะทำจริงๆ
2
Lyman and Charlene Smith
Case 3: วันที่ 21 สิงหาคม ปี 1980 ในหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ใน “Gated Community” หรือบ้านที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีการรักษาความปลอดภัยสูง ไม่ใช่ว่าใครจะเข้าออกก็ได้ เป็นบ้านของคนที่ค่อนข้างมีฐานะ
1
เจ้าหน้าที่ถูกตามตัวให้ยังสถานที่เกิดเหตุที่ Roger Harrington พบเข้ากับศพของ Keith Harrington ลูกชายและ Patrice Harrington ลูกสะใภ้ ศพทั้งสองถูกพบในสภาพเปลือยและกึ่งเปลือย ทั้งสองถูกของแข็งไม่ทราบชนิดทุบจนเสียชีวิต ที่ข้อมือและข้อเท้าพบร่องรอยการถูกมัดแต่ไม่พบกับเชือกที่ใช้มัด ฆาตกรน่าจะถอดออกไปหลังจากที่ผู้ตายเสียชีวิตแล้ว
1
**DNA ที่ได้จาก Patrice ตรงกับ DNA ของ The East Area Rapist
3
**ในขณะที่เสียชีวิต Keith เป็นนักศึกษาแพทย์ ส่วน Patric ทำงานเป็นพยาบาล case นี้ส่งผลให้การเก็บรักษาและวิเคราะห์ DNA ของรัฐ California เปลี่ยนไปตลอดกาล เพราะ Bruce น้องชายของ Keith ที่ทำงานเป็นทนายความช่วยก่อตั้งและให้ทุนในการสร้าง “Prob 69” โปรเจคที่ทำให้กฎหมายอนุญาตให้มีการเก็บและรักษาตัวอย่าง DNA จากอาชญากร เพื่อเก็บไว้ในระบบได้ เพราะ Bruce ต้องการให้จับคนร้ายที่ฆ่าพี่ชายและพี่สะใภ้เสียชีวิตให้ได้นั้นเอง
3
Keith และ Patrice Harrington
Case 4: วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 1981 แม่ของ Manuela Whittuhn มาพบกับศพของลูกสาวตัวเองที่นอนเสียชีวิตอยู่บนเตียงภายในบ้าน Mauela สวมใส่เพียงผ้าคลุมอาบน้ำ และเหมือนกับถูกวางไว้ในถุงนอนที่อยู่บนเตียง Manuela ถูกของแข็งไม่ทราบชิดฟาดเข้าที่ศรีษะหลายครั้ง และยังพบเข้ากับรอยมัดมือมัดเท้าอีกด้วย
2
**DNA ที่ได้จาก Manuela ตรงกับ DNA ของ The East Area Rapist
1
**เรื่องนี้เราได้อ่านเรื่องเพิ่มเติม ตอนที่เกิดเหตุ David สามีของ Manuela ติดเชื้อจนต้องเข้าไปรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล Manuela ซึ่งปรกติไม่ชอบอยู่บ้านคนเดียว + ตอนนั้นมีข่าวฆาตกรอยู่ในพื้นที่ พ่อของ Manuela อาสาให้ Manuela เอาหมา German Sheperd ไปนอนที่บ้านเป็นเพื่อนด้วย แต่ Manuela บอกไม่เป็นไร เธออยู่คนเดียวได้ อีกไม่กี่วัน David ก็กลับมาแล้ว เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า ฆาตกรอาจจะไม่รู้ว่า David เข้าโรงพยาบาล
1
David พอติดต่อภรรยาไม่ได้ก็ขอร้องให้แม่ภรรยาไปดูให้จนพบศพ หลังจากที่เจ้าหน้าที่ย้ายศพไปแล้ว น้องชาย (ที่เป็นตำรวจ) กับน้องสะใภ้ (ที่มีอาชีพเป็นพยาบาล) ของ David เป็นคนอาสาทำความสะอาดห้องให้ก่อนที่ David จะกลับมาที่บ้าน (เพราะเลือดสาดกระเซ็นเต็มไปหมด) พอทำไปเรื่อยๆจนแน่ใจว่าไม่เหลือรอยเลือด หรือกลิ่นเลือดแล้ว ทั้งสองคนต้องขับรถไปเจอกับเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน
1
...เพื่อเอาเศษกระโหลกของ Manuela ที่เจ้าหน้าที่น่าจะพลาด ไม่ได้เก็บไปชิ้นนึงที่หล่นอยู่ในซอกเตียงไปให้
Manuela Whittuhn
Case 5: วันที่ 27 กรกฎาคม ปี 1981 แถบ Santa Babara เจ้าหน้าที่ถูกตามให้ไปยังสถานที่เกิดเหตุที่มีคนพบเข้ากับศพของ Gregory Sanchez และ Cheri Domingo โดย Cheri นั้นไปทำหน้าที่เฝ้าบ้านให้กับเจ้าของบ้านคนนึงที่กำลังจะขายบ้าน Gregory แฟนหนุ่มน่าจะแวะเข้าไปหา ศพของทั้งสองคนถูกพบโดยนายหน้าที่กำลังพาลูกค้าเข้าไปดูบ้าน (😨 ช็อกแทน)
สภาพศพของ Gregory มีแผลถูกยิงเข้าที่ใบหน้า 1 นัด โดยกระสุนเจาะเข้าที่แก้มและทะลุออกตรงข้างใบหู (แต่ไม่ร้ายแรงจนทำให้เสียชีวิต) และมีแผลถูกของแข็งไม่ทราบชิด ตีเข้าที่ศรีษะถึง 24 ครั้งด้วยกัน สภาพศพของ Gregory ไม่มีร่องรอยถูกมัด ศพของ Cheri ถูกพบอยู่บนเตียง Cheri มีร่องรอยถูกมัดมือมัดขา และถูกของแข็งตีเข้าที่ศรีษะหลายครั้งด้วยกัน DNA ที่ได้จากบนผ้าปูเตียงเป็น DNA เดียวกันกับ The East Area Rapist
เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า Gregory น่าจะเดินเข้าไปเจอกับ ฆาตกรตอนเดินเข้ามาในบ้านพอดี และถูกยิงเข้า 1 นัดที่ใบหน้า จนสลบไป พอฆาตกรมัด Cheri เสร็จ น่าจะเป็นจังหวะที่ Gregory ฟื้นขึ้นมา แล้ว พุ่งเข้าใส่คนร้ายเลยเกิดการต่อสู้กัน แต่ Gregory นั้นน่าจะเพราะบาดเจ็บเลยไม่มีแรงสู้คนร้ายมากนัก จึงถูกทำร้ายจนเสียชีวิตในที่สุด
2
Cheri Donmingo และ Gregory Sanchez
Case 6: วันที่ 5 พฤษภาคม ปี 1986 ณ เขต Irvine และหลังจากคนร้ายหายตัวไปถึง 5 ปี
เจ้าหน้าที่พบกับศพของ Janelle Cruz ที่มีอายุเพียงแค่ 18 ปีเท่านั้น Janelle อาศัยอยู่กับแม่ของตัวเองซึ่งในขณะนั้นไม่อยู่บ้านหลายวัน มีนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ไปที่บ้านหลังดังกล่าว เพราะกำลังประกาศขายอยู่ เพื่อเตรียมบ้านออกขายและไปพบศพ Janelle เข้า (อิชั้นก็พึ่งรู้ว่าอาชีพนายหน้าอสังหานี่ต้องเจออะไรแบบนี่บ่อยด้วย)
1
Janelle ถูกมัดมือมัดเท้าและถูกของแข็ง (น่าจะเป็นท่ออะไรซักอย่าง) ฟาดเข้าที่ศรีษะจนเสียชีวิต
Janelle Cruz
Case นี้เป็น case สุดท้ายที่เจ้าหน้าที่สามารถโยงเข้าหา The Golden State Killer ได้ และไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ฆาตกรถึงหยุดเอาดื้อๆ (หยุดมานาน เว้นระยะตั้งแต่เคสก่อนหน้า Jenelle) อาจจะเป็นเพราะ เคสของ Gregory ทำให้ฆาตกรตกใจกลัว? Gregory นั้นมีรูปร่างสูงใหญ่ถึง 6’3 ในขณะที่ฆาตกร (จากปากคำพยานในตอนนั้น) มีความสูงแค่ 5’8-5’10 เขาเกือบสู้ Gregory ไมไ่ด้แล้ว หรืออาจจะเป็นเพราะเขาอายุเยอะขึ้น? ไม่แข็งแรงเหมือนเดิม หรืออาจจะมีเหตุการณ์ใดๆเกิดขึ้นในชีวิตของเขาที่ทำให้เขาไม่สามารถออกล่าเหยื่อได้อีกต่อไป?
3
อ่านมาถึงตรงนี้ อ้าวไหนเกริ่นตอนต้นว่ามีเหยื่อ 13 คน นี่มันยังไม่ถึงนี่ ช้าก่อน ดิฉันไม่ได้ลืมเจ้าค่ะ
2
Case 7: ช่วงปี 1974-1975 ในตอนที่ Visalia Ransacker กำลังเป็นที่ต้องการตัว เกิดเหตุชายคนร้าย บุกเข้าไปในบ้านของครอบครัว Snelling คนร้ายพยายามลักพาตัวลูกสาววัย 16 ปีของบ้าน Beth Snelling โดยลากออกมาผ่านทางสนามหลังบ้าน Beth ตะโกนให้คนช่วย Claude Snelling พ่อของ Beth วิ่งออกมาช่วยลูกสาว ก่อนที่คนร้ายจะชักปืนออกมายิง Claude เสียชีวิต เตะ Beth เข้าที่ท้องก่อนจะวิ่งหนีไป ถึงไม่มีหลักฐานแต่เจ้าหน้าที่เชื่อว่าเป็นฝีมือของ The Golden State Killer
1
Claude Snelling
Case 8: วันที่ 2 กุมภาพันธ์ ปี 1978 ช่วงของ The East Area Rapist Katie กับ Brian Magiore คู่สามีภรรยาที่พาสุนัขออกไปเดินแถวบ้านในช่วงเวลาสามทุ่ม เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า Brian ซึ่งทำงานเป็น Military Officer นั้น เดินไปเจอเข้ากับคนร้าย ซึ่งน่าจะก่อเหตุหรือทำตัวต้องสงสัยอยู่ Brian จึงวิ่งไล่คนร้าย จนคนร้ายจนมุม คนร้ายชักปืนมายิง Brian ก่อนจะวิ่งไล่ตามมายิง Katie ทิ้ง เพื่อไม่ให้มีพยาน (อาจจะเพราะตอนนั้นไม่ได้ใส่หน้ากาก) เหตุการณ์ดังกล่าวมีเพื่อนบ้านหลายคนที่อยู่แถวนั้นได้ยินและออกมาดู เห็นถึงตอนที่มีการวิ่งไล่ตามกันและตอนที่ Katie ถูกคนร้ายยิงในระยะเผาขน ทำให้มีรูป sketch เพิ่มขึ้นบางส่วนจากเหตุการณ์นี้
1
brian and katie maggiore
หลังจากที่เกิดเหตุฆาตกรรม Janelle Cruz นั้น คดีของ The Golden State Killer ก็เงียบหายไปเลย หายไปนานมาก จนทุกคน แม้กระทั่งพูดถึงเขาก็ไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว เบื้องหลังฆาตกรรายนี้นั้นมันยังมีรายละเอียดเยอะแยะมากมายที่ทุกคนยังไม่รู้เป็นจำนวนมาก คดีนี้เป็นคดี cold case ที่กินเวลานานหลายสิบปี จนทุกคนคิดว่า ไม่สามารถไขคดีได้แล้ว และคนร้ายจริงๆแล้วน่าจะตายไปแล้วต่างหาก เหมือนกับคดี The Zodiac Killer นั้นเอง
….แต่แน่นอน never say never
1
🔎แล้วเขาเริ่มกระบวนการสืบสวนยังไงกันเหรอ?
ย้อนกลับไปในปี 1994 เจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีชื่อว่า Paul Holes ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำหน่วยพิสูจน์หลักฐาน ณ สถานีตำรวจที่เมือง Contra Costa รัฐ California เกิดสนใจคดีเก่าๆ หรือคดีพวก Cold Case ขึ้นมา เลยเข้าไปยังห้องเก็บหลักฐานของสถานีตำรวจ รื้อพวกคดีเก่าๆออกมาดู จนกระทั่งไปสะดุดกับซองหลักฐานซองนึง
3
Paul Holes
ซองหลักฐานซองนั้น เป็นซองกระดาษสีน้ำตาลธรรมดาๆ หน้าซองมีแค่หมึกที่เขียนว่า “E R A”
2
เมื่อ Paul ดูเพิ่มเติมจึงเห็นว่าในซองนั้นเป็นหลักฐานที่ได้มาจาก rape kit ของบรรดาเหยื่อของ The East Area Rapist ที่เคยโด่งดังในสมัยนึง Paul รู้ดีว่า ด้วยระยะเวลานั้น ทำให้อายุความของคดีข่มขืนทั้งหลายสิ้นสุดลงแล้ว (พูดง่ายๆ คือ ถึงรู้ว่าใครทำ ก็ทำอะไรไม่ได้นั้นเองค่ะ) แต่เอาน่าลองดูสิว่า เขาจะทำอะไรได้บ้าง สมัยนี้ DNA ก็น่าจะมาไกลแล้วนะ
2
ที่ Paul ไม่รู้เลยคือกว่าเขาจะหาตัวคนร้ายได้ มันก็กินระยะเวลาถึงหลายต่อหลายปี
1
Paul เริ่มจากการส่งตัวอย่าง DNA ไปตรวจสอบจนทราบได้ว่า คนร้ายในคดีดังกล่าวนั้นเป็นคนเดียวกันกับที่ก่อคดีย่องเบาและยกเค้าใน Visalia และเป็นคนเดียวกันกับที่ก่อคดีฆาตกรรมรายหลายที่เกิดขึ้นทั่วรัฐ California แต่กว่าจะได้รับการยืนยันกลับมานั้นก็ไม่ใช่ง่ายๆ Paul ต้องติดต่อ คุยกับตำรวจหลายเขต เจ้าหน้าที่หลายราย รวมไปถึงนักวิทยาศาสตร์ทั้งของรัฐ และทั้งของ เอกชน และเอาตัวอย่างไปตรวจและพิสูจน์ DNA หลายครั้ง จนเจ้าหน้าที่หลายสถานที่เกือบไม่ให้เขาเอาตัวอย่างไปตรวจอีก เพราะกลัวว่าจะไม่มีตัวอย่างเอามาตรวจสอบ DNA เพิ่มเติม โชคดีที่เขต Contra Costa เป็นเขตเดียวที่มีตัวอย่าง DNA จากชายคนร้ายที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์และมีตัวอย่าง DNA เยอะพอสมควร
3
Paul ก่อตั้งทีมขึ้นมาทีมนึงเพื่อทำการตรวจหาและวิเคราะห์ DNA ของคนร้ายโดยเฉพาะ ปัญหามันมีอยู่ว่า ตอนนี้มี DNA ของคนร้าย แต่ DNA ของคนร้าย ไม่ตรงกับ DNA ที่มีอยู่ใน Database และจะทำการยืนยันได้แค่เพียงในตอนที่มีตัวอย่าง DNA ของคนร้ายมา confirm เท่านั้น
3
แต่นั้นไม่ทำให้เจ้าหน้าที่หยุดอยู่ตรงนั้น เจ้าหน้าที่เริ่มจากการคุยกันว่า เออ เนี่ย มีเจ้าหน้าที่คนนึง เล่าว่า เขาสามารถหาตัวผู้หญิงคนนึงที่ตามหามานานได้แล้วนะ ผู้หญิงคนนี้ถูก adopt ไปตั้งแต่ยังเล็ก แล้วครอบครัวที่แท้จริงต้องการตามหา เลยไปใช่เว็บไซซ์ที่เก็บรวบรวม DNA ของคนที่ถูก adopt ไปแล้วอยากตามหา พ่อแม่ที่แท้จริง หรือครอบครัวต้องการตามหาคน ก็สามารถเข้ามาที่เว็บไซซ์นี้เพื่อตามหาได้
1
Paul ฟังดังนั้นแล้วก็เกิดไอเดีย หากการตามหาคนที่ถูก adopt นั้น ทำได้ การตามหาตัวฆาตกรที่เราอยากได้ตัว ก็ไม่น่าจะยาก ในหลักการเดียวกันนั้น เจ้าหน้าที่ทั้งทีมใช้วีธีสร้าง “family tree” ค่ะ
2
โดยการเอา DNA ของคนร้ายมาพยายามแกะ และสร้าง Family Tree ของคนร้ายขึ้นมา เพราะหากเจอญาติหรือคนที่มีสายเลือดเดียวกับคนร้าย ก็น่าจะไม่ยากต่อการสืบหา พูดนะเหมือนง่าย แต่บางทีเจอแบบ เคยเป็นญาติกันมาเหมือน 90 ปีที่แล้ว หรือหลายร้อยปีที่แล้วบ้าง ก็เสียเปล่า ต้องลองลงลึกไปกว่าเดิม (หากใครอยากรู้เรื่อง Geneology สามารถหาอ่านเพิ่มเติมได้ค่ะ ก้อยไม่ถนัดจริงๆไม่อยากอธิบายเดี๋ยวจะมั่วไปใหญ่ 555)
1
ประเด็นคือในตัว Family Tree ดังกล่าว ต้องแมชท์กับหลายๆอย่างเช่น ต้องเป็นผู้ชาย และต้องเป็นผู้ชายที่อาศัยอยู่ใน California ในช่วงปีดังกล่าว เจ้าหน้าที่ต้องมาคอย eliminate ผู้ต้องสงสัยหลายๆคน ตัดออกทีละคนๆๆด้วยกัน
2
จนกระทั่งมาเจอกับชายที่มีชื่อว่า Joseph DeAngelo ซึ่งเป็นชายเชื้อสายอิตาเลียน (แต่มีสีตาและสีผมที่อ่อน ไม่เหมือนคนเชื้อสายอิตาเลียนทั่วไป) อาศัยอยู่ใน California และที่สำคัญ….เคยเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกด้วย
Joseph DeAngelo ในขณะที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ
Paul คิดว่าคนนี้นั้นน่าสนใจ เพราะเขาเคยคิดมาก่อนว่าคนร้ายน่าจะมี background เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือทหารมาก่อน แต่พอไปค้นประวัติของ Joseph ก่อนหน้านี้ เห็นรูปร่างหน้าตา ไม่น่าจะใช่คนร้าย แต่เอาเหอะ ไหนๆก็ไหนๆแล้วลองสืบไปให้ลึกๆก่อน
แต่เหมือนพอยิ่งสืบทุกอย่างก็ยื่งเข้าเค้า Paul ไปเจอเข้ากับประกาศในหนังสือพิมพ์ฉบับนึง (สมัยก่อนชอบมีการลงประกาศ การเกิด การตาย ใครแต่งงาน อะไรแบบนั้นอะค่ะ) และเห็นประกาศว่า Joseph DeAngelo นั้นเคยหมั้นกับผู้หญิงคนนึงที่มีชื่อว่า “Bonnie”
**หลังจากนั้นเมื่อสืบหา Bonnie เจอ ก็พบว่าในตอนนั้น Bonnie ย้ายไปอยู่ที่ต่างประเทศชั่วคราว และในตอนที่ Bonnie เป็นวัยรุ่นนั้น เคยหมั้นกับ Joseph จริง แต่เธอนั้นเป็นฝ่ายถอนหมั้น เพราะ Joseph เป็นคนเจ้ากี้เจ้าการและชอบบังคับออกคำสั่งเธอตลอดเวลา ตอนที่ถูก Bonnie บอกเลิก Joseph นั้นถึงกับแอบเข้ามาในบ้านและพยายามลักพาตัวเธอด้วยปืน แต่พ่อของ Bonnie ขอไว้และจัดการคุยกับ Joseph เอง (Bonnie ถึงกับเคืองพ่อมาจนถึงตอนนี้ว่าทำไมเอ็นดู Joseph มากถึงขนาดไม่ยอมแจ้งตำรวจ) แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ Bonnie ถึงกับต้องย้านบ้านและโรงเรียนเพราะกลัวเกิดเหตุซ้ำอีก
5
เมื่อหา Bonnie ยังไม่เจอในตอนนั้น Paul ตัดสินใจไปคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับอาวุโสที่เคยประจำการอยู่ที่เมือง Aura (ที่ Joseph DeAngelo เคยเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่) เพื่อสอบถามเพิ่มเติม
Pete Willick ที่เคยเป็นนายตำรวจที่ดำรงตำแหน่งคล้ายๆผู้กำกับในตอนนั้นเล่าว่า Joseph เป็นนายตำรวจที่จริงจังกับงานและมักจะเคร่งเครียดจริงจังอยู่เสมอจึงทำให้เขาไม่มีเพื่อนมากนักในสถานที่ทำงาน
ระหว่างที่ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่นี่เอง Joseph DeAngelo ดันถูกพนักงานในร้านค้าจับได้ว่าแอบขโมยค้อนและ spray กันสุนัข
1
**นี่เองอาจจะเป็นสาเหตุที่หมาไม่ทำร้าย ไม่เข้าใกล้เขาหรือเปล่า? พร้อมกับเหยื่อบางรายยังบอก ตัวของคนร้ายมีกลิ่นเหม็นแปลกๆ ไม่ใช่กลิ่นตัว แต่อธิบายไม่ถูก เจ้าหน้าที่คิดว่า น่าจะเป็น spray กันสุนัขนี่ละค่ะ
เมื่อถูกจับได้ว่าขโมย สถานีตำรวจที่ทำงานอยู่เลยต้องทำการพักงานและไล่ Joseph ออกในที่สุด Pete เล่าว่า Joseph นั้นโกรธเขาเป็นอย่างมาก ในวันนึงหลังจากที่ไล่ Joseph ออกไม่นาน ลูกสาววัยรุ่นของ Pete วิ่งเข้ามาหาเขาในห้องนอนกลางดึก แล้วบอกกับพ่ออย่างตื่นตะหนกว่า “Daddy, there’s a man in my window” Pete วิ่งออกมาในทันที ในตอนนั้นคนร้ายหนีไปแล้ว แต่มีรอยรองเท้าอยู่ที่หน้าต่างของห้องลูกสาวตัวเอง Pete คิดว่าคนร้ายคนนั้นต้องเป็น Joseph แน่ๆ แต่เมื่อพิสูจน์ไม่ได้ ก็ไม่ได้ทำเรื่องติดตามอะไร
2
ที่สำคัญ ลูกสาวของ Pete เล่าว่า คนร้ายไม่ได้มายืนมองเปล่าๆ ยังเอาไฟฉายสาดใส่หน้าเธอจนแสงจ้าไปหมดอีกด้วย
1
**หากจำได้เรื่องที่เราเล่าถึงวิธีการสาดไฟฉายของเจ้าหน้าที่ McGowen ก็ทำแบบกันเลย จำได้ไหมคะ? เราถามสามี และสามีเล่าให้ฟังว่า การถือไฟฉายของตำรวจในลักษณะนี้ นอกจากจะทำให้คนร้ายหรือคนที่ตำรวจกำลังจะเข้าไปหา ไม่รู้ว่าตำรวจนั้นกำลังจะเข้าไปหาในทางไหน (วิธีการเดียวกันกับตำรวจที่บางที เปิดไฟสูงตอนมาจอดหลังรถเราแล้วบอกให้เราจอดนั้นแหละค่ะ) เพื่อป้องกันคนร้ายหรือผู้ต้องสงสัยพุ่งเข้าใส่เจ้าหน้าที่ และวิธีถือแบบนี้จะไม่เหมือนกับวิธีที่เราถือไฟฉายเวลาไฟดับนึกออกไหม? ถือแบบใกล้ๆตรงหัวไฟฉายแล้วยกขึ้นมาตรงหน้าค่ะ เพราะหากคนร้ายพุ่งเข้าใส่จะบิดไฟฉาย (ซึ่งมักจะอันมโหฬาร) ฟาดเข้าใส่คนร้ายเป็นอาวุธเฉพาะหน้าได้อีกด้วย
2
พอถึงตอนนี้ Paul เริ่มมั่นใจว่า Joseph นี่แหละเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง จึงสืบต่อๆไปเรื่อยๆจนถึงปูมหลังของ Joseph
🚔 ในช่วงปี 1974-1975 Joseph นั้นได้รับการบรรจุให้ทำงานในเมือง Exeter เมืองที่อยู่ติดกับ Visalia ทำให้ Joseph คุ้นเคยกับพื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นอย่างดี
🚔 ในช่วงที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เมือง Visalia นั้น Joseph ถูกส่งตัวเข้า หน่วย Burglary Task Force ณ วิทยาลัยที่เมือง Okayed พูดง่ายๆ คือ เงินภาษีของรัฐนั้นเอง ที่ส่งให้ Joseph เข้าไปเรียนรู้วิธีการเป็นขโมยย่องเบาที่ดีขึ้น เชี่ยวชาญมากขึ้นนั้นเอง พอมาถึงตรงนี้ รู้แล้วว่าทำไมมันถึงเทพนัก
3
🚔 หลังจากที่ถูกไล่ออกจากการเป็นตำรวจ Joseph ทำงานเล็กๆน้อยๆทั่วไป เขาแต่งงานและมีครอบครัว จนกระทั่งเกษียณอายุ
เมื่อเริ่มรู้ว่าเข้าใกล้ความจริงไปทุกที เจ้าหน้าที่ซุ่มดูหน้าบ้านของ Joseph และแอบติดตาม Joseph อยู่เงียบๆ จนกระทั่งแอบเก็บ DNA ของ Joseph จากถังขยะหน้าบ้านได้และมาเทียบกับ DNA ที่มีอยู่ในระบบได้สำเร็จ
ในวันที่ 24 เมษายน ปี 2018 40 กว่าปี หลังจากที่ก่อเหตุสร้างความหวาดผวา ความหวาดกลัว และความเจ็บปวดให้กับผู้คนทั่ว California เจ้าหน้าที่ไปเคาะประตูบ้านและจับกุม Joseph DeAngelo วัย 72 ปี ในข้อหาฆาตกรรม และลักพาตัว (เพราะข้อหาข่มขืนหมดอายุความไปแล้ว)
2
เมื่อถูกนำตัวขึ้นศาล Joseph ในวัยชราภาพ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วเป็นอย่างมาก เขาดูเป็นชายชราที่แม้แต่จะเดินยังเดินไม่ไหว แต่เจ้าหน้าที่ยืนยันว่า นี่ไม่ใช่ Joseph ที่พวกเขาซุ่มดู อาทิตย์ก่อนหน้าที่จะโดนจับ Joseph ยังบึ่งมอเตอร์ไซซ์ แบบร้อยกว่าไมล์ต่อชั่วโมงบนทางหลวงอยู่เลย (ในภาพจากกล้องวงจรปิดในคุกยังเห็น Joseph ปีนขึ้นไปเอาของบนเตียงชั้นบนได้อยู่เลยค่ะ)
4
Joseph ผู้ชราภาพและไร้พิษสงจนต้องนั่งรถเข็นมาชึ้นศาล
แต่พอกลับเข้าห้องขังแล้วนั้น..........
จะปีนขึ้นไปทำไม???
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้โดนโทษประหาร Joseph Deangelo เข้าทำสัญญาประนีประนอมกับรัฐ ยอมรับข้อกล่าวหา และสารภาพรวมไปถึงคดีที่ไม่มีหลักฐานมาแจ้งข้อหาเขาได้ โดยเฉพาะพวกคดีข่มขืนทั้งหลายแหล่ ทำให้ Joseph DeAngelo ได้รับคำพิพากษาให้ถูกจำคุกตลอดชีวิต ในเดือนสิงหาคม ปี 2020 ที่ผ่านมา
Joseph หลังจากที่เข้าทำข้อตกลงกับรัฐ และทำการรับสารภาพในศาล....ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
**จริงๆแล้วคิดว่าคดีมันยังไม่สิ้นสุดนะคะ มันน่าจะมีคดีปลีกย่อยแตกออกมา แต่ Joseph DeAngelo จะอยู่ถึงวันนั้นหรือเปล่าก็ไม่รู้
ที่ก้อยคิดว่าเคสนี้น่ากลัวมาก เพราะมันเหมือนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน มันไม่ใช่คดีแบบ โหหหหหห เรื่องแบบนี้ก็มีด้วยนึกออกใช่ไหมคะ และที่สำคัญเกิดในตอนที่เรามีสามี หรือคนรักนอนอยู่ข้างๆ เราไม่ได้อยู่บ้านคนเดียว และเกิดในสถานที่ที่เราสมควรจะรู้สึกปลอดภัยมากที่สุด คือในบ้านของเรานั้นแหละค่ะ และขนาดป้องกันแบบสุดขีดแล้ว ทำทุกอย่างก็แล้ว หากมันจะ target เรา มันก็เข้ามาได้อยู่ดี (หนีไปไหนก็ไม่ได้อีก)
3
หากทุกคนมีเวลา อยากให้ดู clip การสัมภาษณ์ Paul Holes นะคะ ก้อยคิดว่าเขาเป็นคนที่เท่ห์มาก และยังสามารถพูดจาอธิบายให้เราตามติด เข้าใจง่าย ก้อยชอบฟัง podcast ของเขาค่ะ มีอีกหลายๆคลิปที่เป็นการสัมภาษณ์เหยื่อ เหยื่อที่ยังมีชีวิตและเหยื่อที่เป็นญาติของคนที่เสียชีวิต ในบางตอนยังพูดถึงเหยื่อที่เป็นผู้ชายที่จริงๆแล้วก็เป็นเหยื่อเหมือนกัน แต่ถูกทุกคนมองข้ามไปอีกด้วยค่ะ (หลายๆคู่ที่โดนทำร้ายตอนผู้ชายอยู่ด้วย ไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันได้อีก เพราะฝ่ายชายไม่สามารถสู้หน้าผู้หญิงได้ค่ะ) เดี๋ยวจะ list ไว้ให้นะคะ podcast บางอันมีหลายๆตอนๆ วิเคราะห์ตั้งแต่อดีตของ Joseph เรื่องคดี สัมภาษณ์เหยื่อ และพูดถึง victim impact ของเหยื่อที่โดนข่มขืนในสมัยนั้นได้ดีมากๆเลยค่ะ
4
อ่านบทความนี่เสร็จแล้ว อย่าลืมเดินตรวจตราในบ้านนะคะ เราล็อกทุกประตู ลงกลอนทุกหน้าต่างหรือยังเอ่ย?
EP. เก่าๆดูได้อีกทางที่นี้ค่ะ
Facebook Page:
1
Blockdit:
Sources:
อันนี้เป็น KeyNote ของ Paul Holes และบทสัมภาษณ์ค่ะ
Podcast ที่มีอยู่บน Youtube “Man in the Window”
HBO Seires “I’ll be gone in the dark”
หนังสือ “I’ll be gone in the dark”
(มีแบบ audible หรือหนังสือเสียงด้วยนะคะ)
หนังสือ “The Case Of The Golden State Killer: Based On The Podcast With Additional Commentary, Photographs And Documents”
(อันนี้มี podcast ด้วย ชื่อว่า criminology podcast ค่ะ)
โฆษณา