เชื่อว่าหลายๆคนที่เป็นแฟน True Crime ตัวยง น่าจะรู้จักเรื่องของ serial killer คนนี้ The Golden State Killer เป็นชื่อหรือสมญาณามที่ตั้งขึ้นให้กับฆาตกรต่อเนื่องที่มีชื่อเสียงมากอันดับต้นๆคนนึงของสหรัฐอเมริกาเลยทีเดียว
จริงๆแล้ว The Golden State Killer เนี่ย ไม่ได้ชื่อว่า The Golden State Killer มาตั้งแต่แรกหรอกนะคะ ผู้คนเรียกขนานนามเขาในหลายๆชื่อด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น “The Visalia Ransacker” “The East Area Rapist” “The Original Night Stalker” และชื่อสุดท้าย “The Golden State Killer” เป็นชื่อที่พึ่งถูกตั้งมาใหม่ไม่นาน จุดประสงค์เพื่อให้คนจำอาชญากรรมของเขาได้ และเพื่อช่วยกันหาเบาะแสตามสืบตัวเขาค่ะ โดยเรื่องที่ก้อยจะเล่าให้ทุกคนฟัง ก้อยจะแบ่งเป็นตอนๆ ตามชื่อแต่ละชื่อที่ผู้คนตั้งให้กับฆาตกรรายนี้นะคะ ที่มีชื่อเรียกต่างกันนั้น เพราะจริงๆแล้ว ในตอนแรก อาชญากรรมแต่ละอย่าง เกิดขึ้นในแต่ละเขตท้องที่กัน (แม้จะเป็นในรัฐ California เหมือนกัน) และเป็นอาชญากรรมที่ต่างกันสุดขั้ว ตำรวจนั้นถึงแม้จะมีบางคนที่สงสัย แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นการก่ออาชญากรรมจากคนคนเดียวกัน จนกระทั่งหลายสิบปีให้หลังค่ะ
8
**The Golden State Killer เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นมาโดยผู้หญิงที่มีชื่อว่า Michell Mcnamara โดย Michell เป็น blogger แนว true crime ที่หมกหมุ่น ตามเก็บรายละเอียดเกี่ยวกับ The Golden State Killer และสามารถเข้าร่วมทำงานกับตำรวจจนเก็บรายละเอียดไว้ได้เยอะพอสมควร Michell ในตอนนั้น รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ The Golden State Killer ไว้เยอะมากจนนำมาเขียนเป็นหนังสือที่มีชื่อว่า “I’ll be gone in the dark” ซึ่ง HBO ขอซื้อลิขสิทธิ์ไปทำเป็นสารคดีเรียบร้อยแล้ว แต่น่าเสียดาย ก่อนหนังสือจะเขียนจบได้ไม่นาน Michelle เสียชีวิตในขณะที่กำลังนอนหลับ ทำให้เพื่อนของ Michelle ต้องมาเขียนต่อ ก้อยแนะนำหนังสือเรื่องนี้สำหรับคนที่อยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมนะคะ
**อายุน้อยที่สุดคือ 12 ปี และผู้หญิงคนนี้ (ณ ตอนนี้อายุ 50 กว่าปีแล้ว) รู้ด้วยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เพราะตื่นมาตอนดึกแล้วเจอเข้ากับคนร้าย ที่มัดเธอไว้แล้วถือจานไปยังห้องแม่ของเธอ เธออ่านข่าวอาชญากรรมของ The East Area Rapist มาเยอะมาก และคิดว่า ทำไมยังจับคนร้ายรายนี้ไม่ได้ซักที ในคืนนั้น เด็กน้อยวัย 12 ปี กลายมาเป็นเหยื่อรายที่ 27 ของ The East Area Rapist
5
พอเกิดเหตุการณ์เยอะๆขึ้น ในที่สุดก็มีหนังสือพิมพ์ฉบับนึง ตีพิมพ์ข่าวของคนร้ายที่ตอนนี้มีชื่อที่สื่อและประชาชนตั้งให้คือ “The East Area Rapist” และมีข้อความนึงที่ปรากฎในข่าวว่า The East Area Rapist ไม่เข้าไปก่อคดีในบ้านที่มี “ผู้ชาย”
นั้นละค่ะ เหมือนมีคนมา Challenge เราละมั่ง นับแต่นั้นเป็นต้นมาคดีต่อไป The East Area Rapist ก็เข้าไปในบ้านที่มีผู้ชายอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสามี หรือแฟนของเหยื่อ ซึ่งส่วนมากจะนอนอยู่ข้างๆกันนั้นแหละค่ะ โดย signature เหมือนเดิม เข้าไปในบ้าน แล้วไปยืนอยู่ปลายเตียง ส่องไฟฉายใส่หน้า พูดจาข่มขู่ ให้ฝ่ายหญิงเป็นคนเอาเชือกมัดฝ่ายชาย และต้องมัดให้แน่นด้วยนะ ก่อนที่จะมัดฝ่ายหญิงแล้วลากเอาไปไว้ในห้องรับแขก หรือห้องนั่งเล่น พร้อมกับเอาถ้วยจานชาม ออกมาจากห้องครัว แล้วเอาไปซ้อนวางเทินไว้บนหลังของฝ่ายชาย และขู่
🔪 มีอยู่หนึ่งเคส ขณะที่คนร้ายกำลังเดินไปเดินมา ด้วยร่างกายเปลือยเปล่า (น่าจะหลังจากแยกสามีภรรยาออกจากกันแล้ว) มีลูกวัย 6 ขวบของคู่สามีภรรยาเคราะห์ร้าย เดินมาเข้าห้องน้ำแล้วเจอเข้ากับคนร้ายพอดี คนร้ายเห็นหนูน้อยเดินมาก็บอกเด็กว่า “I’m playing a game with your mom and dad, wanna play?” โชคดี เด็กก็คือเด็ก เด็กเลยเดินไปเข้าห้องน้ำ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปนอน
ในขณะที่มีการประชุมกันนั้น มีผู้ชายคนนึงพูดขึ้นมาด้วยเสียงดังท่ามกลางที่ประชุมว่า เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าในบ้านที่เกิดเหตุก่อนหน้านี้มีผู้ชายอยู่ด้วย เป็นผู้ชายประสาอะไร ปล่อยให้เมียตัวเองโดนข่มขืนได้ ถ้าเป็นเขานะ ไม่มีทาง “If he ever comes to my house, I’ll kill him.”
นอกจากนี้แล้วบทสนทนาที่มีกับเหยื่อ ในตอนที่เข้าไปทำร้ายเหยื่อนั้น เหมือนกับว่า The East Area Rapist นั้นพยายามจะพูดเพราะรู้ว่าเหยื่อจะให้การกับเจ้าหน้าที่ทีหลัง เป็นการพูดกับเหยื่อเพื่อหันเหการสืบสวนของตำรวจอีกด้วย เช่น “ฉันต้องการเงินเพื่อไปเสพยาเท่านั้นแหละ” “อย่าบอกตำรวจนะว่าแกเห็นรถ van ของฉันจอดอยู่ข้างนอก” “บริเวณแถวนี้เขาเรียกว่าอะไรนะ ห่างจากอีกเมืองนึงมากไหม?”
อีกเบาะแสที่น่าสนใจเลยคือ คนร้ายนั้นในตอนที่เขาไปทำร้ายเหยื่อ บางทีก็ร้องไห้ และชอบพูดกับตัวเอง ในตอนที่เข้าไปในบ้านของเหยื่อรายนึง ขณะที่กำลังทำร้ายเหยื่อ คนร้ายก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นพร้อมกับพึมพำกับตัวเองไปมา “I hate you Bonnie, I hate you” แต่อีกครั้งก็ร้องไห้แล้วพูดว่า “I’m sorry Bonnie, I am sorry” ทำให้ตำรวจอดคิดไม่ได้ว่า ต้องมี “Bonnie” คนสำคัญในชีวิตของคนร้ายคนนี้แน่ๆ แต่เธอเป็นใคร แม่? น้องสาว? คนรัก? หรือภรรยา???
คนร้ายเข้าไปในบ้านหลังนึง พร้อมกับจับสามีภรรยามัดมือมัดเท้า ปิดตา และแยกห้องกันเหมือนเดิม ขณะที่คนร้ายกำลังอยู่ในห้องกับฝ่ายภรรยา อยู่ดีๆก็พึมพำ พูดกับตัวเองไปมา แต่ดันไปพูดว่า “I’m going to kill them……...I’m going to kill them this time” ทำให้ฝ่ายภรรยาที่นอนอยู่ตกใจค่ะ (แน่ละเป็นเราก็สติแตก) เธอลุกขึ้นมาทั้งๆที่ถูกปิดตา และถูกมัดอยู่ พร้อมกับพยายามวิ่งไปที่ประตูหน้าบ้าน และกรีดร้องไปด้วย คนร้าย พยายามไล่ตามจับฝ่ายหญิงให้กลับมานอนอยู่ที่เดิม แต่ในตอนนี้ฝ่ายสามีได้ยินภรรยาร้อง ก็ลุกขึ้นและวิ่งตะโกนไปด้วยแต่ไปทางหลังบ้าน (ติดรั้วออกไปไม่ได้) คนร้ายเริ่มเสีย “control”
4
เพื่อนบ้านของสามีภรรยาดังกล่าว เป็นเจ้าหน้าที่ FBI เกิดอยู่บ้านและได้ยินเสียงร้องตะโกนของเพื่อนบ้าน เพื่อนบ้านคนดังกล่าววิ่งออกมาพร้อมกับปืนตัวเอง ก่อนจะเห็นคนร้ายขี่จักรยานผ่านหน้าตัวเองไป เพื่อนบ้านขึ้นรถ ขับออกไปตามคนร้ายไปติดๆ ก่อนที่คนร้ายจะทิ้งจักรยาน แล้ววิ่งโดดข้ามรั้วหนีไปในความมืด (ด้วยเหตุนี้หนังสือของ Michelle จึงมีชื่อว่า I’ll be gone in the dark เพราะชอบหนีและหายตัวไปกับความมืดนี่เอง)
Part III “The Original Night Stalker” and “The East Area Rapist”
1
Phase นี้เป็น Phase ที่เริ่มทวีความรุนแรงถึงขีดสุด ที่เรียกว่า The Original Night Stalker เพราะในช่วงเวลาใกล้ๆกันมี serial killer อีกคนที่ก่อเหตุเข้าไปทำร้ายและฆ่าคนในบ้านแถบ California เหมือนกัน (Richard Ramirez) คนถึงเรียกว่า The Night Stalker เพื่อไม่ให้เกิดการสับสนหรือซ้ำ ก็เลยไปเรียก The Golden State Killer ว่า The Original Night Stalker แทนค่ะ (เออ เปลี่ยนมาเป็น The Golden State Killer นั้นแหละดีแล้ว) เราจะสรุปรายชื่อเหยื่อสั้นๆให้ทุกคนตามนี้นะคะ
4
Case 1: วันที่ 30 ธันวาคม ปี 1979 เจ้าหน้าที่ถูกตามตัวให้ไปที่บ้านของ Dr. Robert Offerman และ Dr. Alexandra Manning เจ้าหน้าที่ไปถึงพบกับสภาพเปลือยเปล่าของทั้งสองคน โดย Dr. Manning นั้นนอนอยู่บนเตียงและมือถูกมัดไพล่หลัง มีแผลถูกลูกกระสุนปืน ยิงเจาะเข้าที่หลังศรีษะหนึ่งนัด
ศพของ Dr. Offerman ถูกพบอยู่ข้างเตียงมีเชือกถูกมัดที่ข้อมือ มีรอยกระสุนยิงเข้าที่สะโพกซ้าย ด้านข้าง และด้านหลังของคอ จากรูปการณ์ที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า Dr. Offerman น่าจะแกะเชือกที่มัดมือทั้งสองข้างหลุด (เลยเหลือแค่คล้องไว้ที่ข้อมือด้านเดียว) แล้วลุกขึ้นมาเตรียมพุ่งเข้าใส่คนร้าย ก่อนที่คนร้ายจะยิง Dr.Offerman เข้าที่คอ และยิงอีกสองนัด ก่อนจะมายิง Dr. Manning ที่นอนอยู่บนเตียง
1
Dr. Offerman and Dr.Manning
Case 2: วันที่ 16 มีนาคม ปี 1980 Lyman Smith อดีตอัยการ และกำลังจะได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้พิพากษา กับ Charlene Smith ภรรยา ถูกพบเสียชีวิตอยู่ในบ้านตัวเองในเมืองเขต Ventura ทั้งสองศพอยู่ในสภาพเปลือยและกึ่งเปลือยและถูกมัดมือมัดเท้า สาเหตุการเสียชีวิตคือถูกท่อนฟืน (ที่ตั้งอยู่บริเวณนอกบ้าน) ฟาดกระหน่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเสียชีวิต
1
**DNA ที่ได้จาก Charlene ทำให้ตำรวจสืบทราบหลายสิบปีให้หลังนะคะ ว่า คนร้ายเป็นคนเดียวกันกับ The East Area Rapist.
** เคสนี้ตำรวจคิดว่าเป็นเคสแรกที่ The Golden State Killer สามารถทำทุกอย่างสำเร็จตามแผน ไม่เหมือนเคสก่อนหน้านี้ที่ Dr. Offerman ดันหลุดจากที่มัดไว้แล้วพุ่งใส่เขาทำให้เขาต้องใช้ปืนฆ่าเหยื่ออย่างรวดเร็ว แต่วิธีฆ่าในเคสนี้แหละเป็นสิ่งที่ The Golden State Killer ต้องการและวางแผนที่จะทำจริงๆ
เจ้าหน้าที่ถูกตามตัวให้ยังสถานที่เกิดเหตุที่ Roger Harrington พบเข้ากับศพของ Keith Harrington ลูกชายและ Patrice Harrington ลูกสะใภ้ ศพทั้งสองถูกพบในสภาพเปลือยและกึ่งเปลือย ทั้งสองถูกของแข็งไม่ทราบชนิดทุบจนเสียชีวิต ที่ข้อมือและข้อเท้าพบร่องรอยการถูกมัดแต่ไม่พบกับเชือกที่ใช้มัด ฆาตกรน่าจะถอดออกไปหลังจากที่ผู้ตายเสียชีวิตแล้ว
1
**DNA ที่ได้จาก Patrice ตรงกับ DNA ของ The East Area Rapist
3
**ในขณะที่เสียชีวิต Keith เป็นนักศึกษาแพทย์ ส่วน Patric ทำงานเป็นพยาบาล case นี้ส่งผลให้การเก็บรักษาและวิเคราะห์ DNA ของรัฐ California เปลี่ยนไปตลอดกาล เพราะ Bruce น้องชายของ Keith ที่ทำงานเป็นทนายความช่วยก่อตั้งและให้ทุนในการสร้าง “Prob 69” โปรเจคที่ทำให้กฎหมายอนุญาตให้มีการเก็บและรักษาตัวอย่าง DNA จากอาชญากร เพื่อเก็บไว้ในระบบได้ เพราะ Bruce ต้องการให้จับคนร้ายที่ฆ่าพี่ชายและพี่สะใภ้เสียชีวิตให้ได้นั้นเอง
Case 7: ช่วงปี 1974-1975 ในตอนที่ Visalia Ransacker กำลังเป็นที่ต้องการตัว เกิดเหตุชายคนร้าย บุกเข้าไปในบ้านของครอบครัว Snelling คนร้ายพยายามลักพาตัวลูกสาววัย 16 ปีของบ้าน Beth Snelling โดยลากออกมาผ่านทางสนามหลังบ้าน Beth ตะโกนให้คนช่วย Claude Snelling พ่อของ Beth วิ่งออกมาช่วยลูกสาว ก่อนที่คนร้ายจะชักปืนออกมายิง Claude เสียชีวิต เตะ Beth เข้าที่ท้องก่อนจะวิ่งหนีไป ถึงไม่มีหลักฐานแต่เจ้าหน้าที่เชื่อว่าเป็นฝีมือของ The Golden State Killer
1
Claude Snelling
Case 8: วันที่ 2 กุมภาพันธ์ ปี 1978 ช่วงของ The East Area Rapist Katie กับ Brian Magiore คู่สามีภรรยาที่พาสุนัขออกไปเดินแถวบ้านในช่วงเวลาสามทุ่ม เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า Brian ซึ่งทำงานเป็น Military Officer นั้น เดินไปเจอเข้ากับคนร้าย ซึ่งน่าจะก่อเหตุหรือทำตัวต้องสงสัยอยู่ Brian จึงวิ่งไล่คนร้าย จนคนร้ายจนมุม คนร้ายชักปืนมายิง Brian ก่อนจะวิ่งไล่ตามมายิง Katie ทิ้ง เพื่อไม่ให้มีพยาน (อาจจะเพราะตอนนั้นไม่ได้ใส่หน้ากาก) เหตุการณ์ดังกล่าวมีเพื่อนบ้านหลายคนที่อยู่แถวนั้นได้ยินและออกมาดู เห็นถึงตอนที่มีการวิ่งไล่ตามกันและตอนที่ Katie ถูกคนร้ายยิงในระยะเผาขน ทำให้มีรูป sketch เพิ่มขึ้นบางส่วนจากเหตุการณ์นี้
1
brian and katie maggiore
หลังจากที่เกิดเหตุฆาตกรรม Janelle Cruz นั้น คดีของ The Golden State Killer ก็เงียบหายไปเลย หายไปนานมาก จนทุกคน แม้กระทั่งพูดถึงเขาก็ไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว เบื้องหลังฆาตกรรายนี้นั้นมันยังมีรายละเอียดเยอะแยะมากมายที่ทุกคนยังไม่รู้เป็นจำนวนมาก คดีนี้เป็นคดี cold case ที่กินเวลานานหลายสิบปี จนทุกคนคิดว่า ไม่สามารถไขคดีได้แล้ว และคนร้ายจริงๆแล้วน่าจะตายไปแล้วต่างหาก เหมือนกับคดี The Zodiac Killer นั้นเอง
….แต่แน่นอน never say never
1
🔎แล้วเขาเริ่มกระบวนการสืบสวนยังไงกันเหรอ?
ย้อนกลับไปในปี 1994 เจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีชื่อว่า Paul Holes ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำหน่วยพิสูจน์หลักฐาน ณ สถานีตำรวจที่เมือง Contra Costa รัฐ California เกิดสนใจคดีเก่าๆ หรือคดีพวก Cold Case ขึ้นมา เลยเข้าไปยังห้องเก็บหลักฐานของสถานีตำรวจ รื้อพวกคดีเก่าๆออกมาดู จนกระทั่งไปสะดุดกับซองหลักฐานซองนึง
3
Paul Holes
ซองหลักฐานซองนั้น เป็นซองกระดาษสีน้ำตาลธรรมดาๆ หน้าซองมีแค่หมึกที่เขียนว่า “E R A”
2
เมื่อ Paul ดูเพิ่มเติมจึงเห็นว่าในซองนั้นเป็นหลักฐานที่ได้มาจาก rape kit ของบรรดาเหยื่อของ The East Area Rapist ที่เคยโด่งดังในสมัยนึง Paul รู้ดีว่า ด้วยระยะเวลานั้น ทำให้อายุความของคดีข่มขืนทั้งหลายสิ้นสุดลงแล้ว (พูดง่ายๆ คือ ถึงรู้ว่าใครทำ ก็ทำอะไรไม่ได้นั้นเองค่ะ) แต่เอาน่าลองดูสิว่า เขาจะทำอะไรได้บ้าง สมัยนี้ DNA ก็น่าจะมาไกลแล้วนะ
2
ที่ Paul ไม่รู้เลยคือกว่าเขาจะหาตัวคนร้ายได้ มันก็กินระยะเวลาถึงหลายต่อหลายปี
1
Paul เริ่มจากการส่งตัวอย่าง DNA ไปตรวจสอบจนทราบได้ว่า คนร้ายในคดีดังกล่าวนั้นเป็นคนเดียวกันกับที่ก่อคดีย่องเบาและยกเค้าใน Visalia และเป็นคนเดียวกันกับที่ก่อคดีฆาตกรรมรายหลายที่เกิดขึ้นทั่วรัฐ California แต่กว่าจะได้รับการยืนยันกลับมานั้นก็ไม่ใช่ง่ายๆ Paul ต้องติดต่อ คุยกับตำรวจหลายเขต เจ้าหน้าที่หลายราย รวมไปถึงนักวิทยาศาสตร์ทั้งของรัฐ และทั้งของ เอกชน และเอาตัวอย่างไปตรวจและพิสูจน์ DNA หลายครั้ง จนเจ้าหน้าที่หลายสถานที่เกือบไม่ให้เขาเอาตัวอย่างไปตรวจอีก เพราะกลัวว่าจะไม่มีตัวอย่างเอามาตรวจสอบ DNA เพิ่มเติม โชคดีที่เขต Contra Costa เป็นเขตเดียวที่มีตัวอย่าง DNA จากชายคนร้ายที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์และมีตัวอย่าง DNA เยอะพอสมควร
3
Paul ก่อตั้งทีมขึ้นมาทีมนึงเพื่อทำการตรวจหาและวิเคราะห์ DNA ของคนร้ายโดยเฉพาะ ปัญหามันมีอยู่ว่า ตอนนี้มี DNA ของคนร้าย แต่ DNA ของคนร้าย ไม่ตรงกับ DNA ที่มีอยู่ใน Database และจะทำการยืนยันได้แค่เพียงในตอนที่มีตัวอย่าง DNA ของคนร้ายมา confirm เท่านั้น
โดยการเอา DNA ของคนร้ายมาพยายามแกะ และสร้าง Family Tree ของคนร้ายขึ้นมา เพราะหากเจอญาติหรือคนที่มีสายเลือดเดียวกับคนร้าย ก็น่าจะไม่ยากต่อการสืบหา พูดนะเหมือนง่าย แต่บางทีเจอแบบ เคยเป็นญาติกันมาเหมือน 90 ปีที่แล้ว หรือหลายร้อยปีที่แล้วบ้าง ก็เสียเปล่า ต้องลองลงลึกไปกว่าเดิม (หากใครอยากรู้เรื่อง Geneology สามารถหาอ่านเพิ่มเติมได้ค่ะ ก้อยไม่ถนัดจริงๆไม่อยากอธิบายเดี๋ยวจะมั่วไปใหญ่ 555)
1
ประเด็นคือในตัว Family Tree ดังกล่าว ต้องแมชท์กับหลายๆอย่างเช่น ต้องเป็นผู้ชาย และต้องเป็นผู้ชายที่อาศัยอยู่ใน California ในช่วงปีดังกล่าว เจ้าหน้าที่ต้องมาคอย eliminate ผู้ต้องสงสัยหลายๆคน ตัดออกทีละคนๆๆด้วยกัน
2
จนกระทั่งมาเจอกับชายที่มีชื่อว่า Joseph DeAngelo ซึ่งเป็นชายเชื้อสายอิตาเลียน (แต่มีสีตาและสีผมที่อ่อน ไม่เหมือนคนเชื้อสายอิตาเลียนทั่วไป) อาศัยอยู่ใน California และที่สำคัญ….เคยเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกด้วย
Joseph DeAngelo ในขณะที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ
Paul คิดว่าคนนี้นั้นน่าสนใจ เพราะเขาเคยคิดมาก่อนว่าคนร้ายน่าจะมี background เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือทหารมาก่อน แต่พอไปค้นประวัติของ Joseph ก่อนหน้านี้ เห็นรูปร่างหน้าตา ไม่น่าจะใช่คนร้าย แต่เอาเหอะ ไหนๆก็ไหนๆแล้วลองสืบไปให้ลึกๆก่อน
แต่เหมือนพอยิ่งสืบทุกอย่างก็ยื่งเข้าเค้า Paul ไปเจอเข้ากับประกาศในหนังสือพิมพ์ฉบับนึง (สมัยก่อนชอบมีการลงประกาศ การเกิด การตาย ใครแต่งงาน อะไรแบบนั้นอะค่ะ) และเห็นประกาศว่า Joseph DeAngelo นั้นเคยหมั้นกับผู้หญิงคนนึงที่มีชื่อว่า “Bonnie”
**หลังจากนั้นเมื่อสืบหา Bonnie เจอ ก็พบว่าในตอนนั้น Bonnie ย้ายไปอยู่ที่ต่างประเทศชั่วคราว และในตอนที่ Bonnie เป็นวัยรุ่นนั้น เคยหมั้นกับ Joseph จริง แต่เธอนั้นเป็นฝ่ายถอนหมั้น เพราะ Joseph เป็นคนเจ้ากี้เจ้าการและชอบบังคับออกคำสั่งเธอตลอดเวลา ตอนที่ถูก Bonnie บอกเลิก Joseph นั้นถึงกับแอบเข้ามาในบ้านและพยายามลักพาตัวเธอด้วยปืน แต่พ่อของ Bonnie ขอไว้และจัดการคุยกับ Joseph เอง (Bonnie ถึงกับเคืองพ่อมาจนถึงตอนนี้ว่าทำไมเอ็นดู Joseph มากถึงขนาดไม่ยอมแจ้งตำรวจ) แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ Bonnie ถึงกับต้องย้านบ้านและโรงเรียนเพราะกลัวเกิดเหตุซ้ำอีก
5
เมื่อหา Bonnie ยังไม่เจอในตอนนั้น Paul ตัดสินใจไปคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับอาวุโสที่เคยประจำการอยู่ที่เมือง Aura (ที่ Joseph DeAngelo เคยเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่) เพื่อสอบถามเพิ่มเติม
Pete Willick ที่เคยเป็นนายตำรวจที่ดำรงตำแหน่งคล้ายๆผู้กำกับในตอนนั้นเล่าว่า Joseph เป็นนายตำรวจที่จริงจังกับงานและมักจะเคร่งเครียดจริงจังอยู่เสมอจึงทำให้เขาไม่มีเพื่อนมากนักในสถานที่ทำงาน
ระหว่างที่ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่นี่เอง Joseph DeAngelo ดันถูกพนักงานในร้านค้าจับได้ว่าแอบขโมยค้อนและ spray กันสุนัข
เมื่อถูกจับได้ว่าขโมย สถานีตำรวจที่ทำงานอยู่เลยต้องทำการพักงานและไล่ Joseph ออกในที่สุด Pete เล่าว่า Joseph นั้นโกรธเขาเป็นอย่างมาก ในวันนึงหลังจากที่ไล่ Joseph ออกไม่นาน ลูกสาววัยรุ่นของ Pete วิ่งเข้ามาหาเขาในห้องนอนกลางดึก แล้วบอกกับพ่ออย่างตื่นตะหนกว่า “Daddy, there’s a man in my window” Pete วิ่งออกมาในทันที ในตอนนั้นคนร้ายหนีไปแล้ว แต่มีรอยรองเท้าอยู่ที่หน้าต่างของห้องลูกสาวตัวเอง Pete คิดว่าคนร้ายคนนั้นต้องเป็น Joseph แน่ๆ แต่เมื่อพิสูจน์ไม่ได้ ก็ไม่ได้ทำเรื่องติดตามอะไร
2
ที่สำคัญ ลูกสาวของ Pete เล่าว่า คนร้ายไม่ได้มายืนมองเปล่าๆ ยังเอาไฟฉายสาดใส่หน้าเธอจนแสงจ้าไปหมดอีกด้วย
พอถึงตอนนี้ Paul เริ่มมั่นใจว่า Joseph นี่แหละเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง จึงสืบต่อๆไปเรื่อยๆจนถึงปูมหลังของ Joseph
🚔 ในช่วงปี 1974-1975 Joseph นั้นได้รับการบรรจุให้ทำงานในเมือง Exeter เมืองที่อยู่ติดกับ Visalia ทำให้ Joseph คุ้นเคยกับพื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นอย่างดี
🚔 ในช่วงที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เมือง Visalia นั้น Joseph ถูกส่งตัวเข้า หน่วย Burglary Task Force ณ วิทยาลัยที่เมือง Okayed พูดง่ายๆ คือ เงินภาษีของรัฐนั้นเอง ที่ส่งให้ Joseph เข้าไปเรียนรู้วิธีการเป็นขโมยย่องเบาที่ดีขึ้น เชี่ยวชาญมากขึ้นนั้นเอง พอมาถึงตรงนี้ รู้แล้วว่าทำไมมันถึงเทพนัก
3
🚔 หลังจากที่ถูกไล่ออกจากการเป็นตำรวจ Joseph ทำงานเล็กๆน้อยๆทั่วไป เขาแต่งงานและมีครอบครัว จนกระทั่งเกษียณอายุ
เมื่อเริ่มรู้ว่าเข้าใกล้ความจริงไปทุกที เจ้าหน้าที่ซุ่มดูหน้าบ้านของ Joseph และแอบติดตาม Joseph อยู่เงียบๆ จนกระทั่งแอบเก็บ DNA ของ Joseph จากถังขยะหน้าบ้านได้และมาเทียบกับ DNA ที่มีอยู่ในระบบได้สำเร็จ
ในวันที่ 24 เมษายน ปี 2018 40 กว่าปี หลังจากที่ก่อเหตุสร้างความหวาดผวา ความหวาดกลัว และความเจ็บปวดให้กับผู้คนทั่ว California เจ้าหน้าที่ไปเคาะประตูบ้านและจับกุม Joseph DeAngelo วัย 72 ปี ในข้อหาฆาตกรรม และลักพาตัว (เพราะข้อหาข่มขืนหมดอายุความไปแล้ว)
2
เมื่อถูกนำตัวขึ้นศาล Joseph ในวัยชราภาพ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วเป็นอย่างมาก เขาดูเป็นชายชราที่แม้แต่จะเดินยังเดินไม่ไหว แต่เจ้าหน้าที่ยืนยันว่า นี่ไม่ใช่ Joseph ที่พวกเขาซุ่มดู อาทิตย์ก่อนหน้าที่จะโดนจับ Joseph ยังบึ่งมอเตอร์ไซซ์ แบบร้อยกว่าไมล์ต่อชั่วโมงบนทางหลวงอยู่เลย (ในภาพจากกล้องวงจรปิดในคุกยังเห็น Joseph ปีนขึ้นไปเอาของบนเตียงชั้นบนได้อยู่เลยค่ะ)
4
Joseph ผู้ชราภาพและไร้พิษสงจนต้องนั่งรถเข็นมาชึ้นศาล
แต่พอกลับเข้าห้องขังแล้วนั้น..........
จะปีนขึ้นไปทำไม???
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้โดนโทษประหาร Joseph Deangelo เข้าทำสัญญาประนีประนอมกับรัฐ ยอมรับข้อกล่าวหา และสารภาพรวมไปถึงคดีที่ไม่มีหลักฐานมาแจ้งข้อหาเขาได้ โดยเฉพาะพวกคดีข่มขืนทั้งหลายแหล่ ทำให้ Joseph DeAngelo ได้รับคำพิพากษาให้ถูกจำคุกตลอดชีวิต ในเดือนสิงหาคม ปี 2020 ที่ผ่านมา
Joseph หลังจากที่เข้าทำข้อตกลงกับรัฐ และทำการรับสารภาพในศาล....ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
**จริงๆแล้วคิดว่าคดีมันยังไม่สิ้นสุดนะคะ มันน่าจะมีคดีปลีกย่อยแตกออกมา แต่ Joseph DeAngelo จะอยู่ถึงวันนั้นหรือเปล่าก็ไม่รู้