20 ม.ค. 2021 เวลา 10:45 • หุ้น & เศรษฐกิจ
Let Profit Run VS Take Profit เทรดแบบไหนได้กำไรมากกว่า
1
แน่นอนว่านักลงทุนจะต้องเคยได้ยินคำว่า Cut Your Losses and Let Your Profits Run หรือการปล่อยให้สินทรัพย์ทำกำไรไปอย่างต่อเนื่อง และตัดขาดทุนอย่างรวดเร็วเมื่อราคาตกลงมา ซึ่งในทางทฤษฎี นี่เป็นกลยุทธ์ที่ดูจะทำกำไรและป้องกันความเสียหายได้เป็นอย่างดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว เรามักจะเจอกับเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์เป็นประจำ เช่น Cut Loss เมื่อไหร่ ราคาพุ่งขึ้นทันที หรือพอดูแนวโน้มจะดีจนเราตัดสินใจ Let Profit Run ราคากลับร่วงหล่นให้เราเจ็บใจอยู่บนดอยน้อยๆ ของเราเอง พอโดนบ่อยๆ เข้า กลายเป็นว่านักลงทุนหลายคนดันไม่กล้าที่จะ Cut Loss ตอนราคาสินทรัพย์ตก และ Let Your Profits Run ตอนที่แนวโน้มราคาขึ้น เพื่อเก็บกำไรตามแนวโน้มราคาได้เลย
2
วันนี้เราเลยจะมาลองมาทดสอบดูว่ากลยุทธ์ Let Profit Run หรือปล่อยให้สินทรัพย์เก็บกำไรตามแนวโน้มของราคาไปเรื่อยๆ หรือว่ากลยุทธ์ Take Profit หรือเก็บกำไรเข้ากระเป๋ามาก่อน กลยุทธ์ไหนจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่ากัน โดยใช้ข้อมูลจริงๆ มาทำงานวิจัย ไร้อารมณ์ความรู้สึกส่วนตัว โดยเราจะดูทั้งการลงทุนในสินทรัพย์ทั่วไปอย่าง หุ้น, ทองคำ,​ เงิน (Silver) หรือน้ำมัน จนไปถึงสินทรัพย์ใหม่อย่างสกุลเงินดิจิทัล
ทดสอบกลยุทธ์​ Let Profit Run VS Take Profit กับสินทรัพย์ทั่วไป
สำหรับการทดสอบครั้งแรกนี้ เราจะใช้สินทรัพย์ทั่วไปที่มีมายาวนานแล้ว ได้แก่ Dow, Nasdaq, SP500, Cac40, Dax, Hang Seng, Jakarta, Kospi, Nikkei, Sensex, Shenzhen, Set, Crude Oil, Gold และ Silver โดยยังไม่ได้รวมสินทรัพย์ดิจิทัลเข้ามาในการทดสอบนี้ด้วยครับ
1
กลยุทธ์ที่ใช้ทดสอบ
เราจะเทียบผลตอบแทนระหว่างสองกลยุทธ์คือ
1. Let Profit Run ปล่อยให้สินทรัพย์ทำกำไรไปเรื่อยๆ ตามแนวโน้มของราคา
2. Take Profit หรือขายทำกำไร เมื่อสินทรัพย์ราคาถึงกำไรที่ตั้งเอาไว้ โดยเราจะดูด้วยว่า Take Profit ที่เป้าหมายกี่เปอร์เซ็นต์ดีที่สุด ระหว่าง 10% 20% 30% 40% และ 50%
เงื่อนไขการทดสอบ:
1. เงินลงทุนตั้งต้น 1 ล้านบาท
2. ช่วงเวลาที่ทำการทดสอบ 1/1/2015 ถึง 31/10/2020
3. ซื้อขายเมื่อสินทรัพย์นั้นทำจุดสูงสุด/จุดต่ำสุด ในรอบ 1 เดือน (Donchian Channel)
4. Position Sizing เท่ากับ 10 % ของพอร์ต
5. Position Score เท่ากับ ราคาปิดใกล้จุด All Time High มากที่สุด
1
ผลการทดสอบ
สำหรับการทดสอบแรกนี้เป้าหมายการทำกำไรที่ 20% นั้นให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด ใกล้เคียงกับการ Let Profit Run เลยทีเดียวครับ ซึ่งในสาเหตุที่สำคัญคือ
- เราใช้การทดสอบกับภาพรวมหุ้นทั้งตลาด ซึ่งโอกาสที่จะปรับตัวสูงขึ้นมากๆ จะน้อยกว่าการดูหุ้นทีละตัว พูดง่ายๆ คือถ้าเราเลือกลงทุนหุ้นรายตัว ก็จะมีโอกาสพุ่งมากกว่า ทำให้ Let Profit Run อาจจะทำกำไรได้มากกว่าครับ
- การลงทุนเป็นพอร์ตโดยการกระจายเงินไปหลายๆ ที่ รวมถึงการวางกลยุทธ์ของเรา ทำให้เป็นการบริหารความเสี่ยงให้ต่ำลง แต่ก็ทำให้ผลตอบแทนไม่ได้หวือหวามากนักเช่นกันครับ
ทดสอบกลยุทธ์​ Let Profit Run VS Take Profit แบบรวมสินทรัพย์ดิจิทัลด้วย
สำหรับการทดสอบในครั้งนี้ ทุกอย่างเหมือนกับการทดสอบแรกทั้งหมดเลยครับ แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือเราจะเอาสกุลเงินดิจิทัลเข้ามาร่วมทดสอบด้วย โดยเลือกมา 6 ตัว คือ BTC, ETH, XRP, LTC, BCH และ USDT
ผลการทดสอบ
จะเห็นได้ว่าผลการทดสอบแตกต่างจากแบบแรกพอสมควรเลยครับ การ Let Profit Run นั้นให้ผลตอบแทนที่ดีกว่ามาก และการ Take Profit ที่ 20% นั้นไม่ได้ดีอีกต่อไปแล้ว
สำหรับการลงทุนแบบที่มีสินทรัพย์ดิจิทัลแล้ว ดูเหมือนว่ายิ่งเรากำหนดจุดทำกำไรไว้ต่ำ การเติบโตของพอร์ตเราก็จะต่ำไปด้วย เหมือนเป็นการตัดโอกาสทำกำไรของตัวเอง นี่เป็นเพราะสินทรัพย์ดิจิทัลในช่วงที่ผ่านมานั้น แม้จะมีการขึ้นแรง และลงแรง แต่ก็เป็นเทรนด์ขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้การ Let Profit Run เรื่อยๆ นั้นให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
การ Let Profit Run ดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย ปล่อยไปเรื่อยๆ ก็มีกำไรแล้ว แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่มีกลยุทธ์ไหนที่ง่ายดาย และการันตีกำไรได้ 100% ดังนั้นการศึกษาข้อมูลให้มากที่สุด รวมทั้งการรู้จักสไตล์ขอตัวเองและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เพื่อเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับเราที่สุด จึงเป็นเรื่องที่เราแนะนำกันมาตลอดเลยครับ
การลงทุนแบบช้อนซื้อ ผลตอบแทนเป็นอย่างไร?
สำหรับการทดสอบทั้งสองครั้งด้านบน จะเป็นสไตล์ของการซื้อตามแนวโน้มราคา ที่แน่นอนว่าไม่ใช่กลยุทธ์เดียวในการลงทุน และไม่ใช่คำตอบทั้งหมดของการเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมครับ ซึ่งการช้อนซื้อ ก็เป็นอีกหนึ่งในกลยุทธ์ที่เป็นที่นิยมไม่น้อยในหมู่นักลงทุน แต่เรายังไม่ได้ทดสอบกันในครั้งนี้
สำหรับคนที่ยังไม่คุ้นเคย การช้อนซื้อคือการเข้าตลาดเพื่อซื้อสินทรัพย์เมื่อราคาตกลง และตั้งจุด Take Profit เพื่อทำกำไรเอาไว้เมื่อราคาขึ้น ส่วนถ้าราคาดันตกลงไปอีก ก็ถือว่าสามารถยอมรับการขาดทุนนี้และอดทนรอจุดขายในอนาคตได้ครับ
สำหรับสายช้อนซื้อแล้ว ส่วนใหญ่จะเน้นการดูที่ราคาอย่างเดียว โดยไม่ได้ดูปัจจัยอื่นๆ เช่น Valuation หรือ ค่า Mean โดยเราได้ทำการทดสอบแบบสั้นๆ คือ
- เข้าช้อนซื้อเมื่อราคาสินทรัพย์ลงต่ำสุดในรอบ 1 ไตรมาส
- ตั้งเป้าหมายขายทำกำไรไว้ที่ 10-50%
- ช่วงเวลาที่ทำการทดสอบ 1/1/2015 ถึง 31/10/2020
หลังจากที่ได้ทำการทดสอบทั้งแบบที่รวมสินทรัพย์ดิจิทัล และไม่รวม ต่างก็ได้ผลการตอบแทนที่ไม่ดีเท่าไหร่ครับ โดยสาเหตุคือ
- ราคาของสกุลเงินดิจิทัลมีการตกลงอย่างรุนแรงช่วงปี 2018
- ในปี 2020 ที่มีโควิด-19 นั้น เกือบทุกสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงก็มีการตกลงมาค่อนข้างแรงเช่นกัน
กลยุทธ์นี้จึงสามารถช่วยให้เราเก็บกำไรไปทีละน้อยได้ถ้าช้อนได้ถูกทางและมีลิมิตกำไรเอาไว้ แต่ความเสี่ยงในการเสียเงินนั้นอาจจะมากกว่าถ้าช้อนผิด เรียกว่ากำไรสิบรอบ อาจจะไม่พอกับการขาดทุนรอบเดียวได้ครับ
Take Opportunity ไม่กำหนดสินทรัพย์ตายตัว แต่เปิดใจดูสินทรัพย์ใหม่เสมอ
การศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ เป็นเรื่องที่จำเป็นในยุคปัจจุบัน และสำหรับการลงทุนแล้ว การเรียนรู้อยู่เสมอ รวมไปถึงการทำความรู้จักกับสินทรัพย์ใหม่ๆ ก็เป็นเรื่องที่จำเป็นมากเลยครับ เนื่องจากสินทรัพย์ที่เคยดีในอดีต อาจจะไม่ได้ดีตลอดไป และสินทรัพย์ใหม่ๆ ที่เราไม่รู้จัก อาจจะกลายเป็นโอกาสทำกำไรที่ดีแบบคาดไม่ถึงได้เลย
สุดท้ายนี้ เราเลยจะลองมาดูกันว่าถ้าเราขยายเวลาการทดสอบเป็น 20 ปีในช่วง 2000-2020 โดยใช้กลยุทธ์เดิมทางด้านบน บวกกับไอเดียของการเติมสินทรัพย์ใหม่ๆ เข้ามาในพอร์ตอยู่เสมอ หน้าตาผลตอบแทนจะเป็นอย่างไรบ้าง โดยเราจะใช้สินทรัพย์ดิจิทัลที่เกิดมาหลังจากปี 2000 เพื่อเป็นตัวแทนสินทรัพย์ใหม่ๆ และที่สำคัญคือสกุลเงินดิจิทัลแต่ละตัวก็เกิดขึ้นมาคนละช่วงเวลากันอีกด้วย น่าสนใจมากๆ เลยครับ
จะเห็นได้ว่าผลการทดสอบนั้นได้กำไรที่น่าสนใจเลยทีเดียว โดยเฉพาะการ Let Profit Run ที่ได้ CAGR ไปถึง 25.73% ครับ สุดท้ายนี้ขอย้ำอีกครั้ง ว่าการลงทุนนั้นไม่ใช่เรื่องยากเกินไป แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่ใครๆ ก็ทำได้ นักลงทุนต้องศึกษาข้อมูล อัปเดตความรู้อยู่เสมอ และคอยดูแลพอร์ตอยู่ตลอดเวลาเพื่อผลตอบแทนที่ดีที่สุด ในความเสี่ยงที่เรายอมรับได้ครับ ขอให้ทุกคนลงทุนอย่างมีความสุข และถ้าพร้อมแล้วที่จะลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ก็มาเทรดกันได้ฟรี ไม่มีค่าธรรมเนียมที่ Zipmex นะครับ
โฆษณา