22 ม.ค. 2021 เวลา 03:00 • กีฬา
"ดาวที่ไม่มีวันทอแสงของ Class of 92"
ในปี 2013 มีการสร้างภาพยนต์ Class of 92 เป็นเรื่องราวของกลุ่มนักเตะอายุน้อยที่เติบโตมาพร้อมกันและช่วยให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประสบความสำเร็จตั้งแต่ยุคกลาง 90s จนถึงปี2000s
เดวิด เบ็คแฮม, ไรอัน กิ๊กส์, พี่น้องเนวิลล์, พอล สโคลส์ และ นิคกี้ บัตต์ เป็นตัวเอกของเรื่อง (จริงๆแล้ว กิ๊กส์ และ สโคลส์ ไม่ได้อยู่ในทีมชุดคว้าแชมป์ เอฟเอ ยูธ คัพ ปี 1992)
ทว่ายังมีนักเตะอีกหลายคนในรุ่นเดียวกัน ที่ไม่สามารถแจ้งเกิดได้ในถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ชื่อดังๆ ก็มี ร็อบบี้ ซาเวจ และ คีธ จิลเลสพี
 
ร็อบบี้ ซาเวจ เคยให้สัมภาษณ์ร่วมกับ ริโอ เฟอร์ดินานด์ เมื่อราวเดือนที่แล้ว เกี่ยวกับนักเตะเยาวชน เมื่อนักข่าวถามว่า ใครคือดาวรุ่งที่เก่งสุดที่เขาเคยเห็นหรือเล่นด้วย
 
ริโอ ชี้เป้าไปที่ ราเวล มอร์ริสัน นักเตะที่ขนาด เฟอร์กี้ ยังบอกว่าเป็นสุดยอดพรสวรรค์ แต่ คำตอบของ ซาเวจ คือนักเตะที่ชื่อ เอเดรียน โดเฮอร์ตี้
 
"สำหรับผม เป็นนักเตะที่ชื่อ เอเดรียน โดเฮอร์ตี้ เขาแก่กว่าผมนิดหน่อยสมัยเล่นที่ ยูไนเต็ด เขาเหลือเชื่อมากๆ เขาเหมือนไรอัน กิ๊กส์ แต่อยู่ปีกขวา เขาจะพริ้วผ่านคู่แข่งไปง่ายๆ เขาเร็วมาก"
 
ผู้คร่ำหวอดหลายคนเชื่อว่าศักยภาพของ โดเฮอร์ตี้ นั้นดีพอที่จะเป็น จอร์จ เบสต์ คนต่อไป และหากไม่ดีกว่าก็ต้องเทียบเท่า ไรอัน กิ๊กส์
 
เดวิด มีค อดีตนักข่าวของ แมนเชสเตอร์ อีฟว์นิ่ง นิวส์ สายแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เชี่ยวชาญเรื่องของปีศาจแดงทะลุปรุโปร่งหลายสิบปี ทั้งชุดใหญ่ชุดเล็ก อธิบายถึง โดเฮอร์ตี้ ไว้ว่า
 
"ความเร็วของเขา และทักษะของเขาเป็นที่เห็นได้ชัดตั้งแต่ตอนซ้อม โดเฮอร์ตี้ ในฐานะเด็กฝึกหัดปีแรก ฉายแววสว่างสไว แต่เขาก็ยังเล่นด้วยความกล้าหาญพอๆ กับความสามารถที่เขามี เขาเป็นปีกที่เลี้ยงบอลไปด้วยความเร็วสูงสุดและยิงได้ดีทั้งสองเท้า"
 
เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน เคยเล่าว่า ดันแคน เอ็ดเวิร์ดส์ เก่งอย่างไร ถึงขนาดที่เขารู้สึกว่าเป็นคนเดียวที่เหนือกว่าเขา และเสียดายที่โชคชะตาพรากชีวิต "ว่าที่" นักเตะที่ดีที่สุดเท่าที่อังกฤษเคยมีไปจากเหตุการณ์ที่มิวนิค
เอเดรียน โดเฮอร์ตี้ ก็ไม่มีโอกาสได้เติมเต็มพรสวรรค์ของเขาเช่นกัน เขาถูกมองว่าเป็นเพชรที่สาบสูญ และดวงดาวที่หายไปจาก คลาส ออฟ 92
 
เรื่องราวของ โดเฮอร์ตี้ ยังรันทดมากไปกว่าการหายไปจากวงการฟุตบอล เมื่อเขาเสียชีวิตลงอย่างน่าเศร้าในกรุง เฮก, ฮอลแลนด์ ในปี 2000 ก่อนวันเกิดครบ 27 ปีของเขาแค่วันเดียว
1
เอเดรียน โดเฮอร์ตี้ เกิดในสตราเบน เมืองเล็กๆ ใกล้กับ เดอร์รี่ , ไอร์แลนด์เหนือ เมื่อ 10 มิถุนายน 1973
 
เขาเล่นฟุตบอลตามท้องถนน หรือกับทีมท้องถิ่นในสมัยเด็กๆ และฝีเท้าก็โดดเด่นเกินใคร
ในปี 1987 โดเฮอร์ตี้ ได้มาเล่นให้กับ มัวร์ฟิลด์ส์ บอยส์ ในรุ่นอายุต่ำกว่า 14 ปี ซึ่งพอดีมี แม็ทท์ แบรดลี่ย์ แมวมองประสบการณ์สูงเป็นโค้ชอยู่
 
แบรดลี่ย์ บอกว่า "เอเดรียน เป็นเด็กที่เก่งที่สุดที่ผมเคยเห็นในไอร์แลนด์ในรอบกว่า 30 ปีที่ผมเคยสอนและเคยไปดูฟอร์มมา"
 
เขาจึงแนะนำเด็กคนนี้ให้กับแมวมองของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในไอร์แลนด์เหนือ และ เอเดรียน ก็ได้ไปทดสอบฝีเท้ากับทีมปีศาจแดง และเพียง 15 นาที อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็โทรหา จิมมี่ โดเฮอร์ตี้ พ่อของ เอดรียน เพื่อสอบถามเรื่องการเซ็นสัญญาทันที
อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ปาดหน้าทั้ง อาร์เซน่อล และ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ในการคว้าตัวดาวรุ่งรายนี้ เพราะ ไบรอัน คลัฟ กุนซือจอมเก๋าของฟอเรสต์ เคยนำทีมเยาวชนไปโดน มัวร์ฟิลด์ส์ อัดมาแล้ว ซึ่งคนทำประตูให้กับทีมเล็กๆ จากเดอร์รี่ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เอเดรียน โดเฮอร์ตี้ นี่เอง
พูดเรื่องการมาทดสอบฝีเท้า และเล่นให้ทีมรุ่นเยาว์ของ แมนฯ ยูไนเต็ด มีพยานปากเอกอีกคนที่สามารถยืนยันถึงพรสวรรค์ของ โดเฮอร์ตี้ ได้เป็นอย่างดี นั่นก็คือ เบรนดัน ร็อดเจอร์ส
 
"ไปคุยกับ ไรอัน กิ๊กส์, พอล สโคลส์, พี่น้องเนวิลล์ ดูสิ พวกเขาจะบอกคุณว่า เขา (โดเฮอร์ตี้) เป็นนักเตะที่เก่งที่สุดที่พวกเขาเคยเล่นด้วยในระดับนั้น"
1
ร็อดเจอร์ส สมัยเป็นวัยรุ่นก็เคยมาทดสอบฝีเท้ากับแมนฯ ยูไนเต็ด เช่นกัน เขารู้จักกับ โดเฮอร์ตี้ มาตั้งแต่ที่ไอร์แลนด์เหนือ และล่องลงมาทดสอบฝีเท้ากับทีมปีศาจแดงด้วยกัน แต่ "บีร็อด" ไม่ได้รับการเซ็นสัญญา
ร็อดเจอร์ส กลับมาอังกฤษในปี 1990 ตอนอายุ 18 เมื่อเซ็นสัญญากับ เรดดิ้ง
ราว 1 ปีให้หลัง จิม เลห์ตัน มือกาวสก็อตวัย 32 ปีถูก แมนฯ ยูไนเต็ด ปล่อยไปให้ เรดดิ้ง ยืมตัว ทั้งคู่จึงได้พูดคุยกันเรื่องที่ แมนฯ ยูไนเต็ด
 
โดยเฉพาะเรื่องของนักเตะรุ่นกระทงด้วยกัน ซึ่งร็อดเจอร์ส เคยรู้จัก "ผมถามเขาว่าเคยได้ยินชื่อนักเตะคนนี้ๆ บ้างไหม และเขาตอบว่า ไม่ แล้วคนโน้นคนนั้นล่ะ เขาก็ตอบว่า ไม่"
 
ตอนนั้นเองที่ ร็อดเจอร์ส บอกว่าเขาเป็นเพื่อนกับดาวรุ่งคนหนึ่งจากสตราเบน ชื่อว่า เอเดรียน
 
อดีตกุนซือหงส์แดง เล่าว่า "จิม เลห์ตัน หยุดกึกก่อนตอบว่า "เดอะ ด็อก" เหรอ? เดอะ ด็อก คือตำนาน"
2
ทุกคนที่ เดอะ คลิฟฟ์ (สนามซ้อมเก่าของ แมนฯ ยูไนเต็ด) เรียก โดเฮอร์ตี้ ว่า "เดอะ ด็อก"
หากว่าเขาเก่งขนาดนั้น มีพรสวรรค์ระดับที่ว่า ทำไมชีวิตถึงผกผัน ไม่ได้รับโอกาสขึ้นมาแสดงความสามารถบนเวทีใหญ่เลย ?
 
เรื่องนี้ก็ตอบได้ด้วยเหตุผล 2 ประการ แต่ประการแรกคือเหตุผลใหญ่สุด นั่นคืออาการบาดเจ็บ
 
เฟอร์กี้ ใส่ชื่อของ โดเฮอร์ตี้ ไว้ในขุมกำลังตั้งแต่ตอนอายุ 16 ปี เมื่อเดือนมีนาคม 1990 หลังจากผ่านการเล่นในทีมเยาวชน และทีมสำรองร่วมกับดาวรุ่งในยุคนั้น
 
ทีมงานต่างสนับสนุนความคิดที่ให้ เฟอร์กี้ ส่งเขาลงเล่นทีมชุดใหญ่ได้แล้ว
 
เดวิด มีค เผยว่า "หลังฉากนั้น (ทุกคนที่ยูไนเต็ด) ต่างมั่นใจว่าเขาจะสร้างปรากฏการณ์ได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนนับแต่ จอร์จ เบสต์ "
 
ไรอัน กิ๊กส์ ลงเล่นนัดแรกให้สโมสร เป็นตัวสำรองเจอกับเอฟเวอร์ตัน เมื่อ 2 มีนาคม 1991 แต่ โดเฮอร์ตี้ ที่แก่กว่ากิ๊กส์ 5 เดือน ได้รับโอกาสก่อนหน้าเสียอีก
 
มันน่าจะเป็นการแนะนำตัวว่าที่ซูเปอร์สตาร์ในอนาคตสู่ท่านผู้ชมในโรงละครแห่งความฝัน แต่โชคชะตาก็เล่นตลก
 
ก่อนหน้าเกมที่เขาถูกคาดหมายจะได้ลงเล่นเป็นนัดแรกเพียงไม่กี่วัน โดเฮอร์ตี้ ลงเตะให้ทีมสำรองพบกับ คาร์ไลส์ แล้วบาดเจ็บหนัก
 
เจ็บ "เอ็นไขว้หัวเข่า" อาการเจ็บที่ไม่มีนักเตะคนไหนอยากเจอ มันแย่ยิ่งกว่าขาหัก
 
เขาใช้เวลา 7 เดือนในการรักษาตัว พอกลับมาได้ โชคชะตาก็ยังเล่นตลก เมื่อเขากลับไปเจ็บซ้ำตำแหน่งเดิมอีกทันที หนนี้ ใช้เวลากว่า 1 ปีเพื่อเยียวยา
 
ในที่สุด ก่อนเปิดฤดูกาล 1992/93 ชื่อของ เอเดรียน โดเฮอร์ตี้ ก็ไม่อยู่ในสารบบของ แมนฯ ยูไนเต็ด อีกต่อไป เมื่อเขาไม่ได้รับการต่อสัญญา
 
ไรอัน กิ๊กส์ ที่ตามมาติดๆ กลายเป็นชื่อคุ้นหูในหมู่เหล่าแฟนผีแล้วขณะนั้น แต่ โดเฮอร์ตี้ ต้องระหกระเหิน ซมซานกลับบ้านเกิด และตกลงเซ็นสัญญากับ เดอร์รี่ ซิตี้
 
แต่เขาก็ลงเล่นไปเพียงแค่ 3 เกมเท่านั้น ก็หันหลังให้กับวงการฟุตบอลอย่างถาวร อาการเจ็บพรากความเร็วและการเคลื่อนไหวของเขาไปหมดสิ้น นอกจากนั้น ก็ยังมาถึงเหตุผลประการที่ 2
 
ไบรอัน แม็คแคลร์ ย้อนความหลังให้ฟังว่า "เขาไม่มีความกลัวเลย เขาแข็งแรงเป็นนักฟุตบอลที่เต็มไปด้วยทักษะ แต่สิ่งที่ผมจำได้แม่นที่สุดคือบุคลิกของเขา และความฉลาดของเขา เขารักการพูดคุยโดยเฉพาะเรื่องดนตรีและบทกวี"
 
ในการมาซ้อมที่ เดอะ คลิฟ บนไหล่ของ โดเฮอร์ตี้ ทุกคนจะเห็นกีตาร์ถูกแบกมาด้วยเสมอ
เขารักดนตรี บทกวี และการอ่านหนังสือ มันเป็นความชื่นชอบส่วนตัวของเขาที่มีมากกว่าฟุตบอลด้วยซ้ำ
 
ทุกคนพูดไปในทำนองเดียวกันว่าเขาเป็นเด็กติดดิน นิสัยดี อารมณ์ดี
 
ขณะที่ภาพลักษณ์ของนักบอลอาชีพคือทรงผมเท่ๆ รถสปอร์ต และการทำตัวให้ดูหล่อดึงดูดใจสาวๆ แต่ไม่ใช่ โดเฮอร์ตี้
 
นั่นจึงไม่น่าแปลกใจที่เขาหันหลังให้กับเกมลูกหนังตั้งแต่อายุยังน้อย แม้ว่า จิมมี่ พ่อของเขาจะยังตำหนิ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ว่าควรดูแลลูกชายของเขาให้ดีกว่านี้ โดยเฉพาะในยามบาดเจ็บ
 
เขารักดนตรี โดยเฉพาะ บ็อบ ดีแลน และเพลงที่เขาชื่นชอบที่สุดคือ All Along the Watchtower
 
หลังโบกมือลาฟุตบอล เขาทำงานหลายที่ เคยทำโรงงานช็อกโกแลตในเพรสตัน พร้อมๆ กับเล่นดนตรีที่เขารัก
 
เมื่อปี 2000 เขาได้งานบริษัททำเฟอร์นิเจอร์ที่ฮอลแลนด์
 
หลังจากย้ายไปได้ไม่นาน เช้าวันหนึ่งเขาเร่งรีบไปทำงาน โดยสารทางเรือผ่านคลองอัมสเตอร์ดัม แต่เกิดอุบัติเหตุก้าวพลาดตกลงไปในน้ำ กว่าจะมีคนช่วยขึ้นมาได้เขาก็หมดสติไปแล้ว
 
เขาถูกพามารักษาตัวในกรุงเฮก หลังนอนโคม่าอยู่ราว 1 เดือน เขาก็จากโลกนี้ไป
 
วันทำพิธีฝังร่างของเขาเมื่อ 16 มิถุนายน มีเพียงหนังสือพิมพ์ เดอร์รี่ เจอร์นัล สื่อท้องถิ่นที่ลงข่าวนี้ วันต่อมาหนังสือพิมพ์ในอังกฤษประโคมข่าวชัยชนะของทีมชาติเหนือเยอรมันใน ยูโร 2000 ซึ่ง เบ็คส์, สโคลส์ และพี่น้องเนวิลล์ ได้ลงสนาม
 
โทนี่ พาร์ค ผู้เขียนหนังสือ The Sons of United เรื่องราวของนักเตะจากชุดเยาวชนปีศาจแดง และติดตามทีมเยาวชนของสโมสรมาตั้งแต่ยุค 70s เคยเล่า
 
"โค้ชรายหนึ่งชี้ว่าจากนักเตะดาวรุ่งทุกคนตอนนั้น มีเพียง วิลสัน (กิ๊กส์), สโคลส์ และ โดเฮอร์ตี้ เท่านั้นที่จะทะลุขึ้นไปได้ ขณะที่ วิลสัน มีเท้าซ้ายและความเร็ว, สโคลส์ ใช้เท้าทั้งสองข้างได้สุดยอดแต่ขาดความเร็ว แต่ โดเฮอร์ตี้ มีทุกอย่าง"
 
ดันแคน เอ็ดเวิร์ดส์ เสียชีวิตในวัย 21 ปี แต่ยังได้เล่น ได้แสดงฝีเท้าจนเป็นที่ประจักษ์ มีหลักฐานพยานชัดเจน อย่างน้อยก็ เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน
 
ผิดกับ โดเฮอร์ตี้ - ไม่มีใคร ยกเว้นพระเจ้าจะการันตีได้ว่าหาก เอเดรียน โดเฮอร์ตี้ ไม่โดนอาการเจ็บพรากเขาไป เขาจะกลายเป็นหนึ่งใน คลาส ออฟ 92 กลายเป็นยอดนักเตะเคียงข้าง กิ๊กส์, สโคลส์, เบ็คส์ พี่น้องเนวิลลล์ หรือไม่
 
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
4
โฆษณา