ผมเกลียดการเรียน
ก่อนที่ผมจะเริ่มในเรื่องนี้ผมต้องบอกที่มาที่ไปถึงสาเหตุว่าทำไมผมถึงเกลียดมัน มันเกิดขึ้นในช่วงประถมที่ 5 หรือ 6 เนี่ยแหละ ในตอนนั้นมีครูสอนวิทยาศาสตร์มาสอนเรื่องอวัยวะของร่างกาย ทุกอย่างก็ดูจะเป็นเรื่องปกติสำหรับทุกคนจนกระทั้ง.......
“นักเรียนรู้มั้ยว่าถ้ากระเพาะปัสสาวะเต็มแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น?”
ผมยกมือตอบอย่างไม่ลังเล
“มันจะล้นออกมาครับ”
“ผิดจ้า”
สิ้นเสียงครู เสียงอ็อดโรงเรียนบอกหมดคาบก็ดังขึ้น ทันทีที่เสียงนั้นดัง ครูคนนั้นก็รีบเก็บของเพื่อไปสอนห้องต่อไป แต่ก็ถูกผมรั้งเอาไว้ก่อน
“คุณครูครับ ถ้ามันล้นแล้วจะเกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”
ครูยืนอำอึ้งอยู่พักนึงก่อนที่จะพูดกลับมาว่า
“เมื่อนักเรียนเข้าม.ต้น นักเรียนก็จะเข้าใจเองละจ่ะ”
นั้นคือประโยคทิ้งท้ายที่ผมเกลีดมาก เกลียดถึงชนาดทำให้นอนไม่หลับ ไม่มีสมาธิเรียน จนต้องทุบกระปุกตัวเองไปซื้อหนังสือวิทยาศาสตร์ แถมที่ชื้อมาก็ไม่ใช่ของม.ปลายด้วย เป็นหนังสือวิชาการสำหรับผู้ใหญ่ไปเลย (เพราะตอนนั้นราคาหนังสือเรียนค่อนข้างแพง ถ้าเทียบกับหนังสือทั่วไป)
และนั้นมันก็ได้ทำให้ผมรู้จักกับคำว่า....’ชีวะวิทยา’
จริงๆผมเองก็มีหลายเรื่องที่ผมบังเอิญค้นพบหลายอย่างอยู่เหมือนกัน แต่เอาไว้เท่านี้ก่อนดีกว่า ถ้ากระแสตอบรับดี ผมอาจจะเล่าประสบการณ์ของผมเพิ่มก็ได้
เอาละ.....กลับเข้าเรื่อง ด้วยประสบการณ์ของผมบวกกับความสงสัย มันทำให้เกิดคำถามที่จะเปลี่ยนชีวิตของผมไปตลอดกาล
นั้นก็คือ.......
“ครูครับ ทำไมเราต้องเรียนเลขยกกำลังด้วยละครับ ก็ในเมื่อจบไปผมก็ไม่ได้ใช้อยู่ดี”
หรืออย่าง......
“ครูครับ เราเรียนประวัติศาสตร์ไปเพื่ออะไรกันเหรอครับ”
“เพื่อมาเป็นบทเรียนไม่ให้เราทำผิดซ้ำยังไงละครับ”
“แต่เท่าที่ผมรู้มา ทุกคนล้วนทำผิดซ้ำซากอยู่ตลอดนี่ครับ รัฐประหารมาก็หลายครั้ง ทั้งๆที่ก็รู้ว่ามันไม่ดี”
โดยเฉพาะอันหลังนี่แหละที่ทำให้เหล่าอาจารย์ต่างพากันเมิน ผมรู้สึกได้ทันทีเลยว่าผมถูกโรงเรียนกีดกันออกมา แต่ละคำถามที่ผมสงสัยนั้น ผมไม่เคยได้รับคำตอบกลับมาอีกเลยและที่แย่ไปกว่านั้นผมกลับถูกเขียนลงไปในสมุดพกอีกว่า
“นักเรียนเป็นคนชอบเถียง ชอบพูดไร้สาระในระหว่างคาบ”
ซึ่งนั้นทำให้ผมโดนป้าที่เลี้ยงดูในช่วงนั้นต่อว่าไม่ยอมหยุด จนผมเลือกที่จะเก็บตัวเงียบ ไม่พูดไม่จากับใคร ปิดกั้นความรู้สึก จนกระทั้งปิดหัวใจในที่สุด
จากเด็กที่สดใสร่าเริง ที่มีความคิดที่ว่า ตัวเองสามารถเป็นอะไรก็ได้ตามที่ตัวเองต้องการ ถึงขั้นวิเคราะห์อนาคตกันในช่วงที่ Youtube มาใหม่ๆ ไว้ว่า มันจะต้องเป็นแพลตฟอร์มที่เป็นที่นิยมไปทั่วโลกแน่ๆ และมันจะเป็นอย่างงั้นจนกว่าจะมีบางสิ่งที่คล้ายกันแต่เพิ่มอะไรสักอย่างเพื่อให้การตัดต่อนั้นง่ายขึ้นมาแทนที่(ในบัจจุบันก็ได้มีแอพ Tiktok ที่ตอนนี้เป็นกระแสแบบสุดๆ พอๆกับ Youtube)
จากตัวผมในวันนั้นได้กลายเป็นคนที่เก็บตัวเงียบ กลัวการเข้าสังคม ระแวงผู้คน พร้อมกับก้มหน้าก้มตาเรียน โดยไม่คิดอะไรเลยจนเรียนจบป.ตรี
หลังจากจบผมก็ตั้งความหวังไว้ว่าจะหางานทำให้ได้ แต่นั้นเป็นเพียงแค่ความฝัน ด้วยความที่ผมไม่เข้าสังคม ทำให้ไม่มีเส้นสายในการสมัตรงานเลยสักนิด และแน่นอนผมตกงานจนต้องกลับมาอยู่ที่บ้านใน 1 ปีต่อมา นั้นคือประวัติของผมและสุดท้ายก็มาจบตรงที่ผมกลายเป็นโรคซึมเศร้ามานานมาก
จากทั้งหมดนี้ทำให้ผมรู้ตัวว่าผมได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดในชีวิต ผมยอมผู้ใหญ่มากเกินไป ผมยอมละทิ้งความฝันและความหวังต่างๆทั้งหมดเอาไว้ในอดีต ทั้งหมดนี้ล้วนมาจากการเรียนของผม
การเรียนที่เกิดจากการตั้งคำถามที่หาคำตอบไม่ได้ คำถามที่จนถึงทุกวันนี้ผมก็ยังไม่ได้รับคำตอบจากครูเหล่านั้น คำถามที่ได้นำพาผมมาสู่ในจุดที่ผมย่ำแย่ที่สุดในชีวิต
ทั้งหมดเป็นเพราะครู ทั้งหมดเป็นเพราะการเรียน การศึกษา การที่ครูพูดว่า........
‘มีใครสงสัยบ้างคะ?’
แล้วมีคนยกมือถามนั้นเท่ากับการบอกคนอื่นว่าตัวเองนั้นโง่
การเรียนที่ต้องมานั่งเทียนอ่านหนังสือเพื่อที่จะไปสอบในอีกไม่กี่วัน และเมื่อผ่านพ้นมาแล้วความรู้ที่พยายามยัดมาก่อนสอบนั้นก็ได้มลายหายไปพร้อมกับดินสิพองที่ถูกระบายในกระดาษคำตอบ
การเรียนที่มีเกรดเป็นตัวชี้วัดความฉลาดของนักเรียน
และในเมื่อการเรียนมีตัวแบ่งแยกความฉลาด สิ่งที่จะตามมาก็คือการแบ่งชนชั้น ถ้าผู้อ่านนึกไม่ออกงั้นผมขอยกตัวอย่างง่ายๆเลยนะครับ
เด็กเรียนสายวิทย์-คณิตเป็นเด็กฉลาด ใครที่จบสายนี้สามารถเข้าเรียนคณะไหนสาขาไหนก็ได้ที่มหาลัยมี หรือถ้าให้เรียกอีกอย่างก็คงจะเป็นเด็กห้องคิง......
เด็กที่เรียนสายศิลป์-คำนวน จะเป็นบุคคลชั้น 2 แต่จบไปคณะที่รองรับก็เกือบจะทั้งหมด ถ้าตัดหมอกับวิศวะ ก็เกือบเข้าได้หมด นี่คือเด็กห้องควีน......
ต่อมา.....เด็กศิลป์ภาษา ไม่ว่าจะภาษาอะไร สุดท้ายก็จะถูกจำกัดการเข้าเรียนในวงที่แคบกว่าเดิมอีก สมัยผมนั้นเรียกเด็กห้องนี้ว่า เด็กห้องKnight
สุดท้าย ไทย-สังคม ห้องนี้จัดว่าเป็นชนชั้นล่างสุดของห่วงโซ่การเรียน ขนาดผมที่อยู่มาถึงจุดๆนี้ผมก็ยังไม่รู้เลยว่านอกจากนิติศาสตร์แล้ว เด็กห้องนี้สามารถเข้าเรียนคณะไหนได้เลย
ทั้งหมดนี่คือจุดประสงค์ของการเรียนจริงๆเหรอ?.......ถ้าเป็นอย่างงั้นจริง ผมคงไม่เสียใจที่เกลียดมัน
ผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าบัจจุบันนั้นการเรียนมันได้เปลี่ยนไปแค่ไหน แต่ถ้ายังไม่เปลี่ยน ผมจะเป็นครูให้กับลูกของผมเอง ผมจะไม่ยอมให้ลูกต้องไปเผชิญกับสิ่งที่ผมเกลียดมันหรอก
การเรียนที่พรากความหวัง ความฝันและเป้าหมาย ผมเกลียดมันจริงๆ