Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
B E E
•
ติดตาม
23 ม.ค. 2021 เวลา 09:20 • ธุรกิจ
“ทำไม Netflix ถึงมีแต่คนโคตรเก่ง”
ถ้าให้สรุปทำไม Netflix ถึงมีแต่คนโคตรเก่ง บอกได้เลยว่า เพราะเค้าเลือกแต่คนที่เก่งและหิวกระหายที่จะเก่งตลอดเวลา
แต่ในขณะเดียวกันก็พร้อมที่จะคัดคนที่ไม่เก่งออกไปโดยไม่ลังเล แม้ว่าคนนั้นจะเคยเก่งมากเมื่อ 6 เดือนก่อนก็ตาม
ประโยคสุดคลาสสิกที่ไม่ว่าบริษัทไหนก็มักจะพูดกันแบบนี้ว่าเราอยู่กันเป็นครอบครัว เราอยู่กันเหมือนพี่น้อง แต่ในความเป็นจริงแล้วพอถามบรรดาหัวหน้าทีม HR หรือผู้บริหารทั้งหลายว่าเคย “ไล่คนออกมั้ย?” พวกเขาทุกคนล้วนยกมือตอบว่าเคยกันทั้งนั้น
ถ้าอย่างนั้นก็เจอกับคำถามที่สองที่บอกว่า “แล้วคุณเคยไล่คนในครอบครัวออกมั้ย?” ทุกคนล้วนเอามือลงไม่มีใครเคยไล่คนในครอบครัวออกจากบ้านกันเลยซักคน
บริหาร “ทีมงาน” ให้เหมือน “ทีมกีฬา” มันเป็นอย่างไร
ถ้าคุณสังเกตจะเห็นว่าทีมกีฬานั้นมีหลักการปฏิบัติเหมือนกันหมดทั่วโลกและทุกชนิดกีฬา นั่นคือการ “เก็บคนเก่งไว้ และถอดคนที่ไม่ใช่ออกไป” เพื่อให้ทีมสร้างผลงานได้ดีที่สุด เพื่อให้ทีมสามารถเอาชนะคู่แข่งได้
เช่นเดียวกันกับนักกีฬาที่เคยเก่งกาจอย่างมากเมื่อปีก่อน แต่พอวันนี้ฟอร์มตกหนัก หรือไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับการทำทีมรูปแบบใหม่ได้ นักกีฬาคนนั้นก็จะถูกโค้ชถอดออกโดยไม่ลังเล เพราะโค้ชและเพื่อนร่วมทีมทุกคนรู้ว่าถ้าฝืนเอาเพื่อนสนิทคนนี้เล่นต่อ ไม่มีหวังที่จะชนะแน่
และนี่ก็คือแนวทางของ Netflix ในการให้ความสำคัญกับความเก่งในปัจจุบัน ให้ความสำคัญกับความสามารถที่องค์กรต้องการในวันนี้ นั่นหมายความว่าถ้าพนักงานที่เคยมีความสำคัญกับองค์กรมากเมื่อ 6 เดือนก่อน แต่มาวันนี้ทักษะที่เคยเก่งเค้าไม่ได้ด้อยลงแต่อย่างไร แต่ทักษะนั้นไม่จำเป็นต่อองค์กรอีกต่อไป และไม่มีทักษะใหม่ที่องค์กรต้องการ เค้าก็ต้องพร้อมที่จะถูกแทนที่ในทันที และนี่คือหัวใจของการสร้างทีมของ Netflix ให้ยิ่งใหญ่ได้รวดเร็วอย่างวันนี้
แต่ก็ใช่ว่า Netflix จะทิ้งพนักงานที่หมดประโยชน์ต่อองค์กรโดยไม่ดูดาย เพราะสำหรับพนักงานบางคน ทาง Netflix ก็หางานใหม่กับองค์กรใหม่ผ่านเส้นสายที่รู้จัก ที่เหมาะสมกับความสามารถและความต้องการเค้าให้ ทำให้หลายคนก็จาก Netflix ไปด้วยดี และบางคนที่เคยไม่เคยมีผลงานที่ดีที่ Netflix กลับสามารถไปสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่กับที่อื่นได้อย่างน่าชื่นชม
เพราะบางครั้งคนที่ไม่เก่งที่นี่ไม่ได้หมายความว่าเค้าจะเป็นคนไร้ความสามารถในทุกที่ เค้าอาจจะแค่ไม่เหมาะกับที่นี่เท่านั้นเอง และด้วยเหตุนี้ทำให้ Netflix มีแต่คนเก่งๆแบบที่องค์กรต้องการอยู่เสมอ
ที่ Netflix มีวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ คือพนักงานทุกคนต้องกล้าพูดความจริง และความจริงที่ว่าก็คือการแสดงความคิดเห็นของตัวเองในทุกเรื่องออกมา และการกล้าแสดงความคิดเห็นที่ตรงไปตรงมาก็ทำให้ลดปัญหาการซุบซิบนินทาลับหลัง ลดปัญหาการเมืองภายในกัน เพราะทุกคนได้พูดออกมาแล้ว
และเมื่อทุกคนพูดออกมาก็เท่ากับว่าทุกคนได้แสดงเหตุและผลของตัวเองกัน จนทำให้ได้ข้อยุติในที่สุดว่าเหตุผลของใครที่ดีกว่ากัน หรือบางครั้งเหตุผลไม่สามารถยุติได้ ก็ต้องทำการทดสอบเพื่อพิสูจน์ความจริง
แต่สุดท้ายแล้ว Netflix จะบอกให้รู้ว่า อย่าให้ความสำคัญว่าเหตุผลของใครจะชนะ ขอแค่มีซักคนที่ชนะก็จะทำให้ทั้งองค์กรก้าวไปข้างหน้ามากยิ่งขึ้น เพราะเคยมีครั้งนึงที่ CEO นั้นเถียงกับพนักงานคนนึงในองค์กร ที่ต่างฝ่ายต่างเชื่อว่าตัวเองถูก จนกระทั่งได้ทำการทดสอบแล้วพบว่า CEO เป็นฝ่ายคิดผิด แต่เชื่อมั้ยครับว่า CEO ของ Netflix ไม่ได้โกรธแค้นอะไรเลย แต่กลับพูดอย่างดีใจและชื่นชมพนักงานอีกคนที่เถียงกับตัวเองแล้วพิสูจน์ว่า “โชคดีชะมัด ที่เค้าคิดถูก”
นี่คือทัศนคติการเปิดกว้างทางความคิดของ Netflix ที่น่าชื่นชมจริงๆครับ ไม่มีใครชนะใคร เพราะที่สุดแล้วคือการชนะใจลูกค้านั่นเอง
เพราะที่ Netflix นั้นให้ความสำคัญกับลูกค้ามาก มากขนาดมีการประชุม Client Scientists ที่บอกให้รู้ว่าการวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหลายไม่ว่าจะ data หรือ big data นั้นทำไปเพื่อเข้าใจลูกค้าให้มากขึ้น
เหมือนครั้งนึงที่เคยมีการถกเถียงกันว่า การลดขั้นตอนการสมัครสมาชิกเพื่อทดลองชมครั้งแรกที่ยุ่งยากอย่างการกรอกเลขบัตรเครดิตนั้น จะทำให้อัตราการสมัครสมาชิกจริงๆเพิ่มขึ้นหรือไม่
ผลคือพอลองถอดการใส่เลขบัตรเครดิตในช่วงทดลองชมครั้งแรกออกไป ผลคืออัตราการสมัครสมาชิกเพื่อเสียเงินดูต่อลดลงครึ่งหนึ่ง นั่นเลยเป็นเหตุผลว่า ทำไม Netflix ถึงบังคับให้เรากรอกเลขบัตรเครดิตก่อนแม้จะเป็นช่วงชมฟรีเดือนแรกเครับ
ที่ Netflix นั้นไม่เหมือนที่อื่น ที่อื่นอาจแค่ถ้าใครเห็นปัญหาก็จะได้รับคำชื่นชม แต่ที่นี่จะเป็นที่ชื่นชมก็ต่อเมื่อแก้ปัญหานั้นได้
ดังนั้นเวลา Netflix จะรับพนักงานซักคนไม่ใช่เพราะเค้าโคตรเก่ง แต่เพราะเค้าโคตรจะตื่นเต้นเวลาจะได้แก้ปัญหาใหม่ๆ พร้อมกับทีมที่เก่งกาจเหมือนๆกันอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่ครับ
เพราะสวัสดิการของ Netflix ไม่เหมือนกับสวัสดิการแบบบริษัท Startup อื่นๆ ที่เน้นเบียร์ฟรี บาร์ซูชิกินไม่อั้น หรือของเล่นต่างๆเท่าที่บริษัทจะสรรหามาปรนเปรอพนักงานได้
แต่สวัสดิการที่ดีที่สุดของ Netflix คือการที่คุณจะได้ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับคนโคตรเก่งในการแก้ปัญหาใหม่ๆไปด้วยกัน เป็นสวัสดิการที่ไม่เหมือนบริษัทไหนในโลก
เพราะที่ Netflix จะจ้างแต่คนที่เก่งมากๆ มากเสียจนไม่ว่าใครก็อยากจะได้ทำงานกับคนเก่งแบบนี้
เพราะผู้ก่อตั้งบริษัทคนหนึ่งบอกว่า การได้ตื่นเช้าไปทำงานกับทีมที่ใช่ เพื่อนร่วมงานที่รู้ใจ มุ่งมั่นเอาเป็นเอาตายที่จะแก้ปัญหาไปด้วยกัน นั่นก็ถือว่าเป็นแรงกระตุ้นให้อยากทำงานยิ่งกว่าสวัสดิการไหนๆอีก
และอีก HR Strategy ของที่นี่ที่ไม่เหมือนที่ไหนคือ เค้าจะไม่จ้างแค่คนที่เก่งมากในวันนี้ แต่เค้าจะมองข้ามไปถึงว่าในอีก 6 เดือนข้างหน้า คนเก่งแบบไหนที่เราอยากได้ แล้วก็จ้างคนแบบนั้นไว้รอแต่แรกเลย
ทำให้พนักงานของ Netflix ในวันนี้ มีความเก่งของครึ่งปีหน้ารอไว้อยู่แล้วเป็นอย่างน้อย เพราะเค้าบอกว่า การจะสร้างทีมต้องมองที่ความต้องการที่อยากจะเป็นในอนาคต อย่ามองจากวันนี้เป็นหลัก หลักการนี้ทุกองค์กรเอาไปใช้ตามได้ไม่ยาก
ส่วนนโยบายของการลาพักร้อนที่ Netflix ก็ไม่เหมือนใคร เพราะเค้ายกเลิกการจำกัดจำนวนวันลาพักร้อน แต่ให้อิสระพนักงานว่าจะลากี่วันแบบไหนยังไงก็ได้
เป็นองค์กรแรกที่มองพนักงานแบบเป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่เด็ก ที่ปล่อยให้แต่ละคนรับผิดชอบตัวเอง ถ้าคิดว่าต้องลาก็ลา แต่ถ้าคิดว่าไม่ต้องลาก็ไม่ต้องลา
หรือแม้แต่การเบิกเงินค่ารถค่าเดินทางอะไรก็ตาม ก็ยกเลิกข้อกำหนดในการเบิก แต่บอกให้พนักงานเบิกตามที่เห็นสมควร ให้ใช้วิจารณญาณของตัวเอง นี่ก็เป็นการปกครองแบบผู้ใหญ่กับผู้ใหญ่ที่เคารพและไว้ใจกัน
อีกข้อที่น่าสนใจของการบริหารจัดการคนใน Netflix คือการที่องค์กรนี้พยายามจะให้พนักงานรู้ข้อมูลขององค์กรมากที่สุด
ผิดกับบริษัทอื่นๆที่มักไม่ค่อยให้พนักงานรู้อะไรมาก เอะอะก็ความลับๆ ทำให้พนักงานรู้แค่ในส่วนที่ตัวเองต้องรับผิดชอบเท่านั้น
แต่ที่ Netflix นั้นต่างกันเหมือนเหรียญคนละด้าน เพราะเค้ามีความคิดว่าถ้าอยากให้องค์กรเดินหน้าไว ต้องให้พนักงานรู้ว่าเรากำลังทำอะไร และเรากำลังจะไปทางไหน
เปรียบก็เหมือนกับการให้พนักงานได้เห็นในมุมมองของผู้บริหาร ที่มองเกมฟุตบอลจากด้านบนมุมสูง ไม่ใช่แค่จากมุมมองของนักเตะ หรือมุมมองของคนดูริมสนาม แต่เป็นมุมมองแบบ top eye view หรือมองลงมาตรงๆจากบนฟ้า
เพราะถ้าพนักงานเห็นภาพรวม ก็จะเข้าใจได้ด้วยตัวเองว่าปัญหาอยู่ตรงไหน ทั้งองค์กรจะไปตรงไหน และเค้าควรจะพาตัวเองไปตรงไหนด้วย
ดังนั้นถ้าหัวหน้าคนไหนที่ไม่สามารถอธิบายให้ลูกน้องเข้าใจได้ จากเดิมที่หัวหน้ามักบอกว่าลูกน้องโง่ พูดเท่าไหร่ก็ไม่รู้เรื่อง แต่ที่นี่จะโทษหัวหน้าว่าโง่ ทำไมอธิบายให้ลูกน้องรู้เรื่องไม่ได้ การเป็นหัวหน้า นั่นหมายถึงความสามารถในการถ่ายทอดข้อมูลออกไปให้ได้มากที่สุด
เรื่อง Career Path ที่เคยเป็นเรื่องสำคัญขององค์กรและคนเป็น HR ที่มักจะต้องมีการวางแผนเส้นทางอนาคตของพนักงานไว้ให้มีการเติบโตในองค์กรต่อได้
แต่ที่ Netflix ไม่ใช่แบบนั้น เพราะเค้าแทบจะฉีกแล้วราดน้ำมันก๊าดเผาตำรา HR ทุกเล่มบนโลก เพราะที่ Netflix นั้นบอกชัดเจนว่าที่นี่ไม่มี Career Path ให้ คุณต้องสร้างมันขึ้นมาเอง ด้วยการที่คุณต้องทำให้ตัวเองเก่งอยู่ตลอดเวลา โดยมีความรู้ที่ทันสมัยอยู่เสมอ
เรื่องนี้บอกให้เรารู้ว่า คนจะเป็นพนักงานยุคใหม่ต้องพร้อมเรียนรู้ตลอดเวลา ในโลกที่ความรู้ต่างๆนั้นหมดอายุเร็วมาก หรือบางตำแหน่งงานก็หายลับไปแบบไร้ร่องรอยได้ไม่ยากในเวลาอันสั้น
ที่ Netflix ยังสนับสนุนให้พนักงานออกไปสัมภาษณ์งานเพื่อเช็คสภาพตลาด ว่าตำแหน่งและความสามารถของตัวเองยังเป็นที่ต้องการมั้ย เพราะถ้าสัมภาษณ์มาแล้วรู้ว่าไม่ ตัวเองก็จะได้รู้ว่าตัวเองต้องปรับปรุงความสามารถในทันทีถ้ายังอยากได้งานใหม่อยู่บ้าง
เพราะการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ยุคใหม่ ไม่ใช่การวัดว่าองค์กรนั้นเก็บพนักงานไว้ได้กี่คน แต่วัดจากว่าองค์กรนั้นมีคนเก่งอยู่กี่คนในตอนนี้ต่างหาก
🐝 B E E 🐝
1 บันทึก
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย