จากบันทึกก่อนหน้าที่ผมบอกว่า ‘ผมเกลียดการเรียน’ อาจทำให้ใครหลายคนตั้งคำถามขึ้นมาว่า
‘ถ้าเกลียดนักก็ไม่ต้องเรียนไปสิ’
ถ้าเป็นแบบนี้ผมจะตอบอย่างภาคภูมิเลยว่า
‘ไม่เรียนไม่ได้โว้ย พ่อแม่กูบังคับกูมา แถมรัฐบาลยังมีการเรียนภาคบังคับถึงม.3อีก และในสมัยนั้นการที่มีเด็กจบม.3แล้วไม่เรียนต่อจะถูกพวกป้าๆข้างบ้านเอาไปนินทาขี้ปากอีก แล้วจะให้พ่อแม่ผมเอาหน้าไปแทรกที่ไหน ลองคิดดูสิครับ’
ในสังคมที่วัดคนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะนั้นมีสิ่งเดียวที่สามารถวัดเป็นรูปธรรมได้นั้นมีไม่กี่อย่าง และ 1 ในนั้นก็คือ ระดับการศึกษานี่แหละ
ถึงแม้ต่อให้บรรลุนิติภาวะสิ่งที่จะเอามาวัดหลักๆผมก็คิดได้ไม่ยากเลย นั้นก็คือ ‘เงินเดือน’ ผมละอยากรู้จริงๆ ว่าแต่ละคนต้องถูกเลี้ยงดูมายังไงให้กลายเป็นคนชอบการแบ่งชนชั้นกันขนาดนี้
เอาเป็นว่าผมได้ตอบคำถามแรกไปหมดแล้วนะครับ ส่วนคำถามต่อมาที่ผมคิดว่าน่าจะโดนก็คงจะเป็น.......
‘ถ้าการศึกษามันไม่ดีแล้วทำไมคิดระบบขึ้นมาเองชะเลยละ’
…….
………..
…………….
เป็นคำถามที่น่าสนใจ งั้นผมจะบอกในที่นี่เลยนะครับ ถ้าผมเป็นรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาผมจะทำอะไรบ้าง
1.ลดจำนวนครู แต่เพิ่มคุณภาพ
หมดปัญหาเงินเดือนครูไม่พอไปได้เลย สิ่งที่ผมจะทำเป็นอันดับแรกก็คือการสอบคัดเลือกครู ด้วยข้อสอบเฉพาะทางอย่าง ข้อสอบวัดความเป็นครู ข้อสอบวัด IQและEQ และจบด้วยการจำลองการสอน โดยคะแนนขั้นต่ำต้องไม่ต่ำกว่า 80 %
80% นี่คือยอมลดให้แล้วนะครับ ตอนแรกผมคิดจะให้เป็น 90% ชะด้วยซ้ำ และข้อสอบทั้งหมดจะแยกตามระดับชั้นปีที่สอนอย่างชัดเจนเช่น ถ้าครูอยากสอนเด็กประถมต้น ก็จะต้องสอบคัดเลือกสำหรับเด็กประถมต้น อะไรแบบนี้
การทำแบบนี้มันอาจจะทำให้ภาระไปหนักตรงคนออกข้อสอบกับคนตรวจ แต่คนกลุ่มนี้แก้ปัญหาได้ง่ายๆด้วยการเอานักวิชาการเฉพาะทางมาออกข้อสอบก็ได้ ส่วนข้อสอบการจำลองการสอนก็จ้างคุณแม่อาสามาเป็นตัวทดลองเอาก็ได้ ยังไงชะตอนนี้คุณแม่ยุดนี้น่าจะให้ความสำคัญกับลูกละเอียดกว่ายุดก่อนมาก ผมคิดนั้นนะ เพราะในยุดก่อนการหาความรู้นั้นหาได้แค่ในหนังสือหรือผู้ที่มีความรู้สอน ทำให้เหล่าพ่อแม่มักจะไม่คาดหวังเรื่องรายละเอียดหรือวิธีการสอนของครู ขอแค่มีที่เรียนเพื่อให้ตัวเองมีเวลาออกไปทำมาหากินก็ดีใจแล้ว กลับกันในยุดนี้ ยุดที่ความรู้นั้นหาง่ายยิ่งกว่าข้าว 3 มื้อ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือถ้าพ่อแม่ไม่ดูแลลูกให้ดี ลูกอาจจะถูกปลูกฝังความคิดแปลกๆได้ง่ายๆเลย เพราะขนาดผมแค่เล่นอินเทอร์เน็ตไปเรื่อยๆ ยังเจอกลุ่มคนบูชาซาตานด้วยการฆ่าตัวตายเลย เพราะงั้นพ่อแม่ในยุดนี้จะต้องใช้ความละเอียดที่สูงในการเลี้ยงดูลูกให้มากๆ
2.ลดจำนวนโรงเรียน เพิ่มศูนย์การเรียนรู้ท่องถิ่น
อันนี้เป็นผลจากข้อแรกที่ทำให้ครูนั้นมีจำนวนที่น้อยลงเป็นอย่างมาก จึงไม่แปลกที่ผมจะต้องลดโรงเรียนลง แต่ผมก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้เด็กไปแออัดอยู่ในโรงเรียนหรอกนะ ถ้าเป็นพวกสถานที่ห่างไกลความเจริญที่ไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง อย่างชาวเขา ชาวประมง ชาวไร่ ชาวสวน หรือแม้กระทั้งชาวนา สิ่งที่เหมาะสมที่จะจัดตั้งนั้นจะไม่ใช่โรงเรียนแต่เป็นศูนย์การเรียนรู้ท้องถิ่น โดยศูนย์การเรียนรู้นี้จะมีหลักสูตรการสอนขั้นพื้นฐานและการสอนวิถีชีวิตของผู้คนในท้องถิ่นนั้นๆ สำหรับคนที่ไม่ชอบการเรียน สามารถเรียนด้วยตัวเองจนจบหลักสูตรจากนั้นก็สืบทอดกิจการทางบ้านไปได้เลย จะได้ไม่เสียเวลา แถมไม่เสียเงินเยอะด้วย
3.ปรับจุดประสงค์ของหลักสูตรทั้งหมด
ที่ผมต้องบอกว่าจุดประสงค์ของหลักสูตรก็เพราะผมต้องการเป้าหมายของการสอนที่ชัดเจน เพื่อที่จะกำหนดหลักสูตรได้ง่าย และแน่นอนผมจะไม่ใส่คำว่า ‘เรียนเก่ง’ ลงไปในหลักสูตรแน่นอน
ชั้นประถม—เน้นหลักความคิดพื้นฐาน การเอาตัวรอดในสังคมได้
ชั้นมัธยมต้น—เน้นสร้างแรงดันดาลใจ สร้างเป้าหมายและความฝันให้กับเด็ก เพื่อที่จะคัดแยกเด็กออกเป็น 2 กลุ่มคือ
1.กลุ่มเด็กที่ผ่านหลักเกณฑ์การสร้างเป้าหมายและความฝัน กลุ่มนี้จะถูกส่งให้ไปเรียนที่สายอาชีพต่อ เพื่อเตรียมตัวกับการแรงงานให้กับประเทศในอนาคต
2.กลุ่มที่ไม่ผ่านเกณฑ์ หรือกลุ่มที่ต้องการสายอาชีพเฉพาะทาง กลุ่มนี้จะถูกส่งไปยังชั้นมัธยมปลายต่อไป
ชั้นมัธยมปลาย—ต่อยอดกลุ่มที่ต้องการเรียนสายอาชีพเฉพาะทาง และเร่งสนับสนุนสำหรับกลุ่มที่ไม่ผ่านเกณ์ให้ผ่านจุดประสงค์ที่ไม่ผ่านให้ได้
มหาวิทยาลัย—จะมีต้องมีเด็กสายการเรียนเฉพาะทางเท่านั้น โดยจะมาจากสายที่ชัดเจน ไม่มีสายที่คลุมเครืออย่างวิทย์คณิตที่สามารถลงสมัครเรียนอะไรก็ได้ ของแบบนั้นจะไม่มีอีกต่อไป
ทั้งหมดนี่คือสิ่งที่ผมคิดคราวๆเอาไว้ ถ้าใครชอบคุณผู้อ่านสามารถแชร์ไปให้ถึงกระทรวงการศึกษาได้เลยนะครับ
หรือถ้าใครมีความเห็นหรืออยากเพิ่มเติ่มอะไรวสามารถคุยที่คอมเม้นได้เลยครับ