24 ม.ค. 2021 เวลา 15:21 • ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์และสังคมวิทยาประวัติศาสตร์
จากบทความ "Theorist and Historians" ของ Peter Burke
จากการอ่านเอกสารหลักคือ Theorists and Historians  ของ Peter Burke[1] พบว่าประเด็นสำคัญของเอกสารนี้คือ ข้อถกเถียงระหว่างสาขาวิชาประวัติศาสตร์กับสังคมวิทยา ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อข้อถกเถียงในสาขาวิชาประวัติศาสตร์เอง  กล่าวคือ ข้อถกเถียงระหว่างประวัติศาสตร์และสังคมวิทยานั้นคือ ทั้งสองสาขานั้นปฎิเสธทฤษฎีความรู้ (Epistemology) ของอีกฝ่ายหนึ่ง  แม้ว่าทั้งสองจะศึกษาเรื่องราวของสังคมมนุษย์ในวงกว้างเช่นเดียวกัน ทว่าประวัติศาสตร์จะสนใจเหตุการณ์ในอดีตและศึกษาในรูปแบบที่เฉพาะเจาะจงในแต่ละเหตุการณ์  ส่วนสังคมวิทยาจะพยายาม generalization สิ่งที่ศึกษาตามทฤษฎี[2]  ดังนั้น ข้อถกเถียงสำคัญในสาขาประวัติศาสตร์ก็คือ การใช้ทฤษฎีในงานทางประวัติศาสตร์
ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากเกิดการแบ่งการศึกษาออกเป็น "สาขาวิชา"  อันเนื่องมาจากบริบททางประวัติศาสตร์ตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา  "วิทยาศาสตร์" ได้กลายมาเป็นคำตอบของทุกสิ่ง  ทำให้ในเวลานั้นสาขาวิชาต่างๆ ก็พยายามที่จะพิสูจน์ให้เห็นความเป็น "ศาสตร์" ของตนตามแนวทางแบบวิทยาศาสตร์  โดยสังคมวิทยาในสมัยก่อตั้งนักคิดคนสำคัญ เช่น Comte, Spencer[3] เป็นต้น  พยายามจะทำให้สังคมวิทยาเป็น "scientific" และ "professional" โดยใช้ความพยายามในการ generalize สิ่งที่ศึกษาให้กลายเป็นทฤษฎี  ในแง่นี้คล้ายคลึงกับวิทยาศาสตร์ที่พยายามจะหา Universal Law  ส่วนประวัติศาสตร์ก็ถูกครอบงำด้วยสกุล Ranke ที่ก็มีความพยายามจะทำให้ประวัติศาสตร์ใกล้เคียงกับวิทยาศาสตร์  โดยใช้ "วิธีการทางประวัติศาสตร์" เข้ามาช่วยในแง่นี้นับว่าประวัติศาสตร์ให้ความสำคัญกับ method และความเป็นภาววิสัย (objectivity)  ซึ่งก็อยู่บนพื้นฐานของหลักฐานทางราชการ ทำให้งานทางประวัติศาสตร์เป็นประวัติศาสตร์ทางการเมืองที่เคร่งครัด  อย่างไรก็ตาม แนวทางการศึกษาของทั้งสองสาขานอกจากจะถูกท้าทายจากจากฝ่ายตรงข้ามแล้ว  ในภายหลังก็ถูกท้าทายจากสาขาเดียวกันอีกด้วย
ทั้งสองฝ่ายต่างปฏิเสธอิทธิพลที่ต่างฝ่ายก็มีต่อกันและกัน ทว่าเราก็ยังสามารถเห็นได้ว่าในช่วงต้นงานทางสังคมวิทยาก็ยังคงมีการศึกษาทางประวัติศาสตร์เกี่ยวข้องอยู่มาก  โดยเป็นการพยายามจะผนวกทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ คือ ทฤษฎีวิวัฒนาการ (evolution theory) เข้ามา  เมื่อนำมาปรับใช้กับสังคมวิทยาก็ได้กลายเป็นทฤษฎีวิวัฒนาการทางสังคม ซึ่งจะถูกนักสังคมวิทยารุ่นหลังวิจารณ์อย่างมาก  สำหรับทางประวัติศาสตร์เองที่ปฎิเสธ "ทฤษฎี" ทว่าก็พบการใช้ทฤษฎีในทางประวัติศาสตร์โดยเฉพาะสาย Marxism ซึ่งงานของพวก Marxism ก็ไม่ได้รับความสนใจในช่วงเวลาที่ออกมาใหม่ๆ  นั่นสะท้อนให้เห็นว่างานที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามีอิทธิพลของสาขาตรงข้ามเข้ามานั้นจะไม่ได้รับการยอมรับเสมือนเป็นการปฏิเสธแนวทางการศึกษาของกันและกัน
เมื่อถึงศตวรรษที่ 20 จะพบว่านักวิชาการสายสังคมวิทยารุ่นหลังได้วิพากษ์วิจารณ์นักสังคมวิทยารุ่นแรกอย่าง Comte, Spencer, Weber เป็นต้น ว่าการศึกษาแบบใช้ทฤษฎีวิวัฒนาการทางสังคมมาอธิบายนั้นเป็นแนวทางที่ speculate เกินไป  ดังนั้น จึงได้มีการเสนอแนวทางการศึกษาใหม่ที่ได้รับอิทธิพลจาก Chicago school โดยเน้นที่ experimental method, fieldwork และ survey research[4] ซึ่งพวกเขาคิดว่าเป็นแนวทางที่ empirical และมีความเป็นวิทยาศาสตร์มากกว่าเดิม ในแง่นี้จะเห็นได้ว่าสังคมวิทยาพยายามเข้าใกล้ความเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้นไปอีก  ในขณะที่ประวัติศาสตร์เริ่มเกิดการตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์ประวัติศาสตร์สกุล Ranke และเริ่มหันไปสนใจศึกษาประวัติศาสตร์สังคม (social history) อีกครั้ง  นั่นแสดงให้เห็นว่าในขณะที่สังคมวิทยาพยายามจะเป็นวิทยาศาสตร์เสมือนมากขึ้นและปฏิเสธประวัติศาสตร์หันไปศึกษาเรื่องเหตุการณ์ร่วมสมัยมากขึ้น  กลับกันประวัติศาสตร์เริ่มยอมรับการอิทธิพลของทฤษฎีทางสังคมวิทยามากขึ้น
เมื่อประวัติศาสตร์หันกลับมาให้ความสนใจเรื่องสังคมมากกว่าการเมือง  กลับเป็นเหตุให้เกิดการถกเถียงในวงวิชาการประวัติศาสตร์เองถึงแนวทางการศึกษาประวัติศาสตร์สังคม  ซึ่งไม่ได้มีหลักฐานซึ่งเป็นเอกสารทางราชการอย่างประวัติศาสตร์การเมือง  แนวทางการศึกษาประวัติศาสตร์ใหม่นี้อยู่ภายใต้อิทธิพลของ Annales school โดยสำนึกนี้จะเน้นการวิเคราะห์โครงสร้าง (structures) เป็นหลัก  จะเห็นได้ว่าการศึกษาประวัติศาสตร์สังคมนั้นยอมเริ่มยอมรับแนวทางการศึกษาของสังคมวิทยาที่ให้ความสำคัญกับทฤษฎี  อีกหนึ่งข้อสังเกตที่เห็นได้ชัดของแนวโน้มดังกล่าวก็คือ นักประวัติศาสตร์เริ่มหันมาสนใจงานประวัติศาสตร์ของพวก Marxism จากที่เคยละเลย
จากที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดผู้เขียนเห็นว่ามีปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประวัติศาสตร์และสังคมวิทยา  เมื่อแบ่งแยกเส้นเขตแดนทางวิชาการออกจากกันแล้ว  ไม่สามารถจะทำงานร่วมกันได้  ส่วนแรกเป็นปัจจัยจากอิทธิพลของ "วิทยาศาสตร์" ตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น  ทั้งประวัติศาสตร์และสังคมวิทยาต่างก็พยายามที่จะสร้างความมั่นคงและความเป็นวิชาการให้กับสาขาวิชาตนเอง  ต่างก็พยายามพัฒนาแนวทางการศึกษาของตนให้สอดคล้องกับแนวทางวิทยาศาสตร์  ในขณะเดียวกันก็ต้องคอยระวังไม่แสดงให้เห็นว่าตนเองได้ใช้แนวทางการศึกษาของสาขาวิชาอื่น  เพื่อรักษาสถานะทางวิชาการของตนเองเอาไว้  ทำให้ทั้งสองสาขาไม่อาจยอมรับอิทธิพลที่มีต่อกัน  อีกทั้งนักวิชาการในรุ่นหลังยังปฏิเสธงานที่แสดงถึงอิทธิพลของฝ่ายตรงข้าม  ดังนั้น จะเห็นได้ว่าเมื่อวาทกรรมความเป็น "วิทยาศาสตร์" ซึ่งได้รับผลกระทบจากบริบททางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้น  ทำให้หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา  ทางสาขาวิชาประวัติศาสตร์เริ่มยอมรับทฤษฎีทางสังคมวิทยามากขึ้น
จะเห็นได้ว่าการศึกษาทั้งประวัติศาสตร์และสังคมวิทยานั้น  เอาเข้าจริงแล้วก็ไม่สามารถแยกออกจากกันได้อย่างชัดเจน  ในทางประวัติศาสตร์เองก็ต้องพึ่งพาอาศัยทฤษฎีทางสังคมวิทยาในการอธิบายโดยเฉพาะประวัติศาสตร์สังคม  อย่างไรก็ตาม  นักประวัติศาสตร์ก็ยังคงอ้างว่าเป็นเพียงการหยิบยืมทฤษฎีมาใช้โดยเฉพาะในการศึกษาประวัติศาสตร์สังคม  แต่จะไม่สร้างทฤษฎีอย่างนักสังคมวิทยา  และหากว่าสังคมวิทยาต้องการจะศึกษาเหตุการณ์ในอดีตก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการศึกษาประวัติศาสตร์ได้เช่นกัน  ซึ่งในแง่นี้หากทั้งสองสาขาสามารถทำงานประสานกันได้  นักสังคมวิทยาเองก็คงไม่ต้องไปนั่งศึกษาเอกสารหรือหลักฐานชั้นต้น  สามารถใช้ประโยชน์จากงานทางประวัติศาสตร์ได้  หากเป็นเช่นนั้นแล้วจะทำให้เกิดปัญหาเรื่องเส้นแบ่งของทั้งสองสาขาวิชาหรือไม่ ส่วนตัวผู้เขียนเชื่อว่าทั้งสองสาขาไม่อาจแยกจากกันอย่างเด็ดขาดได้
[1] Peter Burke, "Theorist and Historians," In History and Social Theory, by Peter Burke, 1-21 (Ithaca: Cornell University Press, 1993).
[2] Ibid, 2.
[3] Ibid, 7.
[4] Ibid, 11-13.
โฆษณา