24 ม.ค. 2021 เวลา 15:26 • ประวัติศาสตร์
สรุป บทความ Taking Superstitions Seriouslyของ Torunn Selberg จาก University of Bergen
ประเด็นหลักของบทความนี้มุ่งถกเถียงแนวคิดเรื่อง Superstition and tradition ที่ถูกใช้เป็นวาทกรรมเกี่ยวกับ "ศาสนาใหม่" ( new religion)
Selberg มองว่าเรื่อง "ศาสนา" สามารถศึกษาในมิติทางสังคมที่มีการต่อสู้กันระหว่างกลุ่มคนที่มีความเชื่อหลากหลายกับสถาบันทางศาสนา ในการช่วงชิงสิทธิและอำนาจในการนิยาม "ศาสนาที่แท้จริง" ท่ามกลางความหลากหลายทางความเชื่อที่มักถูกสถาบันทางศาสนาที่ครองอำนาจอยู่ในแต่ละช่วงเวลาติดป้ายติดตราว่าเป็นความเชื่อในระดับต่ำ เป็น "ความเชื่องมงาย" (superstitions) (การจัดลำดับชั้นทางศาสนาในเชิงสูง-ต่ำ พบมากในหลายสาขาวิชาที่มีการศึกษาศาสนา)
Selberg เชื่อว่า ความเชื่อต่างๆ ในสังคมมีความหลากหลาย เป็น pop culture ซึ่งมักจะไม่ถูกจัดว่าเป็น "ของแท้" (แม้กระทั่งไม่ถูกจัดเป็น "ศาสนา"-ผู้สรุป) และผู้นับถือความเชื่อเหล่านี้ก็พยายามตอบโต้วาทกรรมที่บรรดาสถาบันทางศาสนาต่างๆ โจมตีพวกเขา
การศึกษาของ Selberg โดยใช้ข้อมูลจากสื่อสิ่งพิมพ์ที่ตีพิมพ์คำสัมภาษณ์บุคคลที่มีความเชื่อแตกต่างกัน คือ หญิงชาวนอร์เวย์ที่เชื่อและยังชีพด้วยการดูดวง นักบวชในศาสนาคริสต์ และหญิงที่อ้างว่าตนเป็นร่างทรง
จากข้อมูลที่ Selberg นำเสนอทำให้เธอได้พบข้อเท็จจริงหลายประการ ได้แก่ รากเหง้าของความเชื่อที่ถูกติดป้ายว่า "งมงาย" นั้น แท้จริงเกิดจากการขัดกันของความเชื่ออันหลากหลายกับวัฒนธรรมความเชื่อของชนชั้นสูง อย่างไรก็ตาม "ความเชื่องมงาย" ไม่ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามที่อันตราย หากไม่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อแบ่งแยก "เรา" กับ "เขา" เพราะจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาตำนานวีรบุรุษมักถูกนำมาปลุกระดมมาทางการเมือง
ความหลากหลายทางความเชื่อในปัจจุบันถูกขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยีสื่อสารมวลชนที่ก้าวหน้า ประกอบกับอุดมการณ์ทางการเมืองแบบเสรีนิยมที่ครอบคลุมประเด็นเสรีภาพการเลือกนับถือศาสนา ขณะเดียวกันก็มีความเชื่อเกิดขึ้นใหม่หรือฟื้นฟูความเชื่อเดิมขึ้นมาใหม่ ซึ่งมักได้รับการอธิบายในเชิงวิชาการว่า สามารถตอบสนองความต้องการของผู้คนในปัจจุบันที่ต้องเผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจ ทว่า
Solberg มองว่าความเชื่อในปัจจุบันมี function มากกว่าที่กล่าวมาข้างต้น และส่วนใหญ่ไม่ใช่ความเชื่อหรือศาสนาที่เกิดขึ้นใหม่ แต่เป็นการปรับตัวมาอย่างต่อเนื่องของความเชื่อที่อาจจะเก่าแก่กว่าศาสนาที่ถูกสถาปนาให้กลายเป็นสถาบันด้วยซ้ำไป
แนวคิดดังกล่าวของ Solberg สอดคล้องกับบรรดาผู้ที่มีความเชื่อในเรื่องที่ถูกตราหน้าว่า "งมงาย" เช่น ร่างทรง คนเหล่านี้เชื่อว่าตนได้สืบทอดความเชื่อของบรรพบุรุษมาแต่โบราณ (shaman) และพยายามใช้ความเก่าแก่นี้เป็นวาทกรรมต่อสู่กับศาสนาหลักของโลก เพื่อพยายามหักล้างกับวาทกรรมที่ถูกโจมตีว่างมงาย ในแง่นี้ทำให้ Soberg ได้ข้อสรุปว่า ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาและความเชื่อในปัจจุบัน เต็มไปด้วยความพยายามในการช่วงชิงสิทธิและอำนาจในการตีความและกำหนดความ "จริงแท้" ของความเชื่อและศาสนา ทั้งจากฝ่ายที่ถูกกล่าวหาว่างมงายและฝ่ายบรรดาศาสนาหลักของโลก
โฆษณา