25 ม.ค. 2021 เวลา 16:29 • ประวัติศาสตร์
Varieties of the Annales school: History of Mentalities
History and Psychology
การศึกษาจิตวิทยา (Psychology) ต้องใช้ทั้งวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์  ทำให้ไม่อาจหลีกเลี่ยงปัญหาเรื่องการนิยามสาขาวิชา  Baldwin นิยามว่า จิตวิทยาเป็นเรื่องของปัจเจก  ส่วนสังคมวิทยาเป็นเรื่องของกลุ่ม  และประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นทั้งสองอย่าง  เท่ากับว่าประวัติศาสตร์ต้องใช้ทั้งจิตวิทยาและสังคมวิทยาเพื่ออธิบายความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกกับกลุ่มในบริบททางประวัติศาสตร์อย่างไรก็ตาม นิยามของ Baldwin ถูกวิจารณ์ว่าง่ายเกินไป
สิ่งที่นักประวัติศาสตร์ต้องศึกษาจริงคือ 1) ความเคลื่อนไหวที่สับสนของมวลชน  2) ต้องออกห่างจากการชักนำของ historical figures  เนื่องจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่หลงเหลือมานั้นบังคับให้ต้องศึกษาเรื่องราวของชนชั้นสูง  โดยมองความสัมพันธ์ระหว่างจิตวิทยากับประวัติศาสตร์  เพราะงานของนักจิตวิทยาช่วยทำให้เข้าใจการการะทำของผู้นำในอดีตมากขึ้น  ซึ่งเป็นแนวทางการศึกษาที่ต่อต้านแนวทางการศึกษาเดิม
มนุษย์มีหลากหลายแง่มุม  สังคมมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน  ดังนั้น นักประวัติศาสตร์จึงยากที่จะสร้างประวัติศาสตร์ให้ครอบคลุมได้  จะสร้างได้ก็เพียง "great chain of events"   งานประวัติศาสตร์ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของปัจเจกชนและ egoism เท่านั้น  แต่เป็น civilizing work  เพราะงานประวัติศาสตร์อยู่เหนือบริบทของท้องถิ่นและชาติ  อย่างไรก็ตาม  งานประวัติศาสตร์ก็ถูกเขียนขึ้นโดย historical figures ที่ยังคงมีความต้องการพื้นฐานที่จำเป็น
มนุษย์จะแสดงความคิดออกมา ทว่าเมื่อออกไปแล้วก็จะถูกกระทบจากสิ่งแวดล้อมภายนอกรอบๆ ตัว ทำให้เกิดการเปลี่ยนรูป  ก่อนจะย้อนกลับมาถึงมนุษย์เจ้าของแนวคิดอีกครั้งหนึ่ง  ซึ่งการเปลี่ยนรูปอาจทำให้เกิดความเข้าใจที่ผิดไปใน final form  ดังนั้น เราจึงไม่สามารถมอง historical figures อย่างเป็นอิสระจากสิ่งกระตุ้นบางอย่างได้  ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะถูกส่งผ่านมาทางภาษาและเครื่องมือต่างๆ
ภาษาที่สร้างขึ้นโดยมนุษย์จะมีความแตกต่างกันออกไปทั้งในเชิงพื้นที่และเวลา  อีกทั้งมนุษย์ก็จะได้รับผลกระทบจากเวลาและสิ่งแวดล้อมที่เขาดำรงอยู่ซึ่งก็จะสะท้อนออกมาผ่านภาษาที่เขาใช้  เท่ากับว่าสิ่งแวดล้อมทางสังคมที่มีผลต่อตัวผู้สร้างประวัติศาสตร์ก็จะส่งผลกระทบต่องานประวัติศาสตร์ของเขาด้วย
ปัญหาสำหรับ historical figures คือ จะใช้จิตวิทยาในงานประวัติศาสตร์อย่างไร  เมื่อจิตวิทยาเป็นผลมาจาก observation ในศตวรรษที่ 20  Blondel เสนอว่าการแยกกลุ่มของมนุษย์โดยเวลาและพื้นที่  บทบาทของมนุษย์จะถูกอธิบายโดย mental system ของแต่ละกลุ่มแล้วค่อยวิเคราะห์  น่าจะมีความเป็นไปได้  เนื่องจากแต่ละช่วงเวลาในทางประวัติศาสตร์มีบริบทที่แตกต่างกัน  ดังนั้น เราไม่สามารถที่จะศึกษาจิตวิทยาของยุคกลางด้วยมุมมองเช่นเดียวกับศตวรรษที่ 20
สำหรับนักประวัติศาสตร์นั้นละเลยจิตวิทยา  เนื่องจากสาขาวิชานี้เป็น anachronism  หรือไม่ก็จะทำเหมือนว่าประเด็นทางจิตวิทยาเป็นเงื่อนไนที่เป็นสากล (general condition)  ทว่าในความเป็นจริงแล้วสปิริตของปัจเจกจะมีการเปลี่ยนรูปไปตามเบ้าหลอมคือ อารยธรรมที่มนุษย์ได้สร้างมันขึ้นมา  นอกจากนี้ ประวัติศาสตร์ยังต้องการสาขาวิชาอื่นเข้ามาช่วยในการศึกษาไม่ว่าจะเป็น Archaeology, Ethnology, Philology  ที่สำคัญคือ history of language กับ iconography
Sensibility and history: how to reconstitute the emotional life of the past
เราจะสามารถศึกษาจิตวิทยาได้จริงโดยการจัดการกับแต่ละกรณีของปัจเจก  โดยมีกรณีตัวอย่างที่ศึกษา psychohistory จากจดหมาย  แต่ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจกับนิยามของคำว่า sensible ซึ่งใช้กันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 มีหลายความหมาย  ซึ่งมีความแตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลาด้วย  โดยในศตวรรษที่ 18 จะใช้ในความหมาย อารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ (human feeling)  สำหรับในปัจจุบันมีความหมายว่า ชีวิตทางอารมณ์ของมนุษย์ (emotional life of man)
อารมณ์ (emotion) ไม่ได้เป็นเพียงการตอบสนองอย่างอัตโนมัติของอวัยวะต่อสิ่งเร้าจากภายนอกที่มากระทบ  กลับกัน emotion มีกระบวนการคิดไม่ได้เป็นการตอบสนองโดยอัตโนมัติ  นอกจากนี้ emotion ยังเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดขึ้นร่วมกันได้ภายในกลุ่มและทำให้มีการตอบสนองในรูปแบบเดียวกัน  ส่วนสิ่งเร้าที่มากระตุ้นนั้นก็มีหลากหลายรูปแบบแตกต่างกันไปตามสถานการณ์และจะมีการตอบสนองที่หลากหลายด้วยในแต่ละบุคคล (a system of inter-individual stimuli)  emotion กลายเป็นสถาบันอย่างหนึ่งที่มีการควบคุม  คล้ายคลึงกับพิธีกรรม
กิจกรรมทางภูมิปัญญาบ่งบอกถึงชีวิตทางสังคมอย่างเป็นนัยๆ  เครื่องมือ เช่น ภาษา ทำให้สามารถเห็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกัน  ทันทีที่ emotion ปรากฏมันจะดัดแปลงกิจกรรมทางภูมิปัญญา  จึงจำเป็นต้องกดทับ emotion เอาไว้  หนทางหนึ่งที่ดีคือ การบรรยายแรงกระตุ้นของ มันในแนวทางที่แน่นอน  โดยการสร้างภาพมันขึ้นมาผ่าน บทกลอนหรือนิยาย  เพื่อให้เหมือนเป็นยาชาและกดทับ emotion เอาไว้  เพราะว่ามันถูกมองว่าเป็นสิ่งไม่ดีและไม่ควรแสดงออก  นั่นเกิดจากการที่การจัดการทางภูมิปัญญามีความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางสังคม  ซึ่งมีความสัมพันธ์กับมนุษย์มากขึ้นผ่านสถาบันและเทคนิคต่างๆ ทำให้เกิดความรู้สึกว่า emotion เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ
กรณีศึกษาการลงโทษในยุคกลางที่แตกต่างจากสมัยใหม่  ในยุคกลางการลงโทษจะวางอยู่บนหลักความเชื่อศาสนา  มีตัวเลือกแค่เพียง death หรือ grace  แตกต่างจากศตวรรษที่ 19  ที่มีความระมัดระวังในการลงโทษอย่างมากและมีการสร้างระบบที่ได้มาตรฐาน  กรณีตัวอย่างของฝรั่งเศสที่ยอมรับการตัดสินของกษัตริย์นั่นก็เพราะเชื่อมั่นในคุณความดีของกษัตริย์จึงไม่มีการตั้งคำถามกับการตัดสิน  ทว่าในสมัยใหม่ซึ่งมีระบบการศาลที่มักจะเน้น grace มากกว่า death นั่นเพราะว่ามีความไม่มั่นใจในการตัดสินอยู่มาก  อย่างไรก็ตาม  การติดสินของกษัตริย์ก็ใช่ว่าจะเป็นเป็นการตัดสินไปตามความถูกต้องอย่างแท้จริง  เพราะเชื่อว่าโดยธรรมชาติแล้วมนุษย์มีลักษณะสองจิตสองใจหรือมีความขัดแย้งในใจตัวเอง  สะท้อนผ่านงานวรรณกรรมที่เรามักพบบ่อยๆ ว่ามีการเปลี่ยนคำตัดสินในขณะกำลังจะประหารนักโทษ  ทำให้สังคมยุคกลางถูกมองว่าเป็นเพียง emotional life of men  ในแง่นี้นักประวัติศาสตร์จึงได้ใช้ ambivalence of human feeling ในการกำหนดช่วงเวลา
Psychology, Psychoanalysis and Historical Thought
ทศวรรษ 1970  นักประวัติศาสตร์เริ่มหันเหจากการศึกษาสังคมศาสตร์ไปหามนุษย์ศาสตร์มากขึ้น  ทว่าจิตวิทยาก็ยังคงไม่ได้รับความสนใจมากนัก  นักประวัติศาสตร์ไม่สนใจปัญหาทางจิตวิทยากล่าวคือ ไม่สนใจศึกษาการเปลี่ยนรูปในบุคคลแต่  ทว่าประวัติศาสตร์หลายที่มักศึกษาก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับอัตลักษณ์ของบุคคลและประสบการณ์ของบุคคล  ทว่านักประวัติศาสตร์ก็เลือกที่จะละเลยคำถามพื้นฐานที่เกี่ยวข้อกับ human motivation
Freud พยายามสร้าง psychohistory เขาบอกว่าเพื่อทำความเข้าใจปัญหาทั้ง general history และ individual figure history  ซึ่งกรณีของ Hitler ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็กระตุ้นให้นักประวัติศาสตร์เกิดความสนใจจิตวิทยามากขึ้น  โดยมีการประชุมกันและมีการออก Journal of Psychohistory แต่ก็ยังคงถูกวิจารณ์อย่างมาก  เนื่องจากจิตวิทยามีความเป็น objective และ scientific สูง  อย่างไรก็ตาม DeMause ก็พยายามจะแก้ต่างให้ว่า การรวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับแรงกระตุ้นทางประวัติศาสตร์ที่ทำให้เกิดสงครามโลกขึ้น  และใช้ self-analysis เพื่อหาความหมายจากหลักฐาน  โดยในแง่นี้ถือเป็นมุมมองที่เป็นอัตวิสัย  ทว่าที่มีปัญหามากที่สุดคือ หลักฐานที่จะใช้ศึกษา  มักโดนวิจารณ์ว่าเป็นการตีความจากหลักฐานที่มีข้อจำกัดและไม่เพียงพอ  เป็นเหมือนการคาดเดาที่ไม่มีอะไรรองรับ (unsupported speculations)
ตั้งแต่ทศวรรษ 1970-1990  psychohistory ประสบปัญหาการถูกวิจารณ์อย่างมาก  โดยเฉพาะการถูกล่าวหาว่าเป็นวิทยาศาสตร์ปลอม  ทว่าก็มีการตอบโต้ผ่าน Journal ของพวกเขา  ซึ่งก็ยิ่งเป็นเป้าโจมจีมากขึ้นไปอีกเพราะบทความที่ได้รับการตีพิมพ์มีความบกพร่องมาก  ฝ่ายถูกโจมตีก็มีผู้ออกโรงมาแก้ต่างคือ Schmidt ที่ตอบโต้ว่าเป็นเพราะบรรดาผู้วิจารณ์เกรงกลัวว่า psychohistory  จะเปิดเผยประวัติศาสตร์ที่น่าสยดสยองของมนุษย์
Gay ซึ่งได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับวัฒนธรรมและธรรมชาติ  เขาพยายามเชื่อมโยงปัจเจกที่ต่อต้านวัฒนธรรมเข้ากับการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์  ทว่าเขาก็ไม่สามารถตอบคำถามในประเด็นที่ว่านักประวัติศาสตร์จะศึกษาการเปลี่ยนแปลงของชีวิตโดยใช้แนวทางที่ไม่จำกัดช่วงเวลาได้อย่างไร (timeless)
การที่ประวัติศาสตร์ไม่เชื่อถือจิตวิทยาก็เพราะจิตวิทยามุ่งสนใจชีววิทยา  พฤติกรรมมนุษย์  ละเลยสังคมและวัฒนธรรม  นอกจากนี้ การที่จิตวิทยาเข้าไปใกล้ชิดกับ medical และ clinical  รวมถึงการเป็น psychiatry มากขึ้นก็ยิ่งทำให้ออกห่างจากประวัติศาสตร์มากตามไปด้วย  เพราะเป็นการไปเน้นระบบประสาทซึ่งเป็นสิ่งที่ objective อย่างมาก  Prager ถึงกับกล่าวว่านั่นเป็น "the death of the mind"  ส่วน Gazzaniga ระบุว่า consciousness มีบทบาทน้อยมาก  เพราะว่ากว่า 90% ทำงานโดย unconsciousness  นั่นเท่ากับว่า "psychology itself is dead"
Febvre เป็นหนึ่งในผู้ที่สนับสนุนการร่วมมือกันระหว่างนักประวัติศาสตร์และนักจิตวิทยา  เขาหลีกเลี่ยงลักษณะ anachronism ของจิตวิทยา  โดยเน้นว่าต้องทำความเข้าใจเครื่องมือทางจิตใจ (the mental equipment) ของคนในอดีต  ทว่าเขาเสนอว่ากิจกรรมทางอารมณ์ถูกกดทับโดยกิจกรรมทางภูมิปัญญา  แต่ภูมิปัญญานั้นก็ไม่สามารถกดอารมณ์ไว้ได้ทั้งหมด  ส่วน Freud เชื่อว่าอารยธรรมเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการกดทับสัญชาตญาณผ่านความรู้สึกผิดชอบของปัจเจก (sense of guilt)
Elias (1930s) เป็นคนแรกที่พยายามรวมแนวคิดของ Freud เข้ากับมุมมองทางสังคมวิทยาและประวัติศาสตร์  โดยมองว่า history of manners สามารถแสดงให้เห็นตัวตนของประวัติศาสตร์ในแต่ละยุคได้  ในศตวรรษที่ 14 มนุษย์เริ่มมี self-control มากขึ้น ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงการแสดงออกให้มีอารยะมากขึ้น  แต่สำหรับการแสดงออกทางอารมณ์และพฤติกรรมรุนแรงจะกลายเป็นสิ่งที่สังคมไม่ยอมรับ  Eliasกล่าวว่า self-control นำไปสู่การแตกแยกทางความคิดระหว่างความรู้ทางวิทยาศาสตร์กับการควบคุมของธรรมชาติ (master of nature)
Le Bon เชื่อว่า crowd psychology สามารถอธิบายสภาพพยาธิวิทยา (pathologies) ของสังคมสมัยใหม่ได้  ส่วน Rude และ Taine ที่ศึกษากรณีการปฏิวัติฝรั่งเศส  Rude ได้แย้ง Taine ว่าผู้ปฏิวัติฝรั่งเศสไม่ใช่เป็นพวก irrational อย่างที่ Taine กล่าวหา  Rude ยืนยันว่า crowd behavior เป็นการอธิบายในทางสังคมวิทยามากกว่าจิตวิทยา  โดยชี้ให้เห็นว่าผู้ที่ร่วมทำการปฏิวัติกรณีคนธรรมดานั้นทำไปเพราะต้องการอาหารที่อุดมและราคาถูกเป็นตัวอย่าง
แม้ว่าการเกิดขึ้นของประวัติศาสตร์สังคมจะเท่ากับเป็นการต้านการวิเคราะห์ในแง่มุมของจิตวิทยา  แต่บรรดานักวิชาการคนสำคัญสายสังคมวิทยาอย่าง Durkheim และ Weber  รวมถึงนักประวัติศาสตร์อย่าง Febvre และ Robinson ก็สะท้อนให้เห็นประเด็นเรื่องเหตุผลและจิตสำนึกในงานของพวกเขา  กล่าวได้ว่าเป็นการเชื่อมโยงกับจิตวิทยาโดยไม่รู้ตัว
นักประวัติศาสตร์ในปัจจุบันที่มุ่งศึกษาในประเด็นเพศ  ชาติพันธุ์  และประวัติศาสตร์วัฒนธรรม  เริ่มให้ความสนใจกับการอธิบายแบบจิตวิทยามากขึ้น  แต่นักประวัติศาสตร์เหล่านี้ก็ยังคงเน้นบทบาทของวัฒนธรรมและสังคมว่าเป็นตัวกำหนดอารมณ์และอัตลักษณ์ของปัจเจก  ทำให้ท้ายที่สุดจิตวิทยาก็ถูกกดทับในงานประวัติศาสตร์เหล่านี้  อย่างไรก็ตาม  ก็มีนักประวัติศาสตร์บางท่านเริ่มทำงานที่แสดงให้เห็นว่าจิตวิทยามีส่วนสำคัญในการวิเคราะห์ โดยเฉพาะนักประวัติศาสตร์สตรีนิยม
สำหรับนักคิดหลังสมัยใหม่ผู้ทรงอิทธิพลอย่าง Foucault มองว่า self เป็นเพียงจุดรวมของเครือข่ายวาทกรรม (network of discourse) เท่ากับว่าเขาได้เปิดแนวคิดแบบ subjectivity ให้แก่ psychohistory  สำหรับทฤษฎีหลังโครงสร้างนิยมมองว่า self มีหลายประเภท  แล้วแต่ว่าจะมีผลประโยชน์อย่างไร  กล่าวคือ มนุษย์สามารถมี self ได้หลากหลากภายในตัวเอง  ขึ้นอยู่กับการพิจารณาว่าเวลานั้นต้องแสดงออก self ประเภทไหน  ในแง่นี้เห็นได้ชัดว่ารับอิทธิพลมาจากแนวคิดหลังสมัยใหม่
เรื่องของจิตใจ (psyche) ในทางประวัติศาสตร์ยังคงมืดบอดอยู่มากหรือกล่าวได้ว่าตลอดระยะเวลาทางประวัติศาสตร์ที่ผ่านมานั้นไม่มีความแตกต่างของจิตใจเข้ามาเกี่ยวข้อง  แม้ว่า Taylor จะมีความพยายามแก้ปมดังกล่าว  โดยการสร้างอัตลักษณ์สมัยใหม่  เป็นความพยายามในการเปิดเผยความหมายทางประวัติศาสตร์ของตัวบุคคล (selfhood) เขามองว่าโลกสมัยของตะวันตกนั้นเชื่อว่ามนุษย์เป็นตัวกระทำที่สำคัญ (human agent)  อย่างไรก็ตาม แม้ Taylor จะเฉียดเข้าใกล้จิตวิทยามากขึ้น  แต่งานของเขาก็ยังคงเน้นที่ประเด็นเรื่อง moral มากกว่าจิตวิทยา
Lyndal Roper นักประวัติศาสตร์สตรีนิยมกล่าวว่าการที่แนวทางเรื่องเพศ (gender) ล้มเหลวในการวิเคราะห์ประวัติศาสตร์เพราะมันขาดความสัมพันธ์ระหว่างสังคมกับประสบการณ์ทางจิตวิทยา  ทำให้ไม่สามารถอธิบายความเปลี่ยนแปลงได้  เธอจึงเรียกร้องให้นำการวิเคราะห์ทางจิตวิทยามาใช้กับการิวเคราะห์กระบวนการของการทำให้ปัจเจกแตกต่างทางเพศ
นอกจากนี้ ความไม่พอใจในการอธิบายแบบพวกนิยมโครงสร้างสังคม (social constructionism) ก่อให้เกิดความสนใจเรื่อง emotion มากขึ้น  William Reddy มีแนวโน้มที่จะใช้มานุษยวิทยาและจิตวิทยาร่วมกันในงานของเขา  โดยนิยามว่า power เป็นการควบคุมการแสดงออกทางอารมณ์มากกว่าควบคุมแนวทางที่ก่อให้เกิดความเลวร้าย  ส่วน Noiriel ก็เสนอให้หาแนวทางใหม่ในการทำความเข้าใจการต่อรองกันระหว่างปัจเจกกับสังคม  และวัฒนธรรมโลก
โฆษณา