26 ม.ค. 2021 เวลา 12:17 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
The Mist หมอกมรณะที่มีชื่อว่า " โควิด-19 "
" หมอก " บดบังสภาพเบื้องหน้า ทำให้เราสูญเสียวิสัยทัศน์การมองเห็น
" วิกฤต " ก็เหมือนกับหมอก คือ " มันทำให้เรามองไม่เห็นบางอย่าง "
.
บางอย่างนั้นอาจเป็น " โอกาส " บางอย่างนั้นอาจเป็น " แง่มุมที่ดี " หรือบางอย่างนั้นอาจเป็น " หนทางแก้วิกฤต "แน่นอน...ถ้ามองเห็นทั้งหมดด้านบนนี้ เราคงไม่เรียกว่า " วิกฤต "
.
สิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2020 ไล่มาตั้งแต่ปัญหาฝุ่น " PM2.5 " " จ่าคลั่ง " จนมาถึง " โควิด19 "ทำให้ผมนึกถึงหนังเรื่องหนึ่ง หนังที่พูดถึงวิกฤตที่เกิดขึ้นในเมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง วิกฤตที่ทำให้คนในเมือง " มืดบอด " ไปด้วย " ปัญหา " และ " ปัญญา "
หนังเรื่องนั้นคือ The Mist : มฤตยูหมอกกินมนุษย์ (2007)
มันคือหนังที่ผมเคยบอกกับตัวเองว่า " จะไม่กลับมาดูซ้ำ "แต่เมื่อต้องเขียนบทความนี้ ... ผมจึงต้องผิดคำพูด โชคดีที่การดูในรอบสองนี้ ผมรู้บทสรุปของหนังล่วงหน้าแล้ว ทำให้ความหนักหนาของมวลอารมณ์เมื่อดูจบหายไป
" The Mist มฤตยูหมอกกินมนุษย์ " เป็นหนังที่ดัดแปลงจากนวนิยายของ " สตีเฟน คิง "เป็นเรื่องของเมืองๆหนึ่งที่อยู่ดีๆก็ถูกปกคลุมด้วยหมอกอย่างกะทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุ
.
สิ่งที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ ในหมอกที่ปกคลุมนั้น...มีอสุรกายร้ายแฝงอยู่
มันพร้อมเข้ามาตะครุบ กัดกินเหยื่อ ซึ่งก็คือมนุษย์ที่หลงเข้ามาในหมอกอย่างโหดร้ายทารุณ
.
เดวิดและลูกชาย คือ หนึ่งในผู้ประสบภัยครั้งนี้
เขาใด้ใช้ซุปเปอร์มาร์เก็ตเป็นที่หลบภัย
ว่าโดยสถานที่แล้ว...ซุปเปอร์มาร์เก็ต เหมาะอย่างมากในการใช้เป็นที่หลบภัย ที่นั่นมีอาหาร มีเครื่องมือ มีอุปกรณ์มากมายที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ปัญหาหลักของวิกฤตครั้งนี้จึงไม่ใช่เรื่องปัจจัยสี่ แต่เป็นเรื่องของความปลอดภัยในชีวิต และปัญหากับ " คน " ที่ต้องใช้ชีวิตร่วมกันในภาวะ " วิกฤต "ครั้งนี้เสียมากกว่า
.
หนังสะท้อนบุคลิกแบบต่างๆของคนแต่ละประเภทในสถานการณ์วิกฤตผ่านตัวละครในซุปเปอร์มาเก็ต
.
เริ่มตั้งแต่ต้นเรื่องที่ชาวเมืองเริ่มรู้สึกถึงวิกฤต มีตัวละครตัวหนึ่งเริ่มวิจารณ์กองทัพที่อยู่ดีๆก็เข้ามาในเมืองมากมาย
.
" คุณคิดว่าเงินภาษีของเราถูกนำไปใช้เพื่อการศึกษาสำหรับเด็กๆมากกว่าอย่างอื่นงั้นหรือ ? คุณคิดผิด ... รัฐบาลเอาเงินไปใช้กับอย่างอื่นมากกว่า เช่นการสร้างภาพและสร้างระเบิด "
.
แน่นอน...เมื่อภัยมา เราย่อมนึกถึงนโยบายที่เหมาะกับปัญหาของเรา
เราเริ่มนึกถึงความคุ้มค่าทางภาษีที่เราจ่ายเพื่อสวัสดิการในชีวิตของเรา และ เราก็เริ่มวิพากษ์นโยบายเหล่านั้น
1
สิ่งนี้ก็เกิดขึ้นกับประเทศไทยและไม่ใช่สิ่งผิด หลายครั้งผลจากการวิพากษ์นี้ทำให้รัฐบาลต้องปรับวิธีการแก้ปัญหาให้ตรงกับความต้องการของประชาชนมากขึ้น ดังนั้นการวิพากษ์วิจารณ์ในมุมหนึ่งมันคือการสะท้อนความต้องการของประชาชนต่อวิกฤตนั้น
1
หลังจากทุกคนทราบถึง " หมอก " ที่แผ่เข้าปกคลุมอย่างรวดเร็ว ในความสับสนนั้นมักจะมี " สมมติฐาน " และ " ข่าวลือ " ตามมา
" มันต้องเป็นสารพิษจากโรงงานแน่ๆ " ใครคนหนึ่งโพล่งออกมา
ท่ามกลางภาวะที่ทุกคนสับสน ... เราได้เห็นความหลากหลายของความเชื่อ มีคนที่เชื่อสิ่งที่พิสูจน์ได้ ... พวกเขาปฏิเสธว่าอสุรกายเป็นเรื่องเหลวไหล
คนที่ศรัทธาต่อคำสอนและศาสนา คนที่กล่าวถึงพระเจ้า พระคัมภีร์ หรือ คำสอนในศาสนาของตน คนที่พร่ำบ่น สวดมนต์ และขอพร
.
ในแง่หนึ่ง อย่างน้อยผู้คนก็ได้ยึดเหนี่ยวจิตวิญญาณของเขาไว้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพื่อไม่ให้หวาดกลัวและไขว้เขว แต่สิ่งสำคัญคือ " ต้องมีความพอดีในศรัทธา " และต้องไม่หลงลืมที่จะพึ่งพาตนเองอย่างเต็มที่ด้วย
จงใช้ศรัทธาเป็นกำลังใจหล่อเลี้ยงเพื่อฝ่าวิกฤต ไม่ใช่ศรัทธาเพื่อหลอกตัวเองแล้วจมอยู่กับปัญหาโดยไม่ทำอะไรเลย
.
มีคนที่เริ่มอาสา ออกแรงและพร้อมจะช่วยผู้อื่นอย่างเต็มที่ มีคนเป็นผู้นำ คนที่สั่งการ( มีคนฟังบ้าง ทำตามบ้าง มากน้อยขึ้นอยู่กับพลังในการโน้มน้าวของแต่ละคน)
มีคนตกใจ คนขี้กลัว คนวิตกจริต (ในหนังบางคนประคองสติไม่อยู่ ฆ่าตัวตายไปก็มี)
มีคนที่เชื่อมั่นในตนเอง ไม่ฟังใคร .... มีคนรับฟัง คนที่พยายามรวมกลุ่มเพื่อแก้ปัญหา มีคนอารมณ์ร้อน คนที่พร้อมจะทำทุกทางเพื่อให้ตนเองอยู่รอด
พวกเขาเห็นแก่ตัวและพยายามฉวยโอกาสจากวิกฤตของผู้คน สิ่งที่หนังสะท้อนมาทั้งหมดนี้ไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่เกิดในชีวิตจริง
วิกฤตโควิด19 ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ มันคือ " หมอก " ที่ทำให้มนุษย์ไม่เห็นหนทางข้างหน้า มันคือวิกฤตที่ส่งผลกระทบรุนแรงครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
แต่มันก็จะเป็นอีกครั้ง .... ที่เราจะผ่านไปได้ เช่นเดียวกับโรคระบาดอื่นๆที่มนุษย์เคยเผชิญมาแล้ว แม้ไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ? ก็ต้องสู้กันต่อไปด้วย " ความหวัง "
เพราะ" ความหวัง " เป็นเครื่องมือที่ทำให้เรื่องยากๆผ่านไปได้ "ความหวัง " ทำให้เราใจเย็น อดทน และรอเวลาจนถึงจุดที่เราจะสามารถแก้ปัญหาได้
.
ไม่ว่าวันนี้คุณจะประสบกับปํญหาอะไร ไม่ว่าในความคิดของคุณปัญหามันจะยิ่งใหญ่สักแค่ไหน ? ขออย่างเดียว " อย่าให้ปัญหาใหญ่กว่าความหวังเป็นพอ "
.
ถ้าอยากรู้ว่าความหวังมีประโยชน์อย่างไรยามวิกฤต
ขอให้ไปดูหนังเรื่อง " The Mist " ให้จบ .... แล้วคุณจะพบคำตอบ
โฆษณา