27 ม.ค. 2021 เวลา 00:36 • การศึกษา
#การปรับใช้หลักกฎหมายลาภมิควรได้ในกฎหมายปกครอง
" ชนใดประพฤติธรรม ในธรรมที่พระพุทธเจ้ากล่าวดีแล้ว​ ชนเหล่านั้นจักข้ามแดนมฤตยูที่ข้ามได้ยาก" (พุทธภาษิต)
 
กฎหมายแพ่งเป็นหลักการของกฎหมายที่เป็นพื้นฐานของกฎหมายทั้งระบบที่สามารถนำมาปรับใช้ในกฎหมายปกครองได้เท่าที่ไม่ขัดต่อลักษณะเฉพาะของกฎหมายปกครอง เช่น หลักสุจริต เป็นต้น หลักลาภมิควรได้ตามกฎหมายแพ่งก็นำมาปรับใช้ในกฎหมายปกครองได้เช่นกัน แต่มีลักษณะพิเศษว่าจะต้องเป็นกรณีที่บทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติรองรับไว้ชัดแจ้งให้บังคับใช้โดยอนุโลมเท่านั้น จึงมีความพิเศษแตกต่างจากจากหลักกฎหมายแพ่งในเรื่องอื่นๆ
กรณีที่จะนำหลักเรื่องลาภมิควรได้ตามหลักกฎหมายแพ่งมาบังคับใช้กับกฎหมายปกครองนั้น สามารถแบ่งได้ 2 กรณีคือ
กรณีแรก
กรณีที่องค์กรฝ่ายปกครองจะเรียกให้เอกชนหรือบุคคลคืนเงินหรือผลประโยชน์อื่นที่รับได้ไปในฐานะลาภมิควรได้ จะต้องเป็นกรณีที่กฎหมายปกครองกำหนดไว้โดยชัดแจ้งว่าให้นำบทบัญญัติว่าด้วยลาภมิควรได้ตามกฎหมายแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม เพราะการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนจะต้องมีกฎหมายให้อำนาจองค์กรฝ่ายปกครองไว้อย่างชัดแจ้ง เช่น การเพิกถอนคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 49 ประกอบมาตรา 50 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 เมื่อ โดยอาจเพิกถอนทั้งหมดหรือบางส่วนและจะเพิกถอนย้อนหลังหรือไม่ย้อนหลังก็ได้ เพื่อเพิกถอนแล้วผู้รับคำสั่งทางปกครองที่ได้รับประโยชน์เป็นเงินหรือทรัพย์สินอาจถูกเรียกคืนในฐานลาภมิควรได้ เพราะตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ได้บัญญัติให้นำหลักกฎหมายลาภมิควรได้มาใช้โดยอนุโลม (ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ 56/2544, คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.297/2552)
กรณีที่กฎหมายปกครองไม่ได้บัญญัติให้นำหลักกฎหมายลาภมิควรได้มาใช้โดยอนุโลม เช่น การเรียกเงินเดือนและสิทธิประโยชน์คืนจากเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้งโดยมิชอบหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐขาดคุณสมบัติ หรือ การเรียกเงินคืนจากกรณีการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่ไม่กฎหมายบัญญัติให้มีการคืนเงิน หน่วยงานทางปกครองจะเรียกเงินคืนจากเจ้าหน้าที่คนนั้นไม่ได้ เป็นต้น จะนำหลักกฎหมายลาภมิควรได้มาเรียกคืนเงินจากเอกชนที่ได้รับประโยชน์จากการกระทำทางปกครองไม่ได้ ซึ่งรวมถึงจะใช้หลักกฎหมาลาภมิควรได้มาใช้แบบกฎหมายเทียบเคียงไม่ได้ด้วย (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 200/2552)
กรณีที่สอง
กรณีที่เอกชนเรียกให้องค์กรฝ่ายปกครองชดใช้เงินหรือผลประโยชน์จากการที่งานตนเองทำเพื่อประโยชน์แก่องค์กรฝ่ายปกครองโดยที่ยังไม่มีนิติสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายปกครองกับเอกชนนั้นๆที่เรียกว่า “ลาภมิควรได้ทางปกครอง” ซึ่งมีอิทธิพลที่พัฒนาจากกฎหมายแพ่งซึ่งศาลจะใช้บางกรณีที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น โดยเฉพาะในสัญญาจ้างเหมาก่อสร้าง คือ เมื่อเอกชนทำงานโยธาให้ฝ่ายปกครองตามคำขอ แต่ยังไม่มีการทำสัญญาหรือสัญญาตกเป็นโมฆะ หรือสัญญาสิ้นผลไปแล้ว หรือทำเกินสัญญา และที่สำคัญที่สุดคือ การทำการนั้นต้องเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายปกครอง แม้จะไม่มีสัญญาหรือทำเกินสัญญาแต่จำเป็นและการกระทำนั้นไม่ได้เกิดจากความผิดของเอกชนที่ทำให้ตนเองเสียประโยชน์หรือทำให้ได้รับประโยชน์น้อยลง ศาลจะพิพากษาให้ฝ่ายปกครองชดใช้ค่าทดแทนให้เท่าจำนวนประโยชน์ที่ฝ่ายปกครองได้รับ การนำหลักลาภมิควรได้มาใช้จะมีเงื่อนไข คือ เป็นข้อพิพาทในกรณีสัญญา งานที่กระทำลงไปถือเป็นงานที่ก่อให้เกิดประโยชน์ และการชำระเงินดังกล่าวจะต้องไม่เป็นการชำระเงินที่มีผู้ได้รับประโยชน์เป็น กรณีพิเศษ อย่างไรก็ดีฝ่ายปกครองอาจขอลดหย่อนเงินจำนวนนี้ลงได้หากฝ่ายปกครองมีส่วนผิด ที่ทำให้ตนเกิดความลดน้อยถอยลงด้วย ค่าเสียหายดังกล่าวจะลดลงตามส่วน
ตัวอย่างการนำหลักกฎหมายลาภมิควรได้มาใช้โดยอนุโลม
ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ 56/2544
คำสั่งบรรจุและแต่งตั้งของกรมการปกครองที่ออกโดยสำคัญผิดเพราะถูกปกปิดข้อความจริงดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งทางปกครองที่มีข้อบกพร่องทางกฎหมายหรือไม่สมบูรณ์ ซึ่งเรียกว่าคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อยู่ในอำนาจของฝ่ายปกครองที่จะใช้สิทธิเพิกถอนเสียเมื่อใดและในชั้นใดก็ได้ตามมาตรา 49 ประกอบมาตรา 50 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 โดยอาจเพิกถอนทั้งหมดหรือบางส่วนและจะเพิกถอนย้อนหลังหรือไม่ย้อนหลังก็ได้ ทั้งนี้ ต้องคำนึงถึงความสุจริตของนาย ก. และประโยชน์ของสาธารณะมาพิจารณาประกอบกันว่าควรเพิกถอนหรือไม่ เมื่อพิจารณาแล้วว่าการกระทำของนาย ก. เป็นการกระทำโดยไม่สุจริตเพราะปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง ดังนั้น จึงต้องดำเนินการเพื่อให้นาย ก. มีสถานภาพเป็นข้าราชการเพียงแห่งเดียว โดยกรมการปกครองควรเพิกถอนคำสั่งบรรจุและแต่งตั้งนาย ก. ให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่บรรจุและแต่งตั้งจนถึงวันที่กรมคุมประพฤติมีคำสั่งไล่นายกิติศักดิ์ฯ ออกจากราชการ เพื่อให้สามารถเรียกคืนเงินเดือนที่จ่ายซ้ำซ้อนในช่วงเวลาดังกล่าว โดยต้องเรียกคืนเต็มจำนวนฐานลาภมิควรได้ตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.297/2552
ผู้ฟ้องคดีรับราชการในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการลงทุน 7 สังกัด ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 (สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) ปฏิบัติหน้าที่ประจำสำนักงานที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจ (ด้านการลงทุน) ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ได้มีคำสั่งที่ 2/2541 ลงวันที่ 8 มกราคม 2541 ย้ายผู้ฟ้องคดีมาปฏิบัติหน้าที่ประจำ กองส่งเสริมการลงทุนภูมิภาค กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2541 เป็นต้นไป ผู้ฟ้องคดีจึงเดินทางกลับประเทศไทยในวันที่ 22 มกราคม 2541 และได้เบิกเงินค่าใช้จ่ายในการย้ายถิ่นที่อยู่จากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 เป็นเงิน 885,046.50 บาท ตามมาตรา 70 (4) แห่ง พ.ร.ฎ. ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ. 2526 ซึ่งกำหนดให้เบิกจ่ายได้ในลักษณะเหมาจ่ายในอัตราสามเท่าของจำนวนเงินเพิ่ม พิเศษสำหรับข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่ประจำอยู่ในต่างประเทศ (พ.ข.ต.) ที่บุคคลดังกล่าวได้รับครั้งสุดท้ายก่อนเดินทางกลับประเทศไทย ต่อมา ได้มีการตรา พ.ร.ฎ. ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2541 ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2541 และให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2541 เป็นต้นไป โดยแก้ไขอัตราจากเดิมที่เบิกได้สามเท่าเหลือหนึ่งเท่าครึ่งของจำนวนเงิน พ.ข.ต. ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 จึงได้มีหนังสือลงวันที่ 30 มีนาคม 2542 แจ้งให้ ผู้ฟ้องคดีคืนเงินในส่วนที่เบิกเกินเป็นเงิน 442,523.25 บาท เพื่อส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินต่อไป การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ได้มีหนังสือลงวันที่ 30 มีนาคม 2542 เรียกให้ผู้ฟ้องคดีคืนเงินค่าใช้จ่ายในการย้ายถิ่นที่อยู่ในส่วนที่ได้รับ เกินที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ มิใช่การใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งทางปกครองตามมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 แต่เป็นการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ใช้สิทธิเรียกเงินที่ผู้ฟ้องคดีได้รับเกินสิทธิอันมีลักษณะเป็นลาภมิควรได้ ตามมาตรา 406 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ตัวอย่างกรณีไม่อาจนำำหลักกฎหมายลาภมิควรมาบังคับใช้
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 200/2552
ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายจากการที่หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 2091 ถูกเพิกถอน และความเสียหายดังกล่าวเป็นผลโดยตรง ที่เกิดจากนาย จ. พนักงานเจ้าหน้าที่ในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ในการออก หนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยปราศจากความระมัดระวัง ประมาทเลินเล่อ ทำให้เกิดความเสียหาย อันเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีตามมาตรา 420 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ผู้ถูกฟ้องคดีในฐานะหน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้ฟ้องคดีในผลแห่งละเมิด ที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ ตามมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 สำหรับเงินค่าธรรมเนียมและค่าอากรแสตมป์ที่ ผู้ฟ้องคดีชำระให้แก่ทางราชการในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมจำนองที่ดิน มิใช่ผลโดยตรงที่เกิดจากการกระทำละเมิดของพนักงานเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้อง คดี ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าว ประกอบกับเงินค่าธรรมเนียมที่ทางราชการเรียกเก็บจากคู่กรณีเป็นค่าตอบแทนที่ ทางราชการให้บริการคู่กรณี ในการได้มาซึ่งทรัพย์สิทธิหรือสิทธิในที่ดิน ตามมาตรา 103 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวต้องจัดส่งเป็นรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่นตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย และไม่มีบทบัญญัติให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจคืนเงินค่าธรรมเนียมให้แก่คู่กรณี แต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10850/2559 ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามที่โจทก์และจำเลยไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีกาว่า ปฏิบัติหน้าที่ราชการ โจทก์จ่ายเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญจำเลยเป็นทายาทของนายพิชัย ข้าราชการในสังกัดกรมโจทก์ซึ่งเป็นสามีจำเลยที่ถึงแก่ความตายในขณะให้จำเลยไปรวมจำนวนทั้งสิ้น 208,353.13 บาท ทั้งที่จำเลยเป็นข้าราชการในสังกัดกรมโจทก์ ซึ่งไม่มีสิทธิได้รับเงินดังกล่าวตาม พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ พ.ศ.2521 มาตรา 5 จำเลยได้รับเงินดังกล่าวไว้โดยสุจริตและนำไปใช้จ่ายหมดแล้ว ต่อมาโจทก์ทวงถามให้จำเลยคืนเงินดังกล่าว แต่จำเลยเพิกเฉย มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า เงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญที่จำเลยได้รับเป็นลาภมิควรได้ หรือเป็นเงินที่โจทก์มีสิทธิติดตามเอาคืนได้อย่างเจ้าของทรัพย์สิน เห็นว่า จำเลยไม่มีสิทธิได้รับเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญตามกฎหมาย แต่โจทก์จ่ายเงินดังกล่าวให้จำเลยไปโดยผิดหลง จึงเป็นเงินที่จำเลยได้รับไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ และทำให้โจทก์เสียเปรียบ อันเป็นลาภมิควรได้ หาใช่เป็นเงินที่โจทก์มีสิทธิติดตามเอาคืนได้อย่างเจ้าของทรัพย์สินไม่ แต่เมื่อได้ความว่า จำเลยได้รับเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญไว้โดยสุจริตและนำไปใช้จ่ายหมดแล้วก่อนที่โจทก์จะเรียกคืน จำเลยจึงไม่ต้องคืนเงินดังกล่าวแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 412 กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยข้ออื่นและฎีกาของโจทก์อีกต่อไป เพราะไม่เป็นสาระแก่คดีที่จะทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
 
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.697/2559 (ประชุมใหญ่) หนังสือสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลงวันที่ 4 ธันวาคม 2549 ที่แจ้งให้ผู้ฟ้องคดีคืนเงินค่าเช่าบ้านขาราชการที่ไดรับไปโดยไมมีสิทธินั้นเป็นเพียงหนังสือ ทวงถามให้ชำระเงิน ไมมีลักษณะที่แสดงให้เห็นว่าผู้ออกหนังสือมีเจตนาที่จะให้หนังสือดังกล่าวเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ที่อาจนำมาฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อขอให้ศาลเพิกถอนหนังสือดังกล่าวได ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) ประกอบกับมาตรา 72 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลปกครองฯ (ที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดในการประชุมครั้งที่ 7/2558 เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2558)
คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 222/2560 การที่นาย ก. ได้รับเงินดังกล่าวจากเทศบาลถือเป็นการใช้สิทธิที่พึงมีพึงได้ตามกฎหมาย โดยมิได้มีลักษณะเป็นกรณีที่เจ้าหน้าที่ดังกล่าวได้ใช้อำนาจทางปกครองในการออก กฎหรือคำสั่งแต่อย่างใด และเป็นกรณีที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ผู้รับต้องคืนเงินรางวัลประจำปีดังกล่าว จึงไม่อาจถือได้ว่านาย ก. ละเลยต่อหน้าที่ในการคืนเงินรางวัลประจำปี และย่อมไม่ใช่กรณีพิพาทเกี่ยวกับการ กระทำละเมิดหรือความรับผิดโดยปราศจากความผิด เพราะนาย ก. ไม่ได้มีการกระทำที่มีการใช้อำนาจตาม กฎหมายแต่อย่างใด เมื่อการที่นาย ก. ไม่คืนเงินที่ได้รับไปเกินสิทธิไม่มีลักษณะเป็นข้อพิพาททางปกครองหรือคดี ปกครอง การใช้สิทธิเรียกคืนเงินที่เจ้าหน้าที่รับไปโดยไม่มีสิทธิหรือเกินสิทธิดังกล่าว จึงไม่ใช่คดีพิพาทที่อยู่ ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง การใช้สิทธิเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่คืนเงินดังกล่าว เทศบาลสามารถใช้สิทธิเรียกร้องได้ในฐานะเจ้าหนี้ตามปกติทั่วไป โดยเงินที่เจ้าหน้าที่ผู้นั้นได้รับไป มีลักษณะเป็นเพียงลาภมิควรได้ ที่เจ้าหนี้ตามกฎหมายอาจเรียกคืนได้เท่านั้น ทั้งนี้เป็นไปตามแนวมติ ที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดในการประชุมครั้งที่ 7/2558 เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2558 ศาลปกครองสูงสุดจึงยืนตามศาลปกครองชั้นต้นที่ไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาพร้อมทั้งคืนเงินค่าธรรมเนียมศาล ทั้งหมดแก่ผู้ฟ้องคดี
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ 18/2559 คดีที่ กองทัพบก ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นอดีตข้าราชการในสังกัด เพื่อเรียกเงินเบี้ยหวัด เงินบำนาญ เงินบำเหน็จดำรงชีพ และ ช.ค.บ. คืนเห็นว่า คดีพิพาทเกี่ยวกับความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 นั้น เป็นหลักกฎหมายเกี่ยวกับความรับผิดของรัฐโดยปราศจากความผิด ซึ่งมีเจตนารมณ์ในการคุ้มครองและเยียวยาความเสียหายให้แก่เอกชนจากการใช้อำนาจของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันเนื่องมาจากการดำเนินกิจการทางปกครองหรือบริการสาธารณะแล้วก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนเป็นพิเศษ แม้จะเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายก็ตาม บทบัญญัตินี้จึงให้สิทธิเฉพาะเอกชนเท่านั้นในการฟ้องขอให้รัฐรับผิด เมื่อคดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองฟ้องขอให้จำเลยคืนเงินเบี้ยหวัด เงินบำนาญ เงินบำเหน็จ เงินบำเหน็จดำรงชีพ และ ช.ค.บ. ที่ได้ รับเกินสิทธิแก่โจทก์ จึงเป็นกรณีที่รัฐฟ้องคดีโดยใช้สิทธิเรียกร้องเอาแก่อดีตข้าราชการของตนในฐานะเอกชนคนหนึ่งซึ่งไม่เข้าหลักเกณฑ์ของคดีพิพาทเกี่ยวกับความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 เมื่อตามคำฟ้องของโจทก์ไม่เข้าลักษณะคดีพิพาทอันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 กรณีจึงเป็นเรื่องที่โจทก์ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองต้องใช้สิทธิฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยต่อศาลยุติธรรม ซึ่งเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวงที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลอื่น
ที่มา : เพจหลักกฎหมายปกครองวันละเรื่อง. 2562.
เรียบเรียงโดย เศรษฐวัฒน์ โชควรกุล. 2564.
ผู้เรียบเรียง ผศ.ดร.เศรษฐวัฒน์ โชควรกุล ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลที่ได้รับจากการเผยแพร่บทความวิชาการทุกบทความอันเป็นวิทยาทานและธรรมทานให้แด่ดวงจิตคุณพ่อศักดา โชควรกุล (บิดาผู้ล่วงลับของผู้เรียบเรียง)
โฆษณา