27 ม.ค. 2021 เวลา 16:45 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
🌹"The End Of The Storm"
“หนังฟุตบอล”ที่ไม่ใช่”ฟุตบอล”🖋
ทุกคนต้องการ "ความบังเอิญแบบพอดี" และมีทุกอย่างเข้ามาพร้อมกัน มันจะทำให้ไปด้วยกันได้
และจากนั้น จะประสบความสำเร็จหรือไม่ มันก็อยู่ที่โชคชะตา, ความตั้งใจ, ศรัทธา และความพยายาม
ผมได้รับเชิญให้ไปชมรอบสื่อมวลชนของภาพยนตร์เรื่อง "The End Of The Storm" โดย สหมงคลฟิล์ม ซึ่งจัดได้ว่า หนังเรื่องนี้คือ ชีวิตจริงเหลือเชื่อมาก
คนเราชอบพูดว่า ดูละครแล้วย้อนดูตน
The End Of The Storm คือเนื้อเพลงในท่อนที่ 4 ของ You'll Never Walk Alone เพลงประจำสโมสรของลิเวอร์พูล เอฟซี
When you walk through a storm
Hold your head up high
And don't be afraid of the dark
At the end of a storm
There's a golden sky
And the sweet silver song of a lark
Walk on through the wind
Walk on through the rain
Though your dreams be tossed and blown
Walk on, walk on
With hope in your heart
And you'll never walk alone
You'll never walk alone
Walk on, walk on
With hope in your heart
And you'll never walk alone
You'll never walk alone
ซึ่งเพลงนี้เป็นเพลงที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม "หงส์แดง" ผู้ฉุดทีมจากเหวลึกขึ้นมาสู่แชมป์ที่รอคอย มีความชื่นชอบมาตั้งแต่เด็ก และใช้เนื้อหาเพลงนี้เป็นรากฐานในการดำเนินชีวิต
กระทั่งในวันหนึ่ง เขาได้มาคุมทัพสโมสร ที่มีเพลงนี้เป็นเพลงประจำทีม
“ชีวิตคนเรา มันช่างเหลือเชื่อ จังหวะมันได้ ชะตาพันผูกกันแบบมิได้นัดหมาย”
ขณะเดียวกัน แม้ว่าจังหวะ, โอกาส และเวลา ของภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ ที่เริ่มฉายในเมืองไทย อาจดูเหมือน "ผิดจังหวะ" และอาจไม่ตรงกับหัวใจแฟนบอลในช่วงที่ทีมกำลังฟอร์มตก เตะอย่างไรก็ไม่ชนะ กำลังตกอยู่ในวังวนแห่งความ "ผิดหวัง" รวมถึง โควิด ที่ทำให้ต้องเลื่อนมาวันปฐมฤกษ์ไปเป็น 28 มกราคมจากเดิมคือ 14 มกราคมที่ผ่านมา
แต่เรื่องของทีมในตอนนี้ เทียบไม่ได้เลย แม้แต่กระผีก หรือรูขุมขนเดียว กับการรอคอย 30 ปี ในการเป็นแชมป์สูงสุดของประเทศ
จากศึกดิวิชั่น 1 อังกฤษ เปลี่ยนชื่อมาเป็น พรีเมียร์ลีก
ภาพยนตร์เรื่องนี้ คือคำตอบจาก "บทสรุป" ที่ทีมตกไปอยู่ใน "หลุมดำ" ที่แฟนบอลรวมถึงผมด้วยที่รอคอยมาชั่วชีวิต
จนบางครั้งเคยแอบคิดว่า อาจจะไม่มีโอกาสได้เห็นอีกแล้วในชาตินี้..........
พระเอกของเรื่องไม่จำเป็นต้องหล่อเท่แบบ แบร๊ด พิตต์, บู๊ดุดันในชุดสูทแบบ แดเนี่ยล เคร็กก์, ฮากระจายหน้าเป็นแบบ จิม แคร์รี่ หรือสุขุมลุ่มลึกแบบ ริชาร์ด เกียร์
แต่ เยอร์เก้น คล็อปป์ ยังเป็น "ตัวเอก" ได้อย่างหมดจด
มีทั้งความเท่, ความดุดันในการคุมทีม, มุกตลกแบบฮาแตก และมีปรัชญาที่ลุ่มลึก
เขาเป็นผู้เข้ามากุมชะตา และกุมความศรัทธา หลังจากการเวิ้งว้าง เมื่อ สตีเว่น เจอร์ราร์ด เบ้าหลอมของเดอะ ค็อป ทั้งโลกจากทีมไปในซัมเมอร์ 2015
คำพูด การดูแลเอาใจใส่ และความเป็นธรรมชาติ ถือเป็นสิ่งที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม
ขอใช้คำว่า คล็อปป์ นั้น "ตกผลึกด้านความคิด" อย่างชนิดที่เกิน 100 เปอร์เซ็นต์
เราได้รู้จัก เฟอร์จีล ฟาน ไดจ์ค มากขึ้น, รู้จักตัวตนที่แท้จริงของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และรับรู้ในสิ่งที่เป็นเอ็กซ์คลูซีฟของสโมสร
หากถามการประเด็นที่ไม่เกี่ยวกับฟุตบอล หนังเรื่องนี้มีการนำเสนอในสิ่งที่ทุกคนพึงมี
ผมย้ำว่า ทุกคนพึงมี นั่นคือ "การตั้งใจทำ" แต่ "อย่าตั้งใจ" เกินจนลืม "การใช้ชีวิต"
"บนโลกไม่ได้มีแค่ฟุตบอล" ซึ่งแม้กระทั่งคนฟุตบอลเองยังบอกแบบนี้ แล้วเราท่านล่ะ??? ยังไงต่อคงเข้าใจกันดี
ขณะที่การดำเนินเรื่อง เน้นนำแฟนบอลจากหลากมุมโลกเข้ามาเกี่ยวข้อง และยังถ่ายทอดความรู้สึกของแฟนบอลในช่วงโควิด-19 ที่รู้สึกเจ็บปวดกับการไม่ได้ฉลองแชมป์ที่รอคอยกับทีม
ในทางเดียวกัน นักบอลเองที่ถึงแม้ดีใจ แต่แฝงไว้ด้วยความรู้สึกเดียวกับแฟนบอล
ว่ากันตามเชิง โดยส่วนตัว ผมเป็นคนชอบสนามฟุตบอล ลำดับภาพต่าง ๆ ที่ย้อนไปถึงฤดูกาลแห่งความตื่นเต้น ในแมตช์สำคัญ ๆ นั้นโดนใจมาก
มาถึงตอนนี้ ขอชมผู้กำกับ เจมส์ เออร์สคีน ซึ่งมีผลงานสารคดีเรื่องดังมาแล้วหลายเรื่อง ถึงแม้จะติดใจหน่อยนิดในพาร์ตของแฟนบอลทบางส่วนทำออกมาได้ไม่เนียนตา ซึ่งอาจด้วยข้อจำกัดของโรคระบาด รวมถึงช่วงท้ายที่ต้องบีบให้กระชับ แต่กลายดำเนินไปได้ช้า
ตอนโดยรวมทั้งเรื่องถือว่าดีมาก ๆ และทำออกมาได้อย่างน่าสนใจ สรุปได้ 4 จุดใหญ่
1. เปิดต้นเรื่องด้วย เยอร์เก้น คล็อปป์ ก็เรียกน้ำตาได้แล้ว และยังได้คำตอบของคำถามที่ได้อย่างใจ
2. การ "เลือกภาพ" ในนัดพบกับ "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นทีมแรกที่ปรากฏขึ้นมาอยู่ในเรื่องนี้ ถือเป็นการให้เกียรติกับคู่ปรับตลอดกาล
3. การที่ เซอร์เคนนี่ ดัลกลิช ผู้เป็น "คิง ออฟ แอนฟิลด์" มาร่วมดำเนินเรื่อง ซึ่งมีมุกตลกแบบน่ารักอย่างไม่น่าเชื่อ
4. ภาพประกอบของสนาม และเมืองต่าง ๆ มีความสวยตามท้องเรื่อง
นับว่าน้อยครั้งนัก ที่จะมีภาพยนตร์เกี่ยวกับฟุตบอลมาให้ชมกัน หลังจากเริ่มรู้จักตั้งแต่ "เตะแหลกแล้วแหกค่าย" เป็นต้นมา
....และนาทีนี้ "พายุลูกใหม่" กำลังพัดพาเข้ามาสู่แอนฟิลด์ อีกครั้ง แต่ก็นั่นแหล่ะ ชีวิตต้องดำเนินต่อไป
พายุลูกเดิมที่สยบไป เป็นอย่างไรกันบ้าง เขามีวิธีสยบมันอย่างไร และอาจทำให้ความว้าวุ่นในหัวใจ ความต้องการอะไรที่ "มากเกินขอบเขต" ในนาทีนี้
ได้หยุดพักกันสักนิด และย้อนมองกลับไปว่า เนื้อแท้แล้ว กว่าจะได้แชมป์ที่ต้องการนั้นมันยากเย็นเพียงใด
เพราะทุกคนไม่ได้ต่อสู้กันในสนามเพียงอย่างเดียว
ทั้งอาจทำให้ "ความโลภในจิตใจ" ที่หิวหายแต่ชัยชนะ ได้กลับมา "รู้จักคำว่าแพ้" และ "รู้จักแพ้ให้เป็น"
คุณมี 4 อย่างนี้แล้วหรือยัง “โชคชะตา, ความตั้งใจ, ศรัทธา และความพยายาม”
เติมไปอีกเป็นข้อที่ 5 ก็คือ อย่าฉลองชัยเมื่อคุณยังไม่ได้รับชัยชนะ.........มีอยู่ในเรื่องนี้ด้วย เหมือนเตือนสติกองเชียร์บางประเภทให้ได้หน้าชา............
ชัยชนะ และความสำเร็จไม่เพียงแต่ในโลกของฟุตบอลเท่านั้น ในโลกแห่งชีวิตจริง ก็ไม่ควรอิจฉาริษยา แต่ควรยอมรับและศึกษา..............
มาถึงตรงนี้ บอกเลยว่า The End Of The Storm ทำให้ผมได้อิ่มเอมและดื่มดำกับเรื่องราวที่ดูเหมือนกับว่า เวลาเดินผ่านมานานมาก ทั้งที่จริงย้อนกลับไปเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น................
บทสรุปที่สำคัญท้ายสุด หากคุณมี "อินเนอร์" รับรองว่า "อินแน่" และวันนี้คุณมีเวลา “2นาที”เพื่อให้คนรอบข้างของคุณแล้วหรือยัง........
ทั้งหมดทั้งมวลจะมีคำตอบให้กับคุณจะได้รู้ว่า ทุกนัดที่พวกเขาลงสนาม ไม่ได้ทำเพียงเพื่ออาชีพและเพื่อตัวเอง
แต่เพื่อแฟนฟุตบอลของพวกเขาทั้งโลก!!!
“You'll Never Walk Alone”
“บี แหลมสิงห์”
รับชมรับฟังทาง Youtube ที่นี่จ้า >>>
*** สารคดีฟุตบอลที่"ไม่ใช่"ฟุตบอล⚽️
โฆษณา