28 ม.ค. 2021 เวลา 04:41 • ไลฟ์สไตล์
เ ขี ย น บ ท สั ม ภ า ษ ณ์ อ ย่ า ง ไ ร ใ ห้ น่ า อ่ า น
บทสัมภาษณ์ คือ งานเขียนที่สรุปการพูดถามตอบกันระหว่างผู้สัมภาษณ์กับผู้ให้สัมภาษณ์ในหัวข้อที่กำหนดโดยการเรียบเรียงด้วยสำนวนภาษาที่ยังคงมีความเป็นตัวตนของผู้ให้สัมภาษณ์ และขัดเกลาให้สละสลวย สุภาพ และน่าอ่าน ในลีลาการนำเสนอของผู้เขียนแต่ละคน บทสัมภาษณ์จึงเป็นเสมือนการทบทวน(review)ช่วงชีวิตหรือความคิดของคนๆ หนึ่งให้ผู้อ่านได้สัมผัสผ่านตัวอักษรนั่นเอง
การตั้งชื่อเรื่อง
แน่นอนว่า บทสัมภาษณ์นั้นเป็นการโชว์กึ๋นของผู้สัมภาษณ์ในการขุดแซะล้วงลึก หรือหาความแตกต่างจากการสัมภาษณ์อื่นๆ ในคนๆ เดียวกัน หรืออาจจะเป็นคนโนเนมเพื่อทำให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น การสัมภาษณ์จึงต้องทำการบ้านเป็นอย่างดี ศึกษาตัวตนคนที่จะสัมภาษณ์มาพอสมควร และบทสัมภาษณ์ไม่ใช่แค่ประเด็นคำถามน่าสนใจเท่านั้น แต่ต้องน่าสนใจมาตั้งแต่ชื่อเรื่อง
การตั้งชื่อเรื่อง ต้องดึงผู้อ่านให้อยากอ่านตั้งแต่แรกเห็น ไม่ว่าจะเป็นบทสัมภาษณ์ในนิตยสารหรือหนังสือพิมพ์ ล้วนแล้วแต่แข่งขันกันด้วยชื่อเรื่องทั้งสิ้น ยิ่งถ้าอยู่ในเว็บไซต์ด้วยแล้ว จะตั้งอย่างไรให้คนอยากคลิกเข้าไปอ่านโดยทันทีที่เห็น
หากเป็นคนดังหรือมีชื่อเสียงอยู่แล้ว การนำชื่อของเขาหรือบุคลิกลักษณะที่โดดเด่นอันเป็นอัตลักษณ์มาใส่ในชื่อเรื่องก็จะชวนดึงดูดได้ง่าย เช่น “เดี่ยว” ของผู้ชายจมูกโตที่ FC รอคอย คำว่า “เดี่ยว” นั้นมีใช้อยู่ไม่กี่คน และดูจะกลายเป็นคำเฉพาะของคนๆ หนึ่งไปแล้ว นั่นก็คือ โน้ส อุดม และการใช้คำว่า “ผู้ชายจมูกโต” ก็ยิ่งเป็นการย้ำชัดว่าต้องเป็นโน้ส อุดมแน่ๆ ไม่ใช่อาจารย์จตุพล ชมภูนิช หรือดร.เสรี วงมณฑา
แต่หากไม่ใช่คนดังหรือมีชื่อเสียงมาก่อน การใส่ชื่อของเขาลงไป ไม่มีผลต่อการอยากรู้อยากเห็นอยากอ่านแต่อย่างใด แต่สามารถใช้บุคลิกหรือลักษณะบางอย่าง รวมถึงผลงาน ทรรศนะที่เด่นๆ และคำพูดที่กินใจใส่ในชื่อเรื่องก็ได้ เช่น “ปลูกข้าวแบบพอเพียง” ชาวนาที่เดินตามรอยพ่อมาแล้ว 20 ปี ชัดเจนว่าเป็นบทสัมภาษณ์ชาวนาคนหนึ่งที่ผู้อ่านจะได้รู้ว่าการยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทำให้ 20 ปีที่ผ่านมาเขาใช้ชีวิตอยู่ได้สบายๆ
การเปิดเรื่อง
การเขียนบทสัมภาษณ์ก็เหมือนกับงานเขียนอื่นๆ คือ ต้องวางโครงเรื่องก่อนเสมอ ว่าอยากจะเล่าเรื่องนี้อย่างไร ผู้อ่านควรอ่านอะไรก่อนหลัง โดยการเปิดเรื่องจะเป็นชี้นำว่าผู้อ่านจะได้รู้อะไรบ้างในบทสัมภาษณ์นี้
การเปิดเรื่องที่ดีต้องทำให้ผู้อ่านรู้จักกับบุคคลที่จะสัมภาษณ์ในเบื้องต้น อาจจะเป็นการแนะนำ หรือทบทวนก็ได้ ควรจะมีชื่อเสียงเรียงนามของเขา แต่ถ้ามีชื่ออยู่ในชื่อเรื่องแล้ว อาจจะไม่จำเป็น แต่ต้องเขียนเพื่อให้ผู้อ่านทราบว่าคนๆ นี้สำคัญอย่างไร และทำไมเราจึงต้องสัมภาษณ์เขา จากนั้นจึงโยงเข้าสู่เนื้อหาที่สัมภาษณ์
วิธีการเปิดเรื่องไม่มีอะไรตายตัวแน่นอน ขึ้นอยู่กับกลวิธีของผู้เขียนแต่ละคน บางคนอาจจะเปิดด้วยบทสนทนา หรือคำพูดคมๆ หรือบุคลิกเด่นๆ หรือเปิดด้วยวีรกรรมของคนๆ นั้นก็ได้ ขอให้อยู่ในกรอบของการทำความรู้จักผู้ให้สัมภาษณ์และมีประเด็นที่จะสัมภาษณ์ตั้งแต่เปิดเรื่อง หากไม่เห็นประเด็น ผู้อ่านจะรู้สึกว่าเสียเวลาที่จะอ่านต่อ
รูปแบบการเขียนบทสัมภาษณ์
การเขียนบทสัมภาษณ์ ไม่จำเป็นจะต้องเขียนทุกคำตอบที่ผู้ให้สัมภาษณ์ตอบ หากไม่ใช่ประเด็นสำคัญ หรือทำให้เรื่องเสียแก่นของเรื่อง(Theme)ไป เช่นเดียวกันถ้าพบว่าบางคำถามฟุ่มเฟือย เยิ่นเย้อหรือคำตอบที่ไม่สมบูรณ์หรือเป็นคำตอบที่รวมกับคำถามอื่นๆ ได้ รวมถึงคำพูดไม่สุภาพ คำอุทานต่างๆ ก็อาจจะตัดออกเพื่อให้บทสัมภาษณ์มีความกระชับน่าอ่านมากยิ่งขึ้น และหากผู้ให้สัมภาษณ์ใช้ศัพท์เทคนิคหรือศัพท์ภาษาต่างประเทศที่ไม่คุ้นเคยก็ควรจะวงเล็บคำแปลไว้ด้วย ส่วนรูปแบบการเขียนนั้นขึ้นอยู่กับความถนัดของผู้เขียนแต่ละคนว่าถนัดวางโครงเรื่องและนำเสนอแบบไหน โดยแบ่งได้เป็น 3 รูปแบบ ได้แก่
-แบบคำถามคำตอบ
แบบนี้ผู้อ่านจะเห็นคำถามชัดเจนว่าผู้สัมภาษณ์ถามอะไร ผู้ให้สัมภาษณ์ตอบอะไร ซึ่งการใช้รูปแบบนี้โชว์กึ๋นผู้สัมภาษณ์พอดูว่าคำถามปลายเปิดเหล่านั้นตรงประเด็นหรือไม่ แต่ละคำถามตรงใจผู้อ่าน และมีความต่อเนื่องเชื่อมโยงกันหรือไม่ โดยส่วนใหญ่จะไม่ใช่คำถามพื้นๆ แต่เป็นคำถามที่เปิดโอกาสให้ผู้ให้สัมภาษณ์แสดงทรรศนะหรือข้อเท็จจริงได้อย่างเต็มที่
-แบบหัวข้อหรือประเด็นย่อย
แบบนี้ผู้อ่านก็ชอบเพราะไม่เหนื่อยที่จะต้องอ่านทั้งหมดโดยไม่มีใครสรุประเด็นให้ บางครั้งผู้อ่านสามารถเลือกอ่านตามหัวข้อหรือประเด็นย่อยได้ โดยผู้เขียนเลือกประเด็นย่อยๆ จากการจับประเด็นที่สัมภาษณ์มาตั้งเป็นหัวข้อกำกับคำตอบ ไม่จำเป็นต้องเรียงลำดับตามคำถามที่สัมภาษณ์จริงก็ได้ เป็นวิธีการที่ง่ายสำหรับผู้เขียนกรณีที่ถามคำถามสลับไปมา หรือผู้ให้สัมภาษณ์ตอบวกวน หรือตอบยาวจนมีหลายประเด็นในคำตอบเดียว เพราะผู้อ่านไม่เห็นคำถามอยู่แล้ว
-แบบเรียบเรียงเป็นเรื่อง
แบบนี้จะเหมาะกับการพูดคุยสนทนากันมากกว่าตั้งใจถามและตอบเพียงอย่างเดียว เหมือนผู้เขียนเล่าเรื่องจากการสนทนาระหว่างผู้สัมภาษณ์กับผู้ให้สัมภาษณ์ โดยจะเห็นอากัปกิริยา อารมณ์ความรู้สึก บุคลิกบางอย่างในบทสัมภาษณ์นี้มากกว่าสองแบบข้างต้น คล้ายๆ การเขียนเรียงความ สารคดีบุคคล หรือนิยายที่มีการบรรยายหรือพรรณนาถึงตัวละคร การเขียนรูปแบบนี้ผู้เขียนต้องมีทักษะการเขียนพอสมควรจึงจะสามารถถ่ายทอดคำพูดและตัวตนของใครคนหนึ่งให้ผู้อ่านรู้สึกสนุกและซึมซับในวัตถุประสงค์หรือเจตนาของผู้เขียนได้จากตัวอักษร ซึ่งหลักๆ คือ ต้องเล่าเรื่องสนุก สรรหาคำที่จะใช้ได้หลากหลาย อาจจะสอดแทรกคำถามของผู้สัมภาษณ์บ้าง หรือไม่มีเลยก็ได้ ขึ้นอยู่กับเทคนิคหรือลีลาการเขียน ความยากของแบบนี้อยู่ที่จะต้องทำให้บทสัมภาษณ์นี้เป็นก้อนเดียวกันทั้งเรื่อง มีเอกภาพ และประเด็นชัดเจน หากออกนอกประเด็น ก็จำเป็นต้องตัดทิ้งไปเลย เพื่อให้ผู้อ่านไม่หลงประเด็น และผู้เขียนเองก็ไม่สับสนด้วยว่าต้องการจะบอกอะไรกับผู้อ่าน
นอกจากนี้ในรูปแบบดังกล่าว ผู้เขียนยังสามารถถอดคำสัมภาษณ์เฉพาะคำตอบมาเรียงต่อกันให้อ่านอย่างลื่นไหลโดยปราศจากการพรรณนาใดๆ ของผู้เขียนก็ได้ แต่คำตอบนั้นจะต้องยอดเยี่ยมจริงๆ มีการเรียบเรียงคำตอบลำดับความคิดที่ดีอยู่แล้ว จึงจะสามารถใช้วิธีนี้ได้
สิ่งสำคัญไม่ว่าจะเขียนบทสัมภาษณ์ในรูปแบบใดก็ตามจะต้องคำนึงว่าธีม (theme) ตรงกับชื่อเรื่อง และประเด็นตรงกับที่เปิดเรื่องไว้ด้วย
การปิดเรื่อง
บทสัมภาษณ์บางชิ้นไม่มีการปิดเรื่อง โดยเฉพาะในรูปแบบคำถามคำตอบ ทิ้งไว้ผู้อ่านกลับไปคิดเอาเองจากคำถามสุดท้าย (ซึ่งไม่ควรตั้งคำถามสุดท้ายทำนองว่า “จะฝากอะไรทิ้งท้ายบ้าง” เพราะดูเป็นคำถามสิ้นคิดเกินไป) หรือหากเป็นแบบหัวข้อหรือประเด็นย่อยก็เช่นกัน การปิดเรื่องอาจจะเป็นหัวข้อสุดท้ายของบทสัมภาษณ์นั้น แต่ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะบางครั้งผู้อ่านต้องการการจบบริบูรณ์ คล้ายกับความรู้สึกกินข้าวอิ่มพอดี หรือมีความฟิน ฉะนั้นจึงต้องมีการสรุปปิดเรื่องด้วย
ส่วนรูปแบบสุดท้ายคือแบบเรียบเรียงนั้น การปิดเรื่องเป็นสิ่งจำเป็น เหมือนการเขียนเรียงความมี คำนำ เนื้อเรื่อง สรุป การปิดเรื่องก็คือการสรุปจบ เป็นเสมือนม่านที่ค่อยๆ ปิดฉากลงอย่างประทับใจ เป็นการสรุปรวบยอดว่าที่พูดคุยกันมาทั้งหมดนั้น ผู้สัมภาษณ์หรือผู้เขียนต้องการบอกอะไรกับผู้อ่าน ไม่ใช่นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า... ไม่ควรใช้การปิดเรื่องแบบสั่งสอนผู้อ่าน บทสัมภาษณ์ไม่ใช่คู่มือหรือบทเรียนสั่งสอน แต่การปิดเรื่องก็เพื่อให้ผู้อ่านรู้สึกว่าได้รู้จักชีวิตคนๆ หนึ่งมาพักหนึ่งแล้ว ตอนนี้เขาจะลากลับไปใช้ชีวิตที่เหลือของเขาแล้วนะ อย่าทิ้งไว้กลางทางดื้อๆ โดยไม่มีการล่ำลา อย่างน้อยก็เป็นการบอกให้รู้ว่าที่ผู้อ่านอ่านมาทั้งหมด อาจจะเกิดแรงบันดาลใจ แง่คิด หรือไม่เกิดอะไรเลยก็ตาม แต่ไม่เสียเวลาอ่านอย่างแน่นอน
การปิดเรื่องไม่จำเป็นต้องจบแบบ Happy Ending ซาบซึ้งสุขใจอย่างเดียว อาจจะจบแบบทิ้งคำพูดเด็ดๆ หรือการจากลาอย่างมีนัยสำคัญให้ผู้อ่านต้องติดตามชีวิตเขาต่อไปก็ได้ หรือจบด้วยโศกนาฏกรรมก็ยังได้เลย ขึ้นอยู่กับเรื่องราวที่สัมภาษณ์ อารมณ์ความรู้สึกและทัศนคติผู้เขียนที่จะพาผู้อ่านไปสู่จุดใด
โฆษณา