28 ม.ค. 2021 เวลา 07:28 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ความบิดเบี้ยวของโลกการลงทุนในยุค "Never Normal"
โลกกำลังเข้าสู่กระบวนการผลิตและแจกจ่ายวัคซีนต้านไวรัสครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ตลาดหุ้นก็เดินหน้าทำจุดสูงสุดใหม่ (All Time High) หลายประเทศ จากมาตรการกระตุ้นและเยียวยาเศรษฐกิจ ที่มาจากผลกระทบของนโยบาย Lockdown และ Social Distancing ที่ทำให้หลายๆธุรกิจได้รับผลกระทบเชิงลบ
4
แต่ขณะเดียวกัน ก็มีหลากหลายธุรกิจที่ปรับตัวทัน และได้รับผลบวกจากโลกในวิถีแบบใหม่นี้เหมือนกัน ซึ่งมันก็ได้เปลี่ยนเป็นโอกาสการลงทุนที่เผยออกมาอย่างรวดเร็วให้เราได้เห็นแบบที่หลายๆแทบจะไม่ทันตั้งตัว
2
นักลงทุนจำนวนมาก เพิ่งเข้ามาลงทุนในตลาดหลักจากวิกฤตการระบาดโควิด-19 ซึ่งผมเองก็ขอแสดงความยินดีด้วย หากคุณได้ผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา
แต่ความตั้งใจในการเขียนบทความนี้ของผมก็คือ ขอพาไปให้เห็นภาพอีกด้าน ซึ่งซ่อนอยู่ข้างหลังความสวยงามของผลตอบแทนที่เห็นอยู่ด้านหน้า
1
ส่วนมันคืออะไรนั้น ลองไปดูกันครับ
วิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป
จนถึงตอนนี้โลกเรารู้จัดไวรัสโควิด-19 มาเกิน 1 ปีแล้ว แต่สิ่งที่โลกยังไม่รู้คือ เราจะอยู่กับไวรัสโควิด-19 ไปอีกนานเท่าไหร่
ความเห็น CEO ของ Moderna เห็นด้วยกับเจ้าหน้าที่และผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขที่สหรัฐฯ ที่ระบุว่า โควิด-19 จะกลายเป็นโรคเฉพาะถิ่น ซึ่งหมายความว่า โควิด-19 จะอยู่ในแหล่งชุมชนต่างๆไปตลอดหลังจากนี้ แม้ว่าจะอยู่ในระดับต่ำกว่าที่ปรากฎในตอนนี้ก็ตาม
2
หากเป็นจริง ลองรวมกับปัจจัยเรื่องการผลิตและส่งมอบวัคซีนให้กับทุกคนในโลก ความเห็นส่วนตัว ผมเชื่อว่า เราจะยังอยู่กับไวรัสตัวนี้แบบต้องเฝ้าระวัง และทำ Social Distancing แบบนี้อีกอย่างน้อยๆก็ 1 ปีเต็มๆ
2
และหากกระบวนการผลิตและส่งมอบวัคซีนสะดุด อย่างสัปดาห์ทก่อนที่ทาง Pfizer ชี้แจ้งว่า ปริมาณการส่งมอบวัคซีนจะลดลงตั้งแต่ในช่วงปลายเดือนม.ค. นี้จนถึงต้นเดือนก.พ. ซึ่งจะส่งกระทบต่อการส่งมอบวัคซีนทุกประเทศในยุโรป สาเหตุหลักคือ บริษัทจะทำการปรับปรุงประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตวัคซีนให้ดีขึ้น และเหตุการณ์แบบนี้ อาจจะเกิดขึ้นอีกกับผู้ผลิตวัคซีนเจ้าอื่นๆ ก็เป็นไปได้
4
ดังนั้น เผื่อใจไว้ครับ (ซึ่งหลายคนอาจจะเผื่อใจไว้เต็มที่แล้ว)
2
ผลที่ตามมาของ New Normal World?
2
ผลก็คือ เราจะการอยู่บ้านมากขึ้น ทำกิจกรรมนอกบ้อนน้อยลง จนอาจจะกลายเป็นนิสัย ซึ่งการทำกิจกรรมน้อยลงนี้ เป็นไปได้ว่า เราจะใช้เงินในกระเป๋าที่หามาได้น้อยลงตามไปด้วย ผลจากการที่เราใช้เงินน้อยลง ก็ไปทำให้การหมุนของเงินในระบบ (Velocity of Money) หายไปส่วนหนึ่ง จากระบบเศรษฐกิจแบบเดิม
2
ยกตัวอย่าง เช่น กินข้างนอกบ้านน้อยลง ก็ให้ทิปพนักงานร้านน้อยลง พนักงานร้านก็รายได้ลดลง เอาเงินไปซื้ออย่างอื่นได้น้อยลง เสาร์อาทิตย์เขาก็อาจเดินเข้าห้างน้อยลง พอเข้าห้างน้อยลง ก็เดินช้อปปิ้งผ่านร้านป้าย Sale ตัวใหญ่ๆได้น้อยลง ขับรถน้อยลง ก็ใช้น้ำมันน้อยลง
4
เห็นไหมครับ ว่า เงินในระบบมันจะหมุนเวียนน้อยลง ตรงนี้ละครับ ที่ทำให้โลกเราเสี่ยงต่อภาวะเงินฝืด (Deflation Risk) โชคยังดีครับ ที่การพัฒนาของเทคโนโลยี โดยเฉพาะที่อยู่บนโทรศัพท์มือถือ มันช่วยโลกได้จังหวะมากๆ
3
ลองคิดว่า ถ้าเราต้องอยู่บ้านโดยที่ไม่มีแอฟสั่งอาหาร ถ้าเราต้องทำงานโดยที่ไม่มีแอฟประชุมออนไลน์ เราอาจจะหนักกว่านี้ก็ได้นะ
3
เอาเงินไปไว้ไหนดี เศรษฐกิจแบบนี้?
3
เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจมันพอไปได้ สิ่งหนึ่งที่ทุกธนาคารกลางทั่วโลกทำโดยพร้อมเพียงกันก็คือ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาอยู่ในจุดที่ใกล้เคียงกับระดับต่ำสุดในประวัติศาสตร์ เพื่อทำให้ต้นทุนกู้ยืมอยู่ในระดับต่ำ
2
ซึ่งผลข้างเคียงของมัน เลยทำให้ดอกเบี้ยฝั่งเงินฝาก และอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ต่ำเตี้ยตามไปด้วย
และเราก็ไม่อยากอยู่ในแหล่งเงินออมที่ผลตอบแทนต่ำแบบนี้ครับ คนจึงพยายามหาทางเลือกในการขยับเงินออมตัวเองออกไปลงทุน แต่ก็ไม่พร้อมลงทุนในธุรกิจที่มีเวลาคืนทุนที่นานเกินไป เพราะโลกแบบมีโควิดแบบนี้ยังบอกยากมากว่าควรจะลงทุนกับอะไร
1
ดังนั้น คนส่วนใหญ่เลยตัดสินใจเอาเงินไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงที่มีสภาพคล่องสูง หนึ่งในนั้นก็คือ “ตลาดหุ้น”
1
นี่เลยเป็นเหตุผลหลักเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องภายใต้สถานการณ์การระบาดของโควิด-19
3
ราคากองทุน Lyxor MSCI World
ปรากฎการณ์ Crown Trade เกิดขึ้นทั่วโลก ไล่ไปตั้งแต่การไล่ราคาหุ้น Free Float ต่ำอย่าง DELTA จนขึ้นมามี Market Cap เป็นอันดับสอง เป็นรองก็เพียง PTT อยู่ช่วงหนึ่ง
1
ราคาหุ้น DELTA ในตลาดหลักทรัพย์ไทย
กระแสตื่นทอง(ดิจิตอล) นักเก็งกำไรวิ่งเข้าไปลงทุนใน Cryptocurrency โดยเฉพาะเจ้า Bitcoin จนทำให้ ผลตอบแทนของ Bitcoin วิ่งขึ้นมามากกว่า 380% ภายในปี 2020 ปีเดียว
ราคา BITCOIN ในสกุลดอลล่าร์
หรืออย่างกรณีล่าสุด ราคาหุ้น Gamestop บริษัทร้านขายแผ่นเกมชื่อดังในสหรัฐ พุ่งขึ้นมาในเวลาไม่ถึงเดือนเกือบๆ 2,000% จากสาเหตุที่ชาวเน็ตใน Webboard ย่อยของ Reddit (1 ในเว็บบอร์ดที่มีคนใช้มากที่สุดในโลก) ที่ชื่อว่า WallStreetBets นัดรวมตัวกันซื้อหุ้น GME หรือ Gamestop นี่ละครับ เพื่อที่จะสู้กับ นักลงทุนสถาบันอย่าง Citron Research และ Melvin Capital ที่กำลังทำการ Short Sell หุ้นตัวนี้ เพราะมองว่าอนาคตมืดมัว
1
ราคาหุ้น Gamestop ใน NYSE
ซึ่งการวิ่งขึ้นของสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกนี้ ถ้าจะถามว่าเกิดจากอะไร นักลงทุนส่วนใหญ่ก็เห็นไปในทางเดียวกันว่า เกิดจากนโยบายการเงินของประเทศมหาอำนาจนั่นเอง
1
ขนาดงบดุลของธนาคารกลางทั่วโลก
ตั้งแต่ในอดีต โลกเราไม่เคยมีช่วงไหน ที่ธนาคารกลางจะมีขนาดงบดุลใหญ่ขนาดนี้มาก่อน และสาเหตุที่งบดุลมีขนาดใหญ่ ก็เพราะ วิกฤตการณ์ครั้งนี้ ต้องการการช่วยเหลือจากภาครัฐอย่างเร่งด่วน และเป็นวงกว้าง ซึ่งผลข้างเคียง หรือ Side Effect ก็อย่างที่เราเห็นครับ
ตราบใดที่เรายังต้องทำ Social Distancing หลายเมือง หลายประเทศยังจำเป็นต้องมีมาตรการ Lockdown เป็นช่วงๆ ตราบนั้น เราก็ต้องหาทางสร้างรายได้ … ซึ่งดูเหมือนว่า ตลาดหุ้น จะให้โอกาสนั้นกับทุกคน
สภาพคล่องจำนวนมาก กับ ปัญหาที่ตามมา?
3
ผลที่เกิดกับสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขนาดงบดุลของธนาคารกลางมากที่สุดในโลก็คือ ค่าเงินดอลล่าร์ มีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่อง ซึ่งนั้นจะช่วยเศรษฐกิจอเมริกาเองในระยะยาว และช่วยทำให้ขนาดของหนี้ที่สูงขึ้น ไม่สูงมากจนเกินไป
3
แต่ สิ่งที่นักลงทุนเริ่มพูดกันมากขึ้นในตลาดเวลานี้กลับไม่ใช่ความเสี่ยงเรื่อง “เงินฝืด” แต่เป็น “เงินเฟ้อ” หรือ Inflation ซึ่ง มันอาจน่าแปลกสำหรับใครหลายคนว่า จะมาพูดกันเรื่องเงินเฟ้อ ในวันที่เศรษฐกิจมันแย่ไปทำไม?
เพราะฐานเงินเฟ้อที่ต่ำของปีก่อนหน้า ราคาน้ำมันที่ต่ำเตี้ยตอนวิกฤตโควิด ไตรมาส 1/2020 และความจำเป็นต้องขึ้นราคาสินค้า เพราะขายได้น้อยลง แต่มีต้นทุนคงที่ที่ไม่ผันแปรตามยอดขาย เหตุผลเหล่านี้เอง ตลาดจึงกำลังจับตามองว่า มีความเสี่ยงขนาดไหนที่เงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้นนับจากนี้
2
ไปดูตัวเลขเงินเฟ้อคาดการณ์ โดยมองผ่าน 5-Year Inflation Expectation ของธนาคารกลางสหรัฐฯสาขาเซ็นหลุยส์ จะพบว่า คาดการณ์เงินเฟ้อขยับขึ้นมาเรื่อยๆเกิน 2% แล้ว
2
5-Year Forward Inflation Expectation Rate
ถ้าเงินเฟ้อมันมาจริงๆ แล้วรายได้ของเราเพิ่มขึ้นไม่เท่ากับอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ความเสี่ยงคือ purchasing power ของคนส่วนใหญ่ในระบบเศรษฐกิจจะลดลง
6
และปธน.คนใหม่ของสหรัฐฯ นายโจ ไบเดน ก็ดูเหมือนจะกังวลเรื่องนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ $1.9 Billion จึงถูกเปิดเผยออกมาในใน 2 สัปดาห์ก่อน ที่ดูมีความเสี่ยงว่าจะผ่านร่างฯลำบาก เพราะต้องการเสียงถึง 60 เสียงในวุฒิสภา เพื่อผ่านร่างที่เห็นชัดๆว่า จะทำให้สหรัฐฯมีปริมาณหนี้ที่พุ่งสูงปรี๊ดจากระดับปัจจุบัน
3
แต่ถึงจะไม่ผ่านวุฒิสภา Goldman Sachs ก็มีการคาดการณ์ว่า รัฐบาลของนายโจ ไบเดน จะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอีกอย่างน้อยๆ $600 billion (2.7% of GDP) ภายในครึ่งปีแรกของปีนี้
1
มาตรการเยียวยาแบบที่สหรัฐฯพยายามผลักดันในสภา กลายเป็นเรื่องปกติที่ทกประเทศต้องเดินตาม เพื่อให้เศรษฐกิจมันพอไปได้
2
ทั้งหมดนี้ เหล่าผู้นำมักจะบอกกับประชาชนว่า นี่เป็นเป็นทางเลือกที่ต้องทำ หากต้องการป้องกันทุกคนจากการเสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 (Lockdown + Stimulus Package)
เราก็เห็นกันอยู่แล้วว่า ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา โควิด-19 มันทำให้โลกการลงทุนในยุค Never Normal แบบนี้ บิดเบี้ยวไปขนาดไหน
1
และเราก็คงต้องหาคำตอบกันต่อไปว่า…
เมื่อไหร่มันจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ?
ภาวะปกติที่ว่านี่ ระดับราคาที่สมเหตสมผลของแต่สินทรัพย์ ควรอยู่ที่ตรงไหน?
หรือ จริงๆ ที่เราเป็นอยู่แบบนี่ละ คือ ความปกติในยุคถัดไปที่เราในฐานะนักลงทุนต้องเจอ?
อย่าประมาทนะครับ ช่วงนี้เห็นนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาในตลาดจำนวนไม่น้อย
จะลงทุนอะไร ลงทุนในสิ่งที่เราเข้าใจ และกระจายการลงทุนอย่างเหมาะสมด้วยครับ
แหล่งที่มาข้อมูล :-
2
Mr.Messenger รายงาน
โฆษณา