เมื่อออกไปไหนไม่ได้ ก็ขุดภาพเก่ามาเล่ายาวๆไป ก็ดีเหมือนกันเหมือนเป็นไดอะรีบันทึกความหลังว่าตอนนั้นชั้นทำอะไรบ้างน๊า...
.
.
ภาพนี้ถ่ายเมื่อปี 2013 เก่าจัดด นั่นคือการลางานเกือบ 10 วัน ไปเที่ยวยุโรปครั้งแรกค่ะ (ดี บริษัทไม่ไล่ออก) ตอนนั้นคือตื่นเต้นมากกกก จะได้ไปอังกฤษละโว๊ยย ซึ่งภาพที่คิดคือ อังกฤษ เมืองผู้ดี เมืองเก่าแก่ แล้วยิ่งเป็นคนชอบอ่านหนังสือ The Tudors และเป็นแฟนหนัง The Other Boleyn Girl ก็ไม่ต้องสืบเลยว่าจะอยากไปเห็นของจริงขนาดไหน
.
การเดินทางครั้งนี้ เราไปกันเองสองคน อาหลานค่ะ ด้วยความที่อาเราชอบเดินทางไปเที่ยวและทำงานที่อังกฤษบ่อยมาก จึงไม่มีความจำเป็นต้องจ้างทัวร์แต่อย่างใด เพราะด้วยปกติก็ไม่ได้ชอบที่จะต้องไปแหล่งท่องเที่ยวที่ "เป็นจุดเชคอิน" ของเหล่านักท่องเที่ยวทั้งหลายอยู่แล้ว
.
ความภาพที่คิดเอาเอง ต้องบอกว่าคิดเอาเอง! ก่อนไปเรามีความคิดว่าเค้าต้องใจดี nice ใช้ชีวิตช้าๆ ตามสไตล์เมืองผู้ดีแน่ หลังจากที่ลงจากรถแท๊กซี่เพื่อต่อ underground แน่นอน เราต้องเอ๋อกับการใช้บัตรโดยสารอยู่แล้ว เริ่มตั้งแต่เดินเข้าไปถามเพื่อทำการซื้อตั๋ว ก็เจอสไตล์การพูดที่กระโชกโฮกฮาก รวดเร็ว (เค้าไม่ได้ไม่สุภาพนะคะ) มาพร้อมสำเนียงบริทิช ที่กรูฟังไม่ออกกกก 55555 ก็ไปทำหน้า งงๆ เอ๋อใส่ ก็เค้าใจได้ว่าในชั่วโมงเร่งรีบ เจอคนแบบนี้มันจะเป็นยังไง ไหนจะการทำตัวเงอะๆเงิ่นๆ ในการเสียบบัตรโดยสารผิด ออกไม่ได้ ลำบากพี่รปภ.ต้องวิ่งมาดู พร้อมโดนดุไป 1 ทีด้วยสำเนียงอังกฤษ (ที่ก็ฟังไม่ทันอยู่ดี 55)
.
ณ ตอนนั้น เราไม่ใช่คนภาษาอังกฤษดีมากแบบฟังพูดปร๋ออ แต่ก็พอสื่อสารและเข้าใจได้ (เอาตัวรอดได้พูดง่ายๆ) การไปเที่ยวต่างประเทศ อาเราจึงมักจะให้เราไปติดต่อทุกอย่างเอง นั่นคือการฝึกของเค้า จากเหตุการณ์ใน underground มันเลยทำให้ภาพที่เราเคยเจอฝรั่งใจดีที่มาเที่ยวในประเทศไทย มันไม่ใช่เลยเวลาไปบ้านเค้า
.
อีกสิ่งที่คิดไปเองแล้วไม่ใช่ก็คือ วิถีชีวิตของชาวลอนดอน คิดเอง ว่าเค้าต้องชิล ชอบจิบน้ำชายามบ่าย พอได้ไปเดินแถว ห้าง Harrods แถว Bond Street คือเหมือนอยู่พารากอน คนเยอะมาก พลุกพล่าน วุ่นวาย
.
แต่ถามว่าชอบมั้ย ก็โอเคนะ เพียงแค่ผิดไปจากที่คิดแค่นั้นเอง
.
อีกหนึ่งแจ๊กพอต ที่อยากจะเล่าเพราะความ "คิดไปเอง" ก็คือ เห้ยยย อังกฤษ ลอนดอน เมืองผู้ดี ไม่มีขโมยหรอกก (ไปเอามาจากไหนก็ไม่เข้าใจตัวเอง) ความระมัดระวังตัวในเรื่องของสัมภาระก็เลยเรียกได้ว่าหล่ะหลวม เราเดินเล่น ถ่ายรูป ชิลมาก แทบไม่ค่อยระวังตัวเท่าไหร่
.
เหตุการณ์ที่ทำให้เราจำทริปนี่แม่นยำก็คือ โดนขโมยกระเป๋าลาก หลุยส์วิตตองใบเล็กที่ข้างในใส่อุปกรณ์การทำงาน Macbook แว่นตา ยาประจำตัวของอา ไปโดยที่แทบไม่รู้ตัว เหตุเพราะอยากจะลองไปนอนอพาร์ทเมนต์กันดู เพื่อลองเซฟค่าใช้จ่าย เพราะเรารู้สึกว่ามาตั้งสองคนไม่เห็นจำเป็นต้องนอนโรงแรมดีๆก็ได้ หาอพาร์ทเมนท์ดีๆซักที่ก็ได้น่าจะประหยัดลงเยอะ
.
เหตุการณ์เกิดขึ้นตอนเราจะเชคเอาท์ออกจากอพาร์ทเมนท์อาได้เดินไปทำการเคลียร์ค่าใช้จ่ายตรงล้อบบี้ โดยที่ให้เราเฝ้ากระเป๋าลากไว้ ความเผลอเรอ และสับเพร่าแหละ เราก็มัวเล่นโทรศัพท์โดยที่มีกระเป๋าลากวางอยู่ข้างๆตัว (ปกติเวลาไปเที่ยว ถ้าสถานที่นั้นเรารู้สึกว่าต้องระวังเป็นพิเศษ เราจะเป็นคนที่เอามือหรือแขนไม่วางก็คล้องกับกระเป๋าเดินทางตลอดเวลา เพื่อที่ถ้ามีใครทำอะไรใกล้ๆจะได้รู้สึกได้)
.
ครั้งนี้ไม่หง่ะ ลอนดอนปลอดภัย (ในความคิด) พออาทำธุระเสร็จและกำลังจะออกจากอพาร์ทเมนท์มือควานจะคว้ากระเป๋าลาก เชี่ย!!! กระเป๋าหาย โวยวาย ขอดูกล้องวงจรปิด กระบวนการของนางก็คือ นางมากัน 3 คน โดยมี 1 คนยืนข้างเรา แล้วอีก 2 คนยืนบังอา จากนั้นพอจังหวะเราเผลอ คนที่ยืนข้างเราก็ลากกระเป๋าเดินไปอย่างช้าๆ ย้ำว่า เดินช้าๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และอีกสองคนก็เดินตามออกไป เหตุการณ์นี้ห่างจากเวลาที่เราจะหันมาคว้ากระเป๋าแค่ ไม่ถึง 1 นาที เพราะพอรู้ตัวพนักงานอพาร์ทเมนท์วิ่งตามก็ไม่ทันแล้ว T^T
.
เราตกใจและช้อคมากก มือสั่น ร้องไห้ เพราะรู้มูลค่ากระเป๋าและของข้างในนั้นและความสำคัญมันเยอะมาก อาปลอบเราว่าไม่เป็นไร แล้วรีบไปแจ้งความและทำการอายัติบัตรเครดิต(ในนั้นมีเอกสารสำคัญหลายอย่าง) ต่างๆ ซึ่งสรุปแล้วก็คือตามกลับมาไม่ได้
.
เหตุการณ์เกิดระหว่างกลางของทริป แน่นอน มันทำให้อีก 5 วันที่เหลือแทบไม่สนุกไปเลย แม้อาจะพยายามมบิ้วให้มันสนุกก็ตาม
.
ต้องบอกว่ามันคือเรื่องเล่า มันคือประสบการณ์ที่เราเจอมา แต่ว่าไม่ใช่คนอังกฤษ คนลอนดอน ทุกคนจะเป็นแบบนั้น ในช่วงระหว่างทริปเราสนุกและพอหูเริ่มปรับ เริ่มฟังเข้าใจขึ้น เค้า nice และน่ารักมาก ซึ่งขโมยมันก็มีทุกที่ทุกประเทศนั่นแหละ
.
เรากลับมาเล่าให้พี่สาวเราคนนึงฟัง ซึ่งเค้าไปเรียนที่อังกฤษหลายปี และเป็นอีกหนึ่งคนที่ชอบเดินทางคนเดียวมากๆ สิ่งที่ได้กลับมาจากคำพูดของเค้าคือ "อีบ้า ยุโรปนี่ตัวดีขโมยเยอะจะตาย นี่ถ้าไปอิตาลีนะ บันเทิง" แค่อยากจะบอกว่าอย่าคิดไปเอง ภาพที่เห็นมันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเสมอไป อยู่ที่ไหนก็ควรศึกษาและระวังตัวให้ดี แต่ยังชอบที่นี่อยู่มั้ย ก็ยังชอบนะ
.
8 ปีแล้วจากเหตุการณ์ตอนนั้น ตอนนี้เชี่ยวละค่ะ โตขึ้นละ ทำงานกับคนอังกฤษมาก็มาก เค้าก็ยังเป็นคนสุภาพเหมือนที่ใครมักบอกว่าผู้ดีอังกฤษอยู่ดี อยากให้โควิดหายไวๆ ประเทศเค้าผู้ติดเชื้อน้อยลง เพราะนี่เริ่มเตรียมแพลนอยากกลับไปหาละนะ รอบนี้เธอไม่ได้แอ้มชั้นหรอกย่ะ คิดถึงนะ The Londoner