คือรูปกุเจี้ยวมันเป็นอะไรที่เรียกเสียงฮาได้มากสำหรับผู้หญิง เด็กผู้ชายในห้องเริ่มคุยกันอย่างออกรถ ของตูมันแบบนี้เว้ย โหยของตูเบี้ยวยังไม่อวดเลย ต่อตูมีขนด้วยนะเว้ย อย่างกะแมมมอส นั่น.. มีเอาพ่อมาอวดอีกตังหาก
.
ผมจำภาพเจ้าช้างน้อยในวันนั้นได้ ในเมื่อมันยังเด็กและไร้เดียงสา มันตัวเล็กน้อยน่ารัก และมีรูปร่างหน้าตาที่แตกต่างไปจากเพื่อนส่วนมาก เพราะผมคริบตั้งแต่ตอนเด็กๆแล้ว มันจึงไม่มีปลอดหุ้มกระเจี้ยว ทำให้หน้าตามันแปลกกว่าคนอื่น
.
หลังจากที่จบคาบนั้นแล้ว ก็เป็นเวลาพักการเรียนการสอนพอดี ผมก็เห็นเพื่อนหลายๆคนจับกลุ่มกันพูดถึงเรื่องเมื่อกี้ ด้วยความที่อยากมีตัวตนในสายตาของเธอๆทั้งหลาย ผมจึงพยายามแทรกตัวเข้าไปในวงสนธนานั้น
.
เด็กหญิงประถม : ไอ่แจ๊ส ของผู้ชายนี่เหมือนกับของอาจารย์พูดไหม ?
ไอ่แจ๊ส : กูก็ไม่มั่นใจวะ ไม่เคยตั้งใจดูสักที พวกเมิงว่าไงเหมือนไหม
.
คือจริงๆแล้ว มันก็อาจมีคนที่จำได้และอยากตะโกนออกมาว่า เอ่อ ของตูมันก็เหมือนเดิมแบบนั้นแหละ แต่อาจเพราะเราถูกสั่งสอนมาตลอดว่า จะต้องไม่พูดถึงเรื่องอะไรแบบนี้แบบเปิดเผย จึงไม่มีใครพูดอะไรออกมา มีเพียงแต่ความตื่นเต้นน้อยๆ อยากรู้อยากลองเพียงเท่านั้น
.
เด็กหญิงประถม : แต่กูเคยเห็นของน้องนะ ไม่เหม็นเหมือนที่อาจารย์เขียนเลย มันหน้าตาไม่เหมือนกันอะ
เด็กประถมชาย : เอ่อ จริงๆมันก็ไม่ค่อยเหมือนนะ
เด็กประถมชาย : หรือพอมันโตขึ้นและมันจะเปลี่ยนร่างนะ
( กระเจี้ยวนะเว้ย ไม่ใช่ปิกกาจู )
.
คือในรูปที่อาจารย์วาดเนี่ย มันเป็นร่างสมบูรณ์ของผู้ชายแบบไม่มีเปลือกหุ้ม แต่ผมอะมั่นใจว่าของตัวเองนะเหมือน ก็เลยทำในสิ่งที่ไม่มีใครมาคาดคิดมาก่อน
เด็กหญิงประถม : ว้ายยยย
เด็กชายประถม : เฮ้ย!! 5555+
เสียงตกใจที่ดังมาพร้อมเสียงหัวเราะ สร้างความภาคภูมิใจของผมที่ทำให้ตัวเองกลายเป็นจุดเด่นของห้อง จนทำไม่รู้สึกแปลกใจอะไรกับการพาน้องชายออกมาสวัสดีกับผู้คนเกือบทั้งห้อง
.
ใช่ครับ… ผมเปิดโชว์กระเจี้ยวของตัวเองให้ทุกคนดู..