28 ม.ค. 2021 เวลา 12:43 • ไลฟ์สไตล์
Blogger ผู้มองโลกในแง่ร้าย ผู้มองโลกในแง่ร้ายและความชิปหายในวัยเด็ก
ใช่ละครับ ผมถกกระเจี้ยงตัวเอง ออกมาโชวืให้ทุกคนในห้องดู
ผมเชื่อว่าทุกๆคนนั้น ล้วนแต่มีช่วงเวลาที่เรียกได้ว่าชิบหายในวัยเด็กมาก่อนทุกคน สำหรับตัวผมแล้วนั้น มีเรื่องที่น่าอับอายมากมายวายป่วง ซึ่งน่าแปลกที่ผมกลับจำมันได้ไม่กี่เหตุการณ์เท่านั้น ซึ่งเป็นอะไรที่น่าแปลกเป็นอย่างมาก แต่จากความอับอายทั้งหมดทั้งมวลของผมแล้วนั้น ผมจดจำมันได้อยู่ประมาณเรื่องสองเรื่อง ในตอนนั้นผมไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ในปัจจุบันพอย้อนกลับมาคิดถึงแล้วนั้น ผมคิดว่ามันเป็นอะไรที่ชิบหายเป็นอย่างมาก
..
ในตอนเด็กๆผมเป็นเนริด์ครับ เป็นไอ่เด็กจืดจางไม่มีสังคม ไม่มีใครอยากจะคบด้วย วันๆเอาแต่อ่านหนังสือเกมส์ที่แอบพกมาจากบ้าน เอาขึ้นมาอ่านบนโต๊ะบ้าง ใต้โต๊ะบ้าง เพื่อเรียกความสนใจว่าอาจมีใครสักคนที่อยากเข้ามาอ่านด้วย โชคร้ายที่ในห้องของผมไม่มีเด็กติดเกมส์เลย อาจเพราะว่าเกมส์ในตอนนั้นอาจเป็นอะไรที่ยังเข้าถึงได้ยากมั้ง
.
ไอ่เด็กเนริด์คนนี้ จึงมีวิธีเรียกร้องความสนใจอย่างอื่นที่มันไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่ ตอนนั้นจำได้ครับว่ากำลังเรียนวิชาอย่างสุขศึกษา และมันเป้นธรรมดาครับที่อาจารย์จะต้องสอนเรื่องเพศด้วย ก็พวกการกำเนิดลูกอะไรแบบนี้ละครับ
.
จำได้ว่าตอนนั้น เด็กผุ้หญิงในห้องต่างกรี้ดกร้าดกันไปมา ตอนที่ครูวาดรูปอวัยวะเพศของผู้ชาย ซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่เข้าใจหรอกว่ามันดูน่าสนใจตรงไหน มันก็แค่ไอ่จ้อยที่มีงวงๆออกมานั่นเอง หรือมันอาจดูรูปร่างชัดเจนกว่าตอนวาดรังไข่ของผู้หญิง เพราะแน่นอนว่าอาจารย์คงไม่วาดรูปจิมิบนกระดานแน่นอน แต่ดันวาดรูปกระเจี้ยวได้เนี่ยนะ
มันชวนกรี้ดกร้าดยังไง ถามจริง!!
คือรูปกุเจี้ยวมันเป็นอะไรที่เรียกเสียงฮาได้มากสำหรับผู้หญิง เด็กผู้ชายในห้องเริ่มคุยกันอย่างออกรถ ของตูมันแบบนี้เว้ย โหยของตูเบี้ยวยังไม่อวดเลย ต่อตูมีขนด้วยนะเว้ย อย่างกะแมมมอส นั่น.. มีเอาพ่อมาอวดอีกตังหาก
.
ผมจำภาพเจ้าช้างน้อยในวันนั้นได้ ในเมื่อมันยังเด็กและไร้เดียงสา มันตัวเล็กน้อยน่ารัก และมีรูปร่างหน้าตาที่แตกต่างไปจากเพื่อนส่วนมาก เพราะผมคริบตั้งแต่ตอนเด็กๆแล้ว มันจึงไม่มีปลอดหุ้มกระเจี้ยว ทำให้หน้าตามันแปลกกว่าคนอื่น
.
หลังจากที่จบคาบนั้นแล้ว ก็เป็นเวลาพักการเรียนการสอนพอดี ผมก็เห็นเพื่อนหลายๆคนจับกลุ่มกันพูดถึงเรื่องเมื่อกี้ ด้วยความที่อยากมีตัวตนในสายตาของเธอๆทั้งหลาย ผมจึงพยายามแทรกตัวเข้าไปในวงสนธนานั้น
.
เด็กหญิงประถม : ไอ่แจ๊ส ของผู้ชายนี่เหมือนกับของอาจารย์พูดไหม ?
ไอ่แจ๊ส : กูก็ไม่มั่นใจวะ ไม่เคยตั้งใจดูสักที พวกเมิงว่าไงเหมือนไหม
.
คือจริงๆแล้ว มันก็อาจมีคนที่จำได้และอยากตะโกนออกมาว่า เอ่อ ของตูมันก็เหมือนเดิมแบบนั้นแหละ แต่อาจเพราะเราถูกสั่งสอนมาตลอดว่า จะต้องไม่พูดถึงเรื่องอะไรแบบนี้แบบเปิดเผย จึงไม่มีใครพูดอะไรออกมา มีเพียงแต่ความตื่นเต้นน้อยๆ อยากรู้อยากลองเพียงเท่านั้น
.
เด็กหญิงประถม : แต่กูเคยเห็นของน้องนะ ไม่เหม็นเหมือนที่อาจารย์เขียนเลย มันหน้าตาไม่เหมือนกันอะ
เด็กประถมชาย : เอ่อ จริงๆมันก็ไม่ค่อยเหมือนนะ
เด็กประถมชาย : หรือพอมันโตขึ้นและมันจะเปลี่ยนร่างนะ
( กระเจี้ยวนะเว้ย ไม่ใช่ปิกกาจู )
.
คือในรูปที่อาจารย์วาดเนี่ย มันเป็นร่างสมบูรณ์ของผู้ชายแบบไม่มีเปลือกหุ้ม แต่ผมอะมั่นใจว่าของตัวเองนะเหมือน ก็เลยทำในสิ่งที่ไม่มีใครมาคาดคิดมาก่อน
เด็กหญิงประถม : ว้ายยยย
เด็กชายประถม : เฮ้ย!! 5555+
เสียงตกใจที่ดังมาพร้อมเสียงหัวเราะ สร้างความภาคภูมิใจของผมที่ทำให้ตัวเองกลายเป็นจุดเด่นของห้อง จนทำไม่รู้สึกแปลกใจอะไรกับการพาน้องชายออกมาสวัสดีกับผู้คนเกือบทั้งห้อง
.
ใช่ครับ… ผมเปิดโชว์กระเจี้ยวของตัวเองให้ทุกคนดู..
.
แต่ยังครับ นี่ยังเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเพียงเท่านั้น เพราะความชิบหายของจริงกำลังจะเริ่มต้นขึ้น เมื่อเหล่าเด็กผู้ชายเห็นว่าเด็กผู้หญิงแต่ละคน มีท่าทีเขิลอายพร้อมกับปิดหน้าปิดตากันว่าเล่น จึงเริ่มคึกคะนองเหมือนแกีงวัยรุ่น ที่ซิ่งรถแล้วไม่โดนตำรวจจับ
.
การเปิดทริปออนทัวร์ ฉบับงานจับมือทั่วทั้งชั้นจึงได้เริ่มขึ้น เด็กคนนึงพาไปผมออกทัวร์คอนเสริตจัดแสดงกระเจี้ยวตลอด 1 ชม ย้ำนะครับว่าทั่วทั้งชั้น ไม่ใช่แค่ในห้องเรียนของผมเท่านั้น นึกภาพคนโรคจิตในการ์ตูนนะครับ แต่เปลี่ยนเป็นเด็กใส่ชุดประถม แล้วมือก็จะอยู่ที่เป้ากางเกง พร้อมควักช้างน้อยออกมาโชว์ได้ทุกเมื่อ
.
ในตอนนั้นสารภาพเลยครับว่า ไม่อายเลยสักนิด หลังจากที่ทัวร์คอนเสริตครบแล้วนั้น ผมยังกลับมานั่งเรียนต่อด้วยความภาคภูมิใจ ว่ากระเจี้ยวของผมมันแปลกแหวกแนวและไม่เหมือนใคร หลังจากนั้นผมมีฉายาตามติดตัวมาว่า "ไอ่กระเจี้ยว" แบบเต็มตัว แล้วผมก็พอใจกับชื่อเล่นนี้ด้วย และยังคอยออกเดินสายคอนเสริต์อยู่เรื่อยมา
สีหน้าของผม ตอนได้รับฉายาว่า ไอ่กระเจี้ยว
.
หลังจากนั้นมาไอ่เด็กชายกระเจี้ยวก็เริ่มโตขึ้น และเริ่มมีจิตสำนึกเนื่องจากเรื่องสะเทือนจิตใจเรื่องนึง เมื่อเราเปิดคอนเสริตกับเหล่าเด็กนักเรียนเรียบร้อยแล้วนั้น เป้าหมายต่อไปที่เราจะเล่นนั้น แน่นอนครับ “ห้องพักครู”
.
คณะคอนเสริตเด็กชายกระเจี้ยวจึงได้เดินทางไปสู่ห้องพักครู ด้วยความคึกคะนองราวกับวัยรุ่นเสพยา เอาจริงๆวัยรุ่นเสพยายังไม่มีใครกล้าควักกระเจี้ยวออกมาโชว์เลย
.
จำได้เลยว่าเพื่อนผมเปิดประตูห้องให้ผมเดินไปเข้า ผมตั้งท่าควักช้างน้อยพร้อมกับตะโกนเสียงดัง “สวัสดีชาวโลก!!”
.
………… เงียบกริบ… จากที่ปรกติแล้วจะได้เสียงร้องตกใจเฮฮาจากคนรอบข้าง พร้อมกับท่าทีเขิลอายกับบรรดาเหล่าสาวๆ ผมกลับถูกมองกลับมาด้วยสายตาเย็นชาของเหล่ามนุษย์ป้าทั้งหลาย จำได้เลยว่าตอนนั้นแอร์เย็นมากครับ นอนจนเจี้ยวที่เล็กอยู่แล้วยิ่งเล็กเข้าไปใหญ่ ความรู้สึกเหมือนกำลังถือไม้จิ้มฟันไปสู้กับไดโนเสาร์ยังไงอย่างนั้น
.
อาจารย์มนุษย์ป้า : มันใช่ของเอาออกมาโชว์หรอ! ถ้ายังไม่เก็บจะเอาไม้ฟาดให้ใช้ไม่ได้อีกเลยทีไหม!!
เนี่ยแหละ ครูเค้าให้อารมณ์ประมาณนี้เลย
.
ในโลกของผมตอนนั้น จำได้เลยว่าแค่กระโดดข้ามรั้วแล้วโดนขอบรั้วกระแทกใส่แบบเฉียวๆ ก็เป็นอะไรที่เจ็บชิบหายจะตายอยู่แล้ว แล้วโดนไม้เรียวฟาดตายละชิบหายแน่ตู
.
จังหวะนั้นรีบเก็บเลยครับ บวกด้วยกับสายตาอำมหิตจำนวนมาก ต้องเริ่มมองหาที่พึ่งพา ผมจึงได้เรียวไปมองด้านหลังเพื่อหวังขอแรงช่วย
.
เชี่ย เพื่อนหายไปไหนหมด
.
บรรดามิตรรักและแฟนเพลงของผมทั้งหมด ต่างยืนขำหัวเราะท้องแข็งอยู่ด้านนอก โดยทิ้งให้ผมเจอโลกอันโหดร้ายแต่เพียงลำพัง
.
โชคดีที่เป็นแค่เด็ก เรื่องราวเหล่านี้จึงเป็นเพียงแค่เรื่องตลกที่จะหายไปในตามกาลเวลา ปัจจุบันผมก็จำเพื่อนกลุ่มนี้ไม่ได้แล้วด้วย ตอนนั้นน่าจะสมัยประถมเพียงด้วยซ้ำ
.
แต่เป็นอีก 1 ความทรงจำที่พอหลังจากหวนกลับไปคิดแล้วนั้น พูดได้เลยครับว่าชอบหายที่สุด นี่ทำลงไปได้ยังไงวะเนี่ย แทบกลืนหมากฝรั่งให้ติดคอตายไปให้รู้แล้วรู้รอด
.
ผู้อ่านทุกคนของผมละครับ ใครมีความทรงจำอะไรที่ชิบหายกันบ้าง อย่าลืมมาเล่าสู่กันฟังด้วยนะครับ จริงๆยังมีเรื่องชิบหายอีกเยอะ แต่ผมคิดว่าอันนี้นแหละเด็ดสุดนั่นเอง
.
สำหรับใครที่อ่านแล้วรู้สึกชอบใจ และเห็นว่าบทความของเรานั้นเป็นประโยชน์ ก็ขอฝากให้กด like และติดตาม รวมถึงคอมเม้นท์ เพื่อเป็นกำลังใจให้เราได้ทำคอนเท้น ที่ดียิ่งขึ้นต่อไป
โฆษณา