30 ม.ค. 2021 เวลา 02:00 • การศึกษา
" ทำไมต้องมี คติประจำใจด้วยล่ะ "
เราเป็นคนหนึ่งที่น่าจะรู้จักตัวเองดีพอสมควร ทุกครั้งที่มีคนถามเรื่องราวต่างๆของเราหรือมุมมองของเรา เรามักจะตอบได้อย่างรวดเร็วและมีแบบแผน
แต่มีคำถามหนึ่งที่มักกวนใจเราเสมอ "คติประจำใจของคุณคืออะไร"
งงมาก ทำไมต้องมีคติประจำใจด้วย หลายคนก็เป็นแบบเรา แล้วเขียนอะไรดี
"ทำวันนี้ให้ดีที่สุด" จัดไปแบบคลาสสิคละกัน บางทีเราก็เขียน "ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น" มาทรงๆนี้ตลอด หลังๆเริ่มรำคาญกับคำถามนี้ แล้วก็มานั่งคิดว่าทำไมต้องมีคติประจำใจด้วยล่ะ
1
สำหรับคนถามคำถาม การถามคติประจำใจเพราะอยากรู้ว่าเราเป็นคนยังไง อยากรู้ว่าเราใช้หลักอะไรในการดำเนินชีวิต บางทีคติเหล่านี้แหละจะบ่งบอกความคิดความรู้สึกของตัวเองชัดเจนมากกว่าคำอธิบายยืดยาว
สำหรับเราพอมานั่งคิดนอนคิดเรื่องนี้ ได้ใจความว่า Motto จริงแล้วก็คือสิ่งบ่งบอกว่าเรามีจุดเด่นอะไร อย่างเช่นการคิดสโลแกนของสินค้า นอกจากจะต้องจำง่ายแล้วจะต้องสื่อสารได้ว่าสินค้านั้นมีจุดเด่นอะไร
ส่วนคติประจำใจก็เช่นกัน ถ้าเค้ารู้คติประจำใจเค้าจะรู้ว่าเรามีจุดเด่นอะไร น่าสนใจอย่างไร และรู้ว่าเราเป็นคนอย่างไร ผ่านข้อความสั้นๆนั่นเอง
อีกอย่างหนึ่งคือคติประจำใจเอาไว้เป็นสิ่งยึดเส้นทางการดำเนินชีวิตของเรา เราใช้มันเมื่อหลงทาง หลายๆครั้งที่มานั่งคุยกับตัวเองว่า "เอาไงดีวะกู" น้ำตาไหลมากมายเมื่อเจอปัญหาที่ไม่รู้จะแก้ยังไง คติเหล่านี้แหละที่เรายึดเอาไว้จะมาคลี่คลายเสมอ
หลังจากผ่านความลำบากมาหลายครั้ง การติดสินใจอีกมากมาย ประสบการณ์ทั้งดี ร้าย กระทบจิตใจจนแข็งแกร่ง และทนต่อโลก มุมมองผ่านสายตาของเราคมกริบมากขึ้น และอายุอานามก็เพิ่มขึ้น สุดท้ายคำอธิบายยืดยาวมันจะหดสั้นลง และชัดเจนขึ้น
จริงๆแล้วเราไม่ได้เป็นคนเลือกคติประจำใจ คติประจำใจจะมาหาเราเอง
1
เราไม่ได้มีคติประจำใจเพราะมันเท่ห์ หรือฟังแล้วว้าว คติประจำใจของเราคือคำตอบเดิมๆที่เข้ามาแก้ไขปัญหาให้เรา
คติประจำใจที่เป็นของเราคือคำสั้นๆที่คอยพยุงเราให้ก้าวเดินต่อได้ในวันที่ไม่มีแรง
วันที่เข้าตาจน อะไรมาผลักเราให้ก้าวพ้นปัญหาเหล่านี้ได้...
" ครูครับ ทำไมครูใช้เครื่องคิดเลขได้ ผมจะใช้ ครูไม่ให้ผมใช้ " เสียงหนึ่งดังขึ้นหลังจากเรากำลังตรวจคำตอบที่เราถามในห้องเรียน
เมื่อเราเงยหน้าขึ้นมาก็พบหน้าตากวนๆของนักเรียนชายคนหนึ่งทำท่าเหมือนเสียเปรียบอะไรบางอย่าง
ความรู้สึกแรกคือจุกเหมือนกัน สำหรับครูคณิตศาสตร์ 'เราจะตอบเค้ายังไงดี' เราเริ่มสับสนในตัวเอง เราก็แค่จะบอกนักเรียนว่าข้อนี้เค้าตอบมาในห้องนั้นถูกไหม
" ถ้าผมตรวจคำตอบด้วยตัวเอง เดี๋ยวคิดแล้วผิดก็เฉลยเราผิดสิ " เราเอาตัวรอดอย่างแนบเนียนและทิ้งคำหล่อๆเอาไว้ให้นักเรียนสับสน แล้วจิ้มเครื่องคิดเลขต่ออย่างรวดเร็ว
"โห่ ครู ไม่แฟร์อะ ผมคิดในกระดาษตั้งนาน ครูคิดด้วยเดะ " เสียงท้าทายอีกเสียงหนึ่งพร้อมสนับสนุนทันทีเมื่อรู้ว่าเราเพลี่ยงพล้ำ
" ใช่ครู หนูคิดตั้งนานอะ ครูย้ำนักย้ำหนาไม่ให้ใช้เครื่องคิดเลข " เสียงน่ารักใสๆดังขึ้นต่อทันที ' นักเรียนคนเก่งของเราก็เสริมแรงด้วยหรอเนี่ย ' แย่แล้วเราเอาไงดี
ตึกๆ ตึกๆ เสียงหัวใจเราชัดมาก
' วิ้งงงงงงงงง ' เหมือนหูเราดับไปแป๊ปนึง เหมือนโดนลูบคม ความรู้สึกปนๆกันระหว่างหงุดหงิด โกรธ หัวร้อนนิดๆ งงๆ และคิดอะไรไม่ออก
แล้วอยู่ๆในหัวก็มีคำนึงที่เราได้ยินมานานแล้ว ดังขึ้นมาจากไหนก็ไม่รู้
' ตัวอย่างที่ดี มีค่ามากกว่าคำสอน '
สติสตางค์เรากลับมาทันที
1
ปัง! เราวางเครื่องคิดเลขลง แล้วหยิบกระดาษกับดินสอมาคิดด้วยมือ
1
เสียงในห้องเงียบไปเหมือนเวลาหยุดเดินไปพักหนึ่ง
เรานั่งคิดเลขด้วยมือจนเสร็จ " คำตอบคือ 4,325 ถูกต้องนะครับทุกคน "
เงยหน้าขึ้นมาพบกับสายตานักเรียนทุกคนจับจ้องเราไม่กระพริบ
นี่ไม่ใช่ความคาดหวังของพวกเค้า สิ่งที่พวกเค้าอยากเห็นคือครูหน้าแตก และหาทางแก้ตัวน้ำขุ่นๆเหมือนเคยๆ หรือประโยคอึกๆอั่กๆของเราที่จะได้เอาไปล้อเลียนต่อ
แต่สิ่งที่เราทำคือเราคิดด้วยมือเป็นเพื่อนเค้า ทำให้เค้าดูเป็นแบบอย่างเหมือนคตินั่นเลย และผลลัพธ์ที่ได้เกินความคาดหมายเราไปมาก เรากะจะทำให้เค้าดู เผื่อมีหลายคนสงสัยในการคำนวณของตัวเอง
" เชดดดดดดดดดดดดด เหมือนหล่ออะค๊าบบ " เสียงเดิมๆดังขึ้นมาทำลายความเงียบในห้องเรียนเช่นเคย
2
และห้องเรียนก็กลับมาสู่สภาวะครึกครื้นเหมือนเคย เราก็สอนตามบทเรียนต่อไป แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือสายตาของเค้าปนความนับถือเรามาด้วย และคำถามที่ทำให้เราจุกนี้ก็ไม่มีอีกเลย
โฆษณา