29 ม.ค. 2021 เวลา 12:40 • การศึกษา
จากคนบ้าสู่พระ อรหันต์
.
นางปฏาจาราเข้าเฝ้าพระพุทธองค์
พระอรหันต์ที่เป็น เอตทัคคะ ด้านพระวินัย
นางปฏาจาราเถรี
นางเป็นธิดาเศรษฐี40 โกฎิ (1โกฎิ=10ล้าน) อยู่ที่เมืองสาวัตถี แคว้นโกศล มีพี่ชาย1คน เป็นคนรูปสวย เมื่ออายุได้ 16 ปี บิดา-มารดา ก็จะให้เธอแต่งไปกับลูกเศรษฐีด้วยกัน แต่นางปฏาจารานั้นแอบมีความรักใคร่อยู่กับหนุ่มรับใช้ในบ้าน เมื่อใกล้วันแต่งงานเธอจึงไปบอกกับคนรักว่าเธอจะต้องแต่งงานแล้วไปอยู่ที่บ้านสามี นายจะไม่ทำอะไรเลยเหรอ? เราหนีกันไปมั้ย
คนใช้ก็ตอบตกลงพรุ่งนี้เช้าเขาจะไปรอที่ประตูเมือง พอรุ่งเช้านางก็ปลอมเป็นสาวใช้เอารำมาทาตัวใส่ผ้าของสาวใช้และเมื่อไปเจอหนุ่มรับใช้คนรักก็พากันหนีไปอยู่ในที่ห่างไกลนอกเมือง
แรกๆก็มีความสุขเพราะได้อยู่กับคนที่รัก แม้จะอยู่อย่างยากจนข้นแค้นก็ตาม สามีทุกวันก็ออกไปเก็บของป่า ต่อมาเธอก็ตั้งครรภ์และเมื่อเธอท้องแก่ใกล้ เธอก็อ้อนวอนสามีให้พากลับบ้านเพื่อจะไปคลอดลูกที่บ้านบิดา-มารดา แต่สามีไม่ไป เพราะเกรงจะได้รับโทษ
เมื่อสามีออกไปหาของป่าเธอจึงไปบอกคนแถวบ้านไว้ว่าถ้าสามีเธอกลับมาช่วยบอกเขาด้วยว่า เธอจะไปคลอดลูกที่บ้านบิดา-มารดาของเธอ แล้วเธอก็ออกเดินไป
เมื่อสามีกลับมารู้เรื่องของเธอจึงตามเธอไป จนทันเขาขอร้องให้เธอกลับกับเขาแต่เธอไม่กลับ และเธอรู้สึกปวดท้องจะคลอดลูก เธอเจ็บปวดทุรนทุรายในกลางดินนั้น สุดท้าย เธอก็คลอดลูกออกมาด้วยความยากลำบากระหว่างทางนั้นเอง และเมื่อคลอดลูกแล้วเธอคิดว่าคงไม่มีประโยชน์ที่จะกลับไปที่บ้านบิดา มารดาแล้ว เธอจึงตามสามีกลับไปบ้าน อยู่กันมาสักพักเธอก็ตั้งครรภ์คนที่ 2 และ เมื่อใกล้คลอดเธอก็ขอร้องสามีให้พากลับไปคลอดลูกอีก สามีก็ไม่ไปอีก
2
ขณะนั้นลูกคนโตเพิ่งจะหัดเดิน เมื่อสามีออกไปป่า เธออุ้มลูกออกจากบ้านมุ่งไปเมืองสาวัตถี หวังจะไปคลอดลูกที่บ้านบิดามารดา สามีกลับมาบ้านรู้ว่าเธอไปบ้านก็ตามไปทัน ชวนกลับเธอก็ไม่กลับ เธอปวดท้องจะคลอดลูกอีก ลมฝนฟ้าร้องลูกก็ร้องไห้กลัวเสียงฟ้า เธอจึงบอกสามีให้ไปตัดไม้มาทำที่พักหลบฝน เธอทั้งปวดท้องจะคลอดทั้งกอดลูกไว้ไม่ให้โดนฝนเกิด ทุกขเวทนาเป็นอย่างยิ่ง สามีเธอไปตัดไม้ใกล้จอมปลวกก็โดนงูพิษฉก พิษเข้าตัวตายในเวลาไม่กี่นาที เหมือนผีซ้ำกรรมชัด นางก็คลอดลูกออกมาได้อย่างยากลำบากในที่สุด แล้วก็นั่งกอดลูกทั้งสอง ตากฝนจนเช้าจนร่างเธอขาวชีด
เมื่อฝนหยุดตกแล้วเธออุ้มทารกและจูงคนโตบอกลูกว่า " พ่อไปทางนี้เราไปตามพ่อกันเถอะ" เดินไปก็เห็นศพสามีที่เขียวคล้ำและแข็งเกร็ง เธอเสียใจมาก และโทษตัวเองว่าเป็นเพราะเธอให้เขาไปตัดไม้เขาจึงต้องมาตายในที่เปลี่ยว เธอตัดใจจากไป
เธอเดินทางจะไปหาบิดามารดา อุ้มลูกทั้งสองมาด้วยความเศร้าโศก มาถึงแม่น้ำอิรวดีจากปกติน้ำจะลึกถึงเข่าแต่เมื่อฝนตกทั้งคืนน้ำจึงไหลเชี่ยว น้ำเพิ่มขึ้นถึงระดับหน้าอก เธอเห็นว่าคงจะเอาลูกข้ามไปทีเดียวไม่ ไหวเพราะเธอเองก็ยังอ่อนเพลียจากการคลอดบุตร เธอบอกลูกคนโตให้รอแม่อยู่ฝั่งนี้ก่อนเดี๋ยวแม่จะมารับ เมื่อถึงอีฝั่งและไปหักกิ่งไม้ใบไม้มารองลูกคนเล็กเสร็จเธอก็กลับมารับลูกคนโตอีกฝั่ง เธอมาถึงกลางลำธารก็มีเหยี่ยวโฉบลงมาที่ลูกเธอ เธอจึงยกมือพร้อมส่งเสียงไล่เหยี่ยวแต่ก็ไม่เป็นผล มันจับลูกคนเล็กและบินหายไป
ส่วนลูกคนโตเมื่อเห็นแม่ยกมือส่งเสียงก็คิดว่าแม่เรียกก็เลยก้าวลงน้ำและถูกน้ำพัดหายไปต่อหน้านางปฏาจารา เธอได้แต่ร้องไห้ขึ้นฝั่งไปรำพึงรำพันด้วยความเสียใจแทบเสียสติ
บุตรของเราคนหนึ่งถูกเหยี่ยวเฉี่ยวไป,คนหนึ่งถูกน้ำพัดไป,สามีก็ตายในที่เปลี่ยว,
นางเดินร้องไห้รำพึงรำพันจนถึงนอกเมืองสาวัตถี มีชายคนหนึ่งเดินสวนมาถามว่านางจะไปในเมืองสาวัตถีเหรอ?
นางตอบว่าใช่ จะไปเยี่ยมบ้านตระกูลเดิม
ชายดังกล่าวบอกอีกว่า "มีบ้านเศรษฐี พายุพัดบ้านเรือนพังพินาศทับคนตายทั้งสามคนพ่อแม่ลูก และเผาในเชิงตะกอนเดียวกันช่างหน้าเศร้ายิ่งนัก "
1
เมื่อเธอถามชื่อเศรษฐีปรากฎว่าเป็นครอบครัวเธอ ทำให้นางปฏาจารา ไม่อาจตั้งสติอยู่ได้ เธอหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง เธอร้องไห้คร่ำครวญ ทั้งกลิ้งเกลือกไปตามพื้นดิน ผ้านุ่งป้าห่มหลุดลุ่ย แต่นางไม่ได้สนใจเดินตัวเปล่าเป็นคนบ้าไปแบบไร้ทิศทาง
 
ในขณะที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรวจญาณไป ได้ทอดพระเนตรเห็นผู้บำเพ็ญบารมีมาแสนกัปล์สมบูรณ์ด้วยอภินิหารเดินมาอยู่
ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ นางปฏาจารานั้น เห็นพระเถรีผู้ทรงวินัยรูปหนึ่ง อันพระ ปทุมุตตระได้ทรงตั้งไว้ในตำแหน่ง เอตทัคคะ จึงตั้งความปรารภนาไว้ว่า
"แม้หม่อนฉัน พึงได้ตำแหน่งเลิศกว่า พระเถรีผู้ทรงวินัยทั้งหลายในสำนักพระพุทธเจ้าเช่นดับด้วยพระองค์"
พระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ทรงเล็งอนาคตังสญาญไป ก็ทราบว่าความปรารภนาของเธอจะสำเร็จ จึงพยากรณ์ว่า
"ในอนาคตกาลหญิงผู้นี้จะเป็นผู้กว่าพระเถรีผู้ทรงวินัยทั้งหลาย มีนามว่าปฏาจารา ในศาสนาของพระโคดม"
พระศาสดาทรงเห็นนางผู้มีความปรารภนาตั้งไว้แล้วอย่างนั้น จึงดำริว่า
"เว้นเราเสีย ผู้อื่นชื่อว่าสามารถจะเป็นที่พึ่งของหญิงผู้นี้ได้ ไม่มี" จึงทำให้นางบ่ายหน้าสู่มหาวิหารเชตวัน เมื่อชนทั้งหลายเห็นนางปฏาจาราเดินมาด้วยร่างกายเปล่าเปลือย จะเข้ามาในวิหารเชตวัน ต่างก็ร้องห้ามและไล่เธอออกไป
"ท่านทั้งหลายอย่าให้หญิงบ้าเข้ามาที่นี่เลย"
พระศาสดาตรัสว่า
"พวกเธอจงหลีกไป อย่าห้ามเธอ"
ในเวลาเธอเข้ามาใกล้จึงตรัสว่า
"จงกลับได้สติเถิดน้องหญิง"
เธอได้สติด้วยพุทธานุภาพ และรู้ตัวว่าไม่มีป้านุ่งห่มจึงรู้สึกอายรีบนั่งกระโหย่ง ขณะเดียวกันมีผู้ชายคนหนึ่งโยนผ้ามาให้เธอใส่
เมื่อนุ่งเรียบร้อยแล้วเธอเข้าไปถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษย์ ที่พระบาทที่มีพรรณะดั่งทองคำแล้วทูลว่า
"ขอพระองค์จึงเป็นที่พึ่งแห่งหม่อมฉันเถิดพระเจ้าข้า, เพราะว่าเหยี่นวเฉี่ยวบุตรคนหนึ่งของหม่อมฉันไป, คนหนึ่งถูกน้ำพัดไป,สามีตายในที่เปลี่ยว,มารดาบิดาและพี่ชายถูกเรือนทับตาย เขาเผาในเชิงตะกอนเดียวกัน"
2
พระศาสดาทรงสะดับคำของเธอแล้วทรงตรัสว่า "อย่าคิดเลย ปฏาจารา เธอมาสู่สำนักของผู้สามารถเป็นที่พึ่งพำนักอาศัยของเธอได้แล้ว เหมือนอย่างว่าบัดนี้ บุตรคนหนึ่งของเธอถูกเหยี่ยวเฉี่ยวไป , คนหนึ่งถูกน้ำพัดไป, สามีตายในที่เปลี่ยว, มารดาบิดาและพี่ชายถูกเรือนทับตาย ฉันใด น่ำตาที่ไหลออกของเธอผู้ร้องไห้อยู่ในสงสารนี้ ในเวลาที่ปิยชนมีบุตรตายเป็นต้น ยังมากกว่าแม่น้ำมหาสมุทรทั้งสี่ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน"
1
ดังนี้แล้วจึงตรัสคาถานี้ว่า
"น้ำในมหาสมุทรทั้งสี่ มีประมาณน้อย น้ำตาของผู้มีทุกข์ ถูกต้องแล้วเศร้าโศกเสียใจมิใช่น้อย มากกว่าน้ำตาในมหาสมุทร เหตุใดเธอจึงประมาทอยู่เล่า? แม่น้อง "
เมื่อพระศาสดาตรัส อนมตัคคปริยสูตร อยู่อย่างนั้น ความโศกเศร้าของเธอก็เบาบางลง
ลำดับนั้นพระศาสดาทรงทราบว่านางมีความโศกเศร้าเบาบางลงแล้ว ทรงเตือนอีกแล้วตรัสว่า
"ปฏาจารา ขึ้นชื่อว่าปิยชน มีบุตรเป็นต้น ไม่อาจเป็นที่ต้านทานเป็นที่พึ่ง หรือที่ป้องกัน ของผู้ไปสู่ปรโลกได้ เพราะฉะนั้น บุตรเป็นต้นเหล่านั้นถึงมีอยู่ ก็ชื่อว่าย่อมไม่มีทีเดียว ส่วนบัณฑิตชำระศีลแล้ว ควรชำระทางที่ยังสัตว์ให้ถึงนิพพานของตนเท่านั้น "
เมื่อทรงแสดงธรรมได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า" บุตรทั้งหลายไม่มีเพื่อต้านทาน,บิดาก็ไม่มี, ถึงพวกพ้องก็ไม่มี,เมื่อบุคคลถูกความตายครอบงำ แล้วความต้านทานในญาติทั้งหลายย่อมไม่มี บัณฑิตทราบอำนาจประโยชน์นั้นแล้ว สำรวมในศีล พึงชำระทางไปนิพพานโดยเร็วทีเดียว"
เมื่อเทศนาจบ นางปฏาจาราเผากิเลสมีประมาณเท่าฝุ่นในแผ่นดินใหญ่ แล้วตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ชนแม้เหล่าอื่นบรรลุอริยผลทั้งหลาย โดยมีโสดาปัตติผลเป็นต้นดังนี้แล
3
นางปฏาจาราทูลขอบวช พระศาสดาทรงส่งเธอไปสำนักภิกษุณีให้บรรพชาแล้ว
งวันกนึ่งนางเอาหม้อตักน้ำล้างเท้า เทน้ำลงน้ำนั้นไหลไปหน่อยหนึ่งแล้วก็ขาด ,ครั้งที่2 น้ำที่นางเทลงไป ไหลไกลกว่านั้น, ครั้งที่ 3 น้ำที่เทลงได้ไหลไปไกลกว่านั้น ด้วยประการฉะนี้แล นางถือเอาน้ำนั้นแลเป็นอารมณ์ กำหนดวัยทั้ง 3 แล้วคิดว่า สัตว์เหล่านี้ตายเสียในปฐมวัยก็มี เหมือนน้ำที่เราเทลงครั้งแรก ตายเสียในมัชฌิมาวัยก็มี เหมือนน้ำที่เราเทลงครั้งที่ 2 ไหลไปไกลกว่านั้น , ตายในวัยปัจฉิมวัยก็มี เหมือนน้ำที่เราเทลงไปในครั้งที่ 3 ไหลไปไกลแม้กว่านั้น
พระศาสดาประทับอยู่ในคันธกุฎี ทรงแผ่พระรัศมีไปประหนึ่งว่าประทับยืนอยู่เฉพาะของเธอตรัสว่า "ปฏาจารา ข้อนั้นอย่างนั้นว่าด้วยความเป็นอยู่ วันเดียวก็ดี ขณะเดียวก็ดี จองผู้เห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมลงของปัญจขันธ์เหล่านั้น ประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ 100 ปี ของผู้ไม่เห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมของปัญจขันธ์"
ตรัสคาถานี้ว่า "ก็ผู้ใดไม่เห็นความเกิดขึ้นอละความเสื่อมอยู่พึงเป็นอยู่ 100 ปี ความเป็นอยู่วันเดียวของผู้เห็นความเกิดและความเสื่อม ประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ของผู้นั้น"
🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏
3
นางปฏาจาราเป็นพระอรหันต์ที่เป็นเลิศด้านวินัยค่ะ เอตทัคคะหมายความว่าเป็นเลิศ ค่ะ
ตกหล่นประการใดก็ขออภัยค่ะ ถ้าชอบหรือจะติชมก็คอมเม้นท์มาได้เลยค่ะ
โฆษณา