30 ม.ค. 2021 เวลา 01:01 • การศึกษา
คำว่า “ แมว 9 ชีวิต ” มีที่มาที่ไปอย่างไร ?
แน่นอนว่าใครหลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “ แมว 9 ชีวิต/แมวมี 9 ชีวิต ” ผ่านหูมาตั้งแต่เด็ก หรือ ทุกวันนี้ก็ยังคงได้ยินกันในชีวิตประจำวันกันอยู่
จนอาจทำให้เกิดความสงสัยเกิดขึ้นมาว่า “ แมวตายแล้ว ฟื้นขึ้นได้เหรอ ” หรือ “ แมวเป็นอมตะเหรอ ” มันจะเป็นไปได้ยังไง ถ้าหากว่าไม่ใช่แมวตัวนี้...
ภาพจาก Pinterest
ใช่ไหมครับ?
อันที่จริงแล้วที่มาที่ไปของคำว่าแมว 9 ชีวิตนี้ ก็ยังไม่ปรากฏแน่ชัดว่ามีที่มาที่ไปมาจากไหน แต่ถ้าเรามาลองคาดเดาความน่าจะเป็นของต้นกำเนิดของแมว 9 ชีวิต
อาจมาจากการที่คนโบราณสมัยก่อนได้เห็นแมวตกจากที่สูงแล้วไม่ตาย จนทำให้เผลอคิดว่าแมวเป็นสิ่งมีชีวิตที่ตายยากและอาจมีมากกว่า 1 ชีวิต
ซึ่งเป็นที่มาของตำนานแมว 9 ชีวิต หรือ ในบางชาติเช่น สเปน ก็เชื่อกันว่าแมวมี 7 ชีวิต หรือ บางชาติอย่าง ตุรกีหรือแถบอาหรับ ก็เชื่อกันว่าแมวมี 6 ชีวิต
แถมคำว่า “แมว 9 ชีวิต ” ก็ยังมีหลักฐานในตำนานที่เกี่ยวกับแม่มดด้วย ซึ่งเนื้อหามีอยู่ในหนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า “ Beware the Cat ” ( ระวังเจ้าแมวเหมียว )
ของนักเขียนอย่าง วิลเลียม บัลด์วิน ในช่วงยุคมืดปี 1584 โดยจะมีวลีที่บอกว่า “ มันได้รับอนุญาตให้แม่มดตนหนึ่งพรากวิญญาณแมวไปจากเธอได้ 9 ครั้ง ”
https://hannahkate.net/wp-content/uploads/2015/08/beware-the-cat.jpg
นอกจากนั้นแล้วในช่วงยุคมืดนี้เอง ก็ได้มีการผูกโยงเรื่องราวของแม่มดว่าสามารถกลายร่างเป็นแมวดำได้ เป็นเหตุทำให้แมวดำจำนวนมากถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม
แต่ด้วยความที่แมวดำมีเยอะมาก เดินทางไปที่ไหนก็เจอแมวที่หน้าตาเหมือน ๆ กัน จนบางทีเข้าใจผิดคิดว่าแมวทั้งหลายที่ฆ่าไปยังไม่ตาย เพราะอิทธิฤทธิ์ของแม่มด ซึ่งทำให้แมวมีถึง 9 ชีวิตนั่นเอง
แต่หากเราดึงเอาหลักวิทยาศาสตร์มาพูดแล้ว เราก็สามารถอธิบายถึงเรื่องแมว 9 ชีวิต ได้ง่ายๆ เรื่องนี้เรียกได้ว่า มันคือความสามารถพิเศษเฉพาะตัวของน้องเหมียวแบบที่ใครก็ลอกเลียนแบบไม่ได้จริง ๆ
การที่น้องแมวตกมาจากที่สูงแล้วแทบไม่ได้เกิดผลกระทบอะไรต่อร่างกายนั้น เป็นเพราะร่างกายของน้องแมวถูกสร้างมาให้มีความสามารถในการทรงตัวและกลับตัวกลางอากาศได้อย่างอัตโนมัติตามสัญชาตญาณ เมื่อน้องแมวเสียการทรงตัวและตกลงมาจากที่สูง
ภาพจาก Pinterest
น้องแมวจึงสามารถเอาเท้าลงมาที่พื้นได้ทุกครั้ง ดังนั้นเมื่อน้องแมวพลัดตกลงมา สัญชาตญาณกลับตัวกลางอากาศจะเริ่มทำงานทันทีด้วยเวลาชั่วพริบตาเพียงแค่ 0.1 วินาที (หรือเสี้ยววินาที)
โดยความสามารถอันน่าทึ่งนี้ถูกควบคุมจากอวัยวะที่ชื่อ Vestibular Apparatus ซึ่งเป็นอวัยวะที่อยู่ในหูชั้นในของน้องแมว คอยทำหน้าที่ควบคุมสมดุลการทรงตัวและการกลับของน้องแมวนั่นเอง
และความพิเศษยามเมื่อน้องแมวกลับตัวเรียบร้อยแล้วและขาแตะถึงพื้นแล้ว ขาทั้ง 4 ข้างยังทำหน้าที่คล้ายกับสปริง ทำให้ลดแรงกระแทกกับพื้นได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
ภาพจาก Pinterest
แล้วหากน้องแมวตกลงมาจากที่สูง ๆ จะเป็นอะไรหรือเปล่า?
คำถามนี้เป็นที่สงสัยกันจนต้องมีนักวิจัยอย่าง Jared Diamond ที่ได้ทำการศึกษาหาคำตอบว่าน้องแมวสามารถตกจากตึกสูงกี่ชั้นถึงจะปลอดภัยและตกจากตึกกี่ชั้นถึงจะเสียชีวิต
โดยได้ศึกษาจากกรณีแมวพลัดตกตึกตั้งแต่ 2 – 32 ชั้น โดยมีแมวรวมกันทั้งหมด 104 ตัว ผลการศึกษาพบว่าน้องแมวที่ตกลงจากชั้นประมาณ 4 – 9 นั้นกลับมีโอกาสบาดเจ็บและเสียชีวิตมากที่สุด ไม่ใช่น้องแมวที่ตกมาจากชั้นสูงๆ เช่น ชั้นที่ 32 เลย
โดยสาเหตุที่เป็นเช่นนี้เป็นเพราะว่า ความสูงตั้งแต่ชั้น 9 เป็นต้นไป จะเป็นความสูงระดับที่มากพอให้เกิดแรงต้านอากาศและมีเวลาในการตกเหลือพอให้น้องแมวได้จัดร่างกายพร้อมรับแรงกระแทกบนพื้น
ประกอบกับน้องแมวมีน้ำหนักตัวที่น้อยจึงทำให้แรงปะทะเมื่อถึงพื้นไม่มากนัก และทำให้การบาดเจ็บนั้นไม่ถึงแก่ชีวิตนั่นเอง
แต่ในระดับความสูงตึกชั้นที่ 4 – 9 นั้น แม้จะมีแรงต้านอากาศช่วย แต่ความสูงที่น้อยลงทำให้น้องแมวมีเวลาไม่มากพอจะจัดท่าเตรียมรับแรงกระแทกได้อย่างสมบูรณ์
ทำให้ช่วงระหว่างชั้นนี้เมื่อน้องแมวตกลงมาแล้วมีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าชั้นสูงๆ แต่สำหรับชั้นที่ต่ำกว่าชั้น 4 แม้ว่าจะมีช่วงเวลาตกจะสั้นมาก แต่ด้วยความสูงที่ไม่มากนักทำให้แรงกระแทกไม่มากตามไปด้วย แมวจึงไม่เสียชีวิตนั่นเอง
แต่สุดท้ายแล้วเราก็ให้แมวนอนขี้เซาอยู่เฉย ๆ ดีกว่าที่จะไปดิ่งพสุธาแล้วกันเนอะ 😁
#โลกหนึ่งใบล้านเรื่องราว
#แมว
โฆษณา