31 ม.ค. 2021 เวลา 12:40 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
วิจารณ์ Fight Club (1999) “Everything is a copy of a copy of a copy.”
- ทุกสิ่งในโลกย่อมมีปัจจัยด้านบวก ด้านลบ ทั้งแบบนามธรรมและรูปธรรม ตามแบบธรรมชาติเห็นสมควรและสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น คนเราจึงต้องศึกษาพัฒนาชีวิตทั้ง 2 ด้านเพื่อให้มีดุลยภาพในการดำเนินชีวิต แต่เมื่อเราคิดต่าง และเต็มใจที่จะฝ่าฝืนสิ่งที่สังคมจัดระเบียบไว้แล้วล่ะ เป้าหมายและทางเดินชีวิตของเราจะเป็นไงต่อ ?
**ความเป็นจริงเราทำได้แค่เพียงเฝ้าดูและปฏิบัติตามกรอบที่ถูกขีดไว้ตามแบบที่ควรเป็นไป**
- เชื่อว่าหากคิดที่จะกล่าวถึงหรือแสดงความเห็นเกี่ยวกับ Fight Club แล้วละก็ ถือว่าละเมิดกฎข้อแรก เป็นที่เรียบร้อย แต่นี่ไม่ใช่โลกของความเป็นจริง มันก็แค่นั้น...
- หลังจากที่ได้รู้จักและได้ดูหนังเรื่องนี้ในหลายๆรอบของหลายๆรอบ ตลอดช่วง 9 ปีที่ผ่านมานั้น จะเรียกว่าสร้างออกมาเพื่อความเพลิดเพลินเพียงอย่างเดียวก็คงไม่ใช่ เพราะมันสามารถนำไปวิเคราะห์ เขียนวิทยานิพนธ์ หรืองานวิจัย ในระดับ Masterpiece ชิ้นนึงเลยก็ว่าได้ **นอกจากนี้ยังถือเป็นสิ่งที่ช่วยเยียวยาจิตใจได้ดี เมื่อใดที่รู้สึกอ่อนล้า ห่อเหี่ยวกับชีวิตและห่างไกลจากความเป็นตัวเอง เรื่องนี้สามารถตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะตัวผมเอง**
- หนังเล่าถึงชายหนุ่มมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่ง ซึ่งประสบปัญหาโรคนอนไม่หลับแบบเรื้อรัง มาอย่างยาวนานและเบื่อกับชีวิตที่เป็นอยู่ งาน และความกดดันจากสังคมในเมือง ที่ทำให้เขาอ่อนแอเต็มทน จากผลิตผลของการยึดติดแบบเดิมๆเช่น การซื้อของที่ไม่จำเป็น, สิ่งที่คนอื่นมีผมก็ต้องมี ,ความอยากที่ไม่รู้จักจบสิ้น เป็นต้น ทำให้เขาพยายามค้นหาคำตอบหาทางออกให้กับชีวิตและปัญหาสุขภาพของตัวเอง (Everyday exactly the same) ด้วยคำถามและคำสารภาพมากมายที่ผุดขึ้นในหัว ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาลุกโซ่ทางความคิด อารมณ์ และการแสดงออก ที่จะทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงตลอดไป
- Fight club คือหนังปรัชญาแบบดิบๆ เชิงผสมผสานที่มีความพอเหมาะ พอควร และถูกจังหวะ ในการสำรวจสภาพจิตใจและการตีแผ่ด้านมืดออกมา กับความจริงที่ว่าคนเราไม่ค่อยชอบที่จะเป็นตัวเอง และมีความอยากได้อยากเป็นคนที่เราจินตนาการหรือฝันไว้ในอีกตัวตนนึง เหมือนกับเหรียญที่มี 2 ด้าน พอจะเป็นตัวเองก็กลัวสังคมไม่ยอมรับ เหมือนชีวิตถูกตั้งโปรแกรมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว หากผิดแผกไปจากคนอื่นที่เป็นอยู่ถือว่าผิด จึงต้องไหลไปตามน้ำ เป็นมนุษย์ Copy ที่หลุดออกมาจากเครื่องถ่ายเอกสาร (Copy จากคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่ง ตามรูปแบบชีวิตเดิมๆ) ความเสรีที่มีก็เป็นเพียงสิ่งจอมปลอมที่เราแสร้งทำให้รู้ว่าสนุกกับชีวิต ทั้งที่จริงแล้วมันไม่มีทางสมบูรณ์ได้สักทาง และหาจุดสิ้นสุดในความพอใจไม่ได้ ท่ามกลางสังคมอันงดงามและศิวิไลซ์ที่เหมือนจะดี แต่เมื่อผ่าดูจะเห็นความพิการในหลายๆด้าน
- ในภาพรวมของเรื่องราวอันยุ่งเหยิงนี้ ผ่านมุมมองการเล่าเรื่องของตัวเอกทั้งสภาพจิตใจ, สังคม ,การยึดติดหรือถูกหน่วงเหนี่ยวทางวัตถุ หรือการคิดเข้าข้างตัวเอง เปรียบเสมือนการถูกจองจำในจิตใจ หรือคุกที่สร้างเองและไม่มีวันเป็นอิสระได้ จนกว่าคุณจะหลุดพ้นหรือก้าวข้ามจุดนั้นมาได้ ขึ้นอยู่กับทางเลือกที่คุณกำหนด หากคุณเรียนรู้หรือตระหนักถึงความจริงอันเที่ยงแท้ ว่าทุกสิ่งมีเกิด ดับ และเสื่อมสลาย เป็นวัฐจักร คุณจะพบกับความสงบมากขึ้นและเมื่อใดที่จิตใจบริสุทธิ์แล้ว ก็ไม่ยากที่จะปล่อยวางหรือปลดปล่อยตัวเองจากการยึดติด (รัก,โลภ,โกรธ,หลง) อันเป็นหนทางเข้าใกล้คำว่า “นิพพาน” มากขึ้น
คือ การพร้อม"ไป"ได้ทุกเมื่อนั่นเอง
เพราะปัจจัยหลายอย่างที่ผลักดันให้คนเราใช้ชีวิตต่อไปเรื่อยเปื่อยในแต่ละวันก็คือ เงินตรา, วัตถุ, ความมั่งมี, อำนาจ ตามสูตรสำเร็จของชีวิต (ความสุขแบบจอมปลอม) หากไร้ซึ่งสิ่งเหล่านี้คุณยังจะใช้ชีวิตตามขนบธรรมเนียมเดิมหรือไม่?
ลึกๆแล้วผมเชื่อว่าแต่ละคนมีความคิดแบบขบถอยู่ส่วนนึง เพียงแต่ไม่พร้อมหรือกล้าแสดงมันออกมา (ผมเองก็เช่นกัน) เพราะมีกฎเกณฑ์, กฏระเบียบ, ข้อบังคับ กฎหมาย และบรรทัดฐานมากมายที่จำกัดคนเราไม่ให้ออกนอกทาง
- สิ่งที่ชอบในหนังคือ มีรูปแบบการเล่าเรื่องที่มีชั้นเชิง บทสนทนาที่คมคาย ผ่านตัวละครหลักที่ดูไม่น่าเชื่อถือ แต่มันคือ"ความจริง" ที่นำมาพ่นใส่แบบห่ามๆ การนำเสนอที่ต่อต้านระบบทุนนิยมแบบสุดโต่งได้อย่างเจ็บแสบ และกิมมิคเล็กน้อยในแต่ละฉาก รวมถึงความกล้าในแนวคิด การกระทำที่ฉีกแนวจากรูปแบบเดิมๆ เพราะด้วยความรุนแรงที่ปลดปล่อยผ่านอุดมการณ์คือสิ่งที่ชี้ถึงความคิดที่พร้อมจะปฏิวัติสิ่งเก่าๆและเริ่มสิ่งใหม่ๆ แบบเนียนๆ
1
ถึงแม้หนังจะออกปีแล้ว 1999 แล้วก็ตาม แต่ความสดใหม่และเสน่ห์ระดับตำนานยังคงไว้ไม่เสื่อมคลาย เพื่อให้เราได้รู้จักและปรับปรุงตัวเอง เมื่อเลือกจะยอมรับในความเป็นไปของชีวิต จะสามารถทำอะไรก็ได้เมื่อเราสูญเสียทุกสิ่ง แม้จะทำได้ไม่เต็มที่ แต่ก็เข้าใกล้ความจริงพอที่จะเปลี่ยนแปลง
*The Rules of Fight Club*
1st RULE: You do not talk about FIGHT CLUB.
2nd RULE: You DO NOT talk about FIGHT CLUB.
3rd RULE: If someone says "stop" or goes limp, taps out the fight is over.
4th RULE: Only two guys to a fight.
5th RULE: One fight at a time.
6th RULE: No shirts, no shoes.
7th RULE: Fights will go on as long as they have to.
8th RULE: If this is your first night at FIGHT CLUB, you HAVE to fight.
#ButICan't
โฆษณา