31 ม.ค. 2021 เวลา 18:14 • บันเทิง
สวัสดีค่ะท่านผู้อ่านทุกท่าน
บทความทั้งหมดในเพจนี้เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับประสบการณ์ระทึกขวัญ ขนหัวลุก อะไรก็ตามที่อิงจากประสบการณ์ ของแอดมินเอง 90% และการเรียบเรียงให้ต่อเนื่องกันอีก 5% ส่วนอีก 5% เป็นการเขียนเพื่ออรรถรสในการอ่าน
ภาษาจะใช้ทางการบ้าง ภาษาพูดบ้าง รวมถึงคำหยาบคายที่ได้เจอแน่ๆ
กรุณาใช้วิจารณญาณอย่างมากที่สุดเท่าที่จะมีได้ในการอ่านทุกบทความในเพจ
บทที่ 1 งานไหว้ครู
เรื่องราวต่อไปนี้จะเป็นประสบการณ์แปลกๆ ทั้งเรื่องของคน(หรือไม่ใช่) และไม่ใช่คนแน่ๆ ที่แอดมินเคยเจอกับตัวเอง และเรื่องราวของคนรอบข้างที่เจอมาด้วยกัน รวมถึงที่เคยได้ยินมาจากคนรอบข้างด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าเรื่องของคนรอบข้างแอดไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องจริงมากน้อยแค่ไหน แต่จะนำมาเล่าเพื่อเพิ่มความสนุกให้ได้อ่านกันค่ะ
ก่อนอื่นต้องบอกมุมมองของแอดเองในเรื่องของโลกหลังความตาย นรกภูมิ และสวรรค์
ณ ปัจจุบันตอบได้อย่างเต็มปากว่าเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ค่ะ
บางเรื่องก็ยังคงสงสัยอยู่ว่า คิดไปเองหรือเปล่า ดูหนังมากไปมั้ย หรืออ่านเรื่องอะไรแบบนี้เยอะเกินไปรึเปล่า ด้วยอาชีพของแอดเองต้องดูหนังเยอะมากๆ
บางครั้งก็ปล่อยผ่านแล้วบอกตัวเองว่า เราน่าจะดูหนังเยอะไป แต่ก็พอจะแยกแยะได้บ้างว่าอันไหนฝัน อันไหนไม่ได้ฝันแน่ๆ
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ประมาน 3 ปี แอดเชื่อแค่ในเรื่องของการทำดีทำชั่ว กรรมตามสนอง ใส่บาตร ทำบุญบ้างเล็กน้อย โดนคนแก่หลอกให้กลัวผีก็บ่อย จนเป็นคนกลัวผี
เป็นบุคคลที่ใช้ชีวิตเต็มที่มาก ยื่นหนึ่งเรื่องดื่มสุรา แต่ไม่ยุ่งเกี่ยกับยาเสพติดนะ ปากคอเราะร้าย ไร้มารยาท ขวานผ่าซากและเป็นคนหยาบคาย มีนิสัยใจคอไม่ได้เป็นคนที่ดีเลยค่ะ ใจร้อน สายเหวี่ยงวีน ทั้งเพื่อนทั้งครอบครัวต่างก็เอือมระอากับแอดมาก และแน่นอนค่ะว่ามีปัญหาการทะเลาะกับเพื่อนและครอบครัวค่อนข้างบ่อยเพราะนิสัยใจร้อนและเหวี่ยงวีน พูดทุกเรื่องไม่สนความรู้สึกใคร เพราะเป็นคนมองแต่ความจริง เชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็นเท่านั้น
รู้เสมอว่าตัวเองเป็นคนมีนิสัยแบบนี้มาตลอดและหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่คิดที่จะปรับปรุงตัวเองเลยสักครั้ง เพราะมีอคติในใจ ว่า “ในเมื่อคนรอบข้างปฏิบัติกับฉันเหมือนเดิมตลอด ทำไมฉันต้องเปลี่ยนอยู่คนเดียว”
เป็นคนแย่บริสุทธิ์เลยใช่มั้ยล่ะ
เหตุการณ์ที่ทำให้ชีวิตแอดเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นเกือบจะหลังมือ ก็คือเรื่องนี้ค่ะ
Chapter 1 งานไหว้ครู
(ชื่อบุคคลและชื่อสถาณที่เป็นนามสมมุติทั้งหมด เพื่อความปลอดภัย)
เราขอเล่าไปตามไทม์ไลน์เหตุการณ์ก่อนนะคะ
เรื่องการไปตำหนักทรงจะไม่เกิดขึ้นกับตัวเราเลยค่ะ ถ้าพี่สาวคนโตของเราไม่ไปมาก่อน
พี่สาวเราไปมาก่อนได้สักปีหรือสองปี ไม่แน่ใจเรื่องระยะเวลาค่ะ พี่สาวเราเป็นคนเห็นผีมาตั้งแต่เด็ก เราเคยเจอกับพี่สาวหนึ่งครั้ง แต่ตอนนั้นเราไม่ชัวร์ว่าผีหรือตาฝาด เลยไม่ได้เก็บมากลัว แต่ก็จำได้แม่น
ตอนพี่สาวไปตำหนักทรงครั้งแรกก็ถ่ายคลิปกลับมาให้ดู ในคลิปพี่สาวนั่งพับเพียบอยู่บนพื้นร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่มีท่าทีว่าจะหยุดมีมือผู้หญิงวัยกลางคนคอยตบบ่านั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ขัดเงามีเบาะรองนั่งสีแดงสด เสียงผู้หญิงคนนั้นพูดว่า “ร้องทำไมไม่ต้องร้อง จะเอาอะไร” น้ำเสียงเล็กๆ ใจเย็น ใจดีเหมือนผู้ใหญ่ปลอบใจเด็ก ไม่ได้น่ากลัว
แล้วผู้หญิงคนนั้นก็เป่าหัวพี่สาวหนึ่งครั้ง แล้วที่สาวก็หยุดร้องเช็ดน้ำตาเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น นั่นคือคลิปที่เราได้เห็นเราก็คุยกับพี่ว่าตอนนั้นเป็นอะไร พี่บอกว่า ไม่รู้อยู่ๆก็ร้องไห้แล้วก็ขยับตัวไม่ได้ พอป้าสร้อย(นามสมมุติ) เป่าหัว ก็ขยับตัวได้เลย
มารู้อีกทีว่าเป็นองค์หนึ่งที่อยู่กับพี่สาวมาตั้งแต่สมัยเรียน เป็นสตรีหนึ่งที่เป็นชื่อของมหาวิทยาลัย ได้มีการเคารพกราบไหว้อยู่ตลอดและปีหนึ่งจะต้องเข้าพิธีไหว้ท่าน แต่ป้าสร้อยได้แนะนำให้ไม่รับท่านไว้ที่ร่างเพราะตามประวัติแล้วท่านเป็นสตรีชะตาน่าเศร้านัก และแนะนำให้ทำบุญให้ท่านไปพร้อมกับการบอกท่านดีๆว่าเราไม่สามารถให้ท่านอยู่กับเราได้ นี่เป็นเรื่องเดียวที่เรารู้ เพราะตอนนั้นเราไม่ได้สนใจเท่าไหร่ ทุกครั้งที่พี่สาวเราเห็นผีแล้วมาเล่าให้ฟัง เราก็ฟังผ่านๆ บางครั้งก็ว่าพี่สาวด้วยซ้ำว่าจะเจออะไรนักหนา มึงจะเจอเยอะไปแล้วนะ อะไรแบบนี้ และนิสัยชอบนอนเปิดไฟเราก็ไม่ค่อยชอบ มันเปลืองไฟ
ปีถัดมาพี่สาวได้พาพี่สาวคนกลางไปดูงานไหว้ครูที่นั้นด้วย แต่เป็นงานเล็กๆที่ไหว้แค่หน้าหิ้งไม่ได้มีพิธีใหญ่โต นางกลับมาโม้ใหญ่เลยค่ะ แต่เราจำไม่ได้เลยว่าเล่าอะไรไปบ้าง ตอนนั้นเราไม่ค่อยสนใจเรื่องในครอบครัวเท่าไหร่
จนใกล้จะถึงวันไหว้ครูใหญ่สักเดือนสองเดือน พี่สาวคนโตก็มาชวนเรา เราก็ไม่ได้ตอบรับในตอนแรก แล้วอยู่ๆก็รู้สึกอยากไปด้วย อยากเห็นว่างานเป็นยังไง ส่วนตัวชอบดูอะไรทำนองนี้อยู่ เจตนาอย่างแรกคือจะไปดูดวง ตอนนั้นอยากเริ่มวางแบบแผนชีวิตใหม่ด้วย เลยบอกพี่ว่าจะไป ก็เลยไปชวนเพื่อนคนนึงที่สนิทกันไปด้วยเลย ก็คอนเฟิร์มว่าไปแน่ๆ
แล้วพี่สาวก็บอกว่า “ไปแน่นะมึง เกิดอะไรขึ้นก็ต้องไปนะ” เราก็บอกพี่ว่า “ทำไม มันจะเกิดอะไรได้วะ“
พี่ก็ตอบว่า “เดี๋ยวก็รู้ ไม่เกิดก็ดี”
ก่อนวันไปหนึ่งวัน นัดกันเสร็จเรียบร้อย ตกลงว่าจะเอารถเพื่อนเราไปแล้วเพื่อนจะมารับตอนตี 1 เพื่อที่จะเดินทางไปถึงตอนเช้า จะได้ไปช่วยงานจัดบายศรี ของในพิธี บลาๆ ในวันนั้นเราลงสตรีมประมาณสองทุ่ม ก็อาบน้ำตั้งใจว่าจะนอนก่อนสักหน่อยแล้วค่อนตื่นเที่ยงคืน
เรานอนไปได้สักพักอยู่ๆก็เจ็บท้อง อาการเหมือนโรคกระเพาะกำเริบ ซึ่งเราเป็นอยู่แล้วมันก็ชินกับการที่เราบอกตัวเองว่า กินข้าวไม่เป็นเวลาเอง เราก็ลุกมากินยาที่เราเคยกินประจำ แล้วเราก็ล้มตัวลงนอนใหม่ แต่อาการเจ็บก็เริ่มเสียดหนักขึ้น เหมือนใครหยิกกระเพาะตลอด เราเลยเข้าห้องน้ำไปลองถ่ายหนักดูเผื่อจะรู้สึกดีขึ้น แต่กลายเป็นว่า ก็ไม่หาย เจ็บอยู่อย่างนั้น กินน้ำก็เจ็บจี๊ดๆ จนห้าทุ่มเราก็ยังไม่ได้นอน
เราเลยตัดสินใจลงมานั่งข้างล่างเพื่อรอเวลาเพื่อนมารับ พอเที่ยงคืนพี่สาวก็ตื่นอาบน้ำขนของลงมา เราก็บอกพี่ว่าเจ็บท้อง อยู่ๆก็เป็น พี่ก็ถามว่ากินข้าวรึยัง เราก็ยืนยันว่ากินแล้ว จะหิวละเนี่ย พี่เราก็บอกว่า เดี๋ยวเพื่อนเราก็มาแล้วค่อยไปแวะซื้อระหว่างทาง เราก็โอเค
พอขึ้นรถออกเดินทาง เราก็นั่งเจ็บท้องทั้งทางทรมานมาก แล้วเพื่อนก็แวะแมคโดนัลให้ซื้ออะไรกิน ตอนนั้นเราไม่กล้ากินอะไรเพราะเจ็บท้องมากเลยสั่งสลัดมาจะได้เบาท้องหน่อย เรากินไปได้สี่ห้าคำ ถ้านับผักเป็นใบก็คงแค่สามใบได้ เพราะกินไม่ได้เลย
กลืนลงไปก็เจ็บท้องมาก มันก็เลยรู้สึกท้องอืดไปด้วย แต่จะไม่กินเลยก็ไม่ได้เดี๋ยวเจ็บหนัก เราก็อดทนจนเข้าตัวจังหวัดของตำหนัก คือเพื่อนเราขับรถเร็วเพลินๆแล้วรถดีจัดไม่รู้สึกถึงความไว ตี 4 ถึงพิษณุโลกแล้วค่ะ จากกทม. ในขณะที่ขับปกติจะใช้เวลา ประมาน 5 ชั่วโมง ยิ่งใกล้ถึงเรายิ่งเจ็บท้อง พอ 6 โมงเช้าก็ใกล้ถึง อยู่ๆเราก็รู้สึกไม่อยากไปแล้ว
เราก็หันไปบอกพี่ว่า “ทำไมกูรู้สึกไม่อยากไปแล้ววะ อยากกลับบ้าน”
พี่เราก็โวยให้สิคะรออะไร จะถึงอยู่แล้วเนี่ย บ้านงานอยู่ใกล้แค่เอื้อม อีกแค่ครึ่งชั่วโมงเราก็จะถึงแล้ว แต่อยู่ๆก็มีหมอกลงปกคลุมถนน หมอกแบบว่าขาวโพลนมองไม่เห็นแม้กระทั่งเส้นแบ่งเลน รถหลายคันเริ่มชะลอตามเรา พวกเรามองไม่เห็นไฟรถข้างหน้าเลยสักคัน เลยขับกันอย่างระวัง หลังจากขับอย่างชิลมาทั้งคืน
ขับไปสักพัก หมอกไม่มีท่าทีจะบางลง เราเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายคลิป แล้วอัพลงโซเชียลส่วนตัว
ผ่านไปอีกสักพักหมอกก็เริ่มบางลงและหายไป ตัวบ้านงานอยู่ในอำเภอเมืองแต่ต้องขึ้นเขาไปสักหน่อย แล้วเลี้ยวเขาชุมชนอีกที
พอใกล้ถึงเราก็เห็นตุงหลายสีถูกแขนไว้ระดับประมานบ้านสองชั้นอยู่ปากซอย เราก็เลี้ยวเขาซอยนั้น เป็นซอยแคบๆ รถยนต์เข้าได้ทีละคัน เราก็เริ่มเห็นบ้านงานอยู่ท้ายซอย สภาพบ้านไม่ได้น่ากลัวเป็นบ้านปกตินี่แหละค่ะ พอเราถึงบ้านงานก็เห็นคนนั่งทำบายศรีกันประมานสิบกว่าคน
พี่สาวเราก็ทักทายคนนั้นคนนี้แล้วก็บอกเมื่อกี้พวกเราเจอหมอกลง แล้วก็มีเพื่อนพี่เราเพิ่มมาถึงเหมือนกัน เราก็ถามกันว่า เมื่อกี้เจอหมอกมั้ย เขาบอกไม่เจออะไรเลย โล่งสบาย พวกเราก็ได้แต่สงสัยกัน แล้วก็ปล่อยไป ไม่ทันได้ทำความรู้จักใครก็มาช่วยงานก่อน แล้วเราก็ได้เจอป้าสร้อย ผู้หญิงวัยกลางคนที่อยู่ในคลิปกับพี่สาวค่ะ ป้าสร้อยเดินมาทางครัวที่เหล่าป้าๆกำลังทำอาหารกันอยู่ แล้วพี่ผู้ชายคนนึงหันมากระซิบบอกพี่สาวเราว่า “พี่เพชรๆ” (นามสมมุติ) แล้วชี้ไปทางป้าสร้อย พี่สาวก็ตาโตแล้วก็พาเรากับเพื่อนไปไหว้ป้าสร้อย ตอนนั้นเราก็ยังไม่เข้าใจ สรุปป้าชื่ออะไรกันแน่เนี่ย แต่ก็สวัสดียกมือไหว้เฉยๆ แล้วป้าสร้อยก็พูดเสียงเล็กๆว่า “หวัดดีครับๆ มาช่วยกันทำบายศรี จะได้ร่วมกันสร้างบุญให้ตัวเอง” เราก็แยกย้ายกันทำงานต่อ ส่วนเรากับเพื่อนไม่กล้าหยิบจับอะไรกลัวทำของเขาพังค่ะ ทำได้แค่เรียงผลไม้ใส่ถาดแล้วก็คัดดอกไม้เพื่อร้อยพวงมาลัย ในช่วงเวลานั้นเราก็ถามพี่สาวเรื่องชื่อของป้าสร้อย
เรา : สรุปแล้วป้าเขาชื่ออะไร
พี่ : ป้าสร้อยไง
เรา : ก็เมื่อกี้เห็นเรียกพี่เพชร
พี่ : ก็เมื่อกี้เป็นพี่เพชร
เรา : ห๊ะ
พี่ : พี่เพชร เป็นชื่อพระพิฆเนศปางหนึ่ง องค์ประจำป้าสร้อย ท่านจะลงมาจัดงานเองทุกปี
เราก็อ๋ออออออ ไอเก็ทอิท ค่ะซิสเตอร์
เราได้ยินแบบนั้นก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ เราเฉยๆกับเรื่องแบบนี้ ไม่ได้มีอคติอะไรกับเรื่ององค์เจ้า เพราะเราเป็นคนกราบไหว้พระพิฆเนศมาตั้งแต่เด็กยันโตเพราะเข้าชมรมดนตรีไทยตั้งแต่อนุบาลจนถึงอายุ 12 ประกวดมาแล้วนักต่อนักค่ะ ดังนั้น พระพิฆเนศ พ่อแก่ ร.5 อยู่ในเส้นเลือดสุดๆค่ะ จำบทสวดได้แม่น แล้วก็เคยฝันแปลกๆตอนอยู่มหาลัยปีสองด้วยค่ะ เลยไม่แปลกใจอะไร แล้วพี่ก็หันมาถามว่า หายเจ็บท้องรึยัง เราก็เออวะ ไม่เจ็บละ นั่งนึกๆว่าอาการมันหายไปตอนไหน เพราะตอนหมอกลงจนถึงบ้านงานยังเจ็บอยู่ ก็คิดว่า เพราะถึงบ้านงานนี่แหละค่ะเลยหายเจ็บ แล้วพวกเราก็ออกมาซื้อของในงานเพิ่ม แต่ขากลับ เรากลับรู้สึกไม่อยากกลับไปอีกแล้วค่ะ ก็หันไปบอกพี่เหมือนเดิม ประโยคเดิมว่า ” รู้สึกไม่อยากกลับไปบ้านป้าสร้อยอีกแล้วว่ะ” พอถึงบ้านงานก็ปกติไม่ได้รู้สึกอะไร
แล้วพี่ๆในงานก็ให้เราพวกเราไปอาบน้ำมนต์กันก่อน เพราะจวนจะ 3 โมงเย็นแล้ว
พวกเราก็เลยไปเปลี่ยนชุดเป็นผ้าถุงของที่บ้านงาน แล้วมาให้พระในงานอาบน้ำมนต์ให้ พระท่านนุ่งจีวรสีหมาก มีรอยสักเต็มคอเต็มแขน เรามองแว๊บเดียวก็รู้ว่ามีวิชาแน่ๆ พี่สาวเราก็สะกิดบอกว่า คนที่นี่เรียกท่านว่าหลวงลุง ดูดวงอย่างแม่น
เราก็อ๋อๆไป แต่ใจก็อยากดูค่ะ ไม่เคยดูดวงกับพระรูปไหนเลย (พวกเธอก็คิดแบบฉันใช่มะ)
พอถึงคิวเรา เราก็นั่งลงบนเก้าอี้พลาสติกกลมๆ ท่านก็ถามเราว่ามากับใคร เราก็บอกว่าเป็นน้องพี่เรา พาเพื่อนมาด้วยอีกสองคนค่ะ พระท่านก็พูดติดตลกว่าเราหน้าไม่เหมือนพี่เลย เรากับพี่ศัลยกรรมอะค่ะ เอาอะไรไปเหมือนนอกจากส่วนสูง
แล้วพระท่านก็บอกให้เราพนมมือ ตั้งจิตอธิษฐานสิ่งใดที่ไม่ดีก็ขอให้น้ำมนต์ที่อาบนี้ล้างออกไปให้หมด ให้ข้าพเจ้าเจอแต่สิ่งที่ดี
แล้วท่านก็สวดอะไรสักอย่างพร้อมกับราดน้ำมนต์ที่ตัดจากโอ่งข้างๆลงบนหัวเรา บอกได้เลยค่ะว่าน้ำเย็นมากกกกกกกกกกกกกกก เย็นโคตรๆ เรานี่สั่นตั้งแต่ขันแรก พอขันที่สองพระท่านเริ่มราดรัวๆสามสี่ขันตามมา ในจังหวะนั้นเราก็ไอออกมา อยู่ๆก็ไอค่ะเหมือนหายใจไม่ออก ไอแบบจะอ้วก แห้งๆ บอกไม่ถูก แต่ความเย็นจากน้ำมันชนะอาการไออะค่ะ เราก็เลยคิดว่าร่างกายเอามันโดนน้ำเย็นแบบเฉียบพลันเลยทำให้เราไอออกมา ตัวเราก็สั่นๆและมือเกร็งด้วย เลยไม่ได้คิดอะไร แล้วก็มาเปลี่ยนชุดใส่สุดขาวทั้งตัวค่ะ ทุกคนในงานก็ด้วย
ตอนนั้นเวลาประมานเกือบๆหกโมงเย็น ไม่แน่ใจเรื่องเวลา แต่เป็นช่วงฟ้าใกล้มืด พิธีก็ใกล้จะเริ่ม เหล่าลูกศิษย์ก็ต่างช่วยกันยกองค์พระ องค์เทพ จากในห้องพระและของตัวเองที่เตรียมกันมา ออกมาจัดวางบนชั้นที่เตรียมไว้นอกบ้าน บางคนก็เริ่มจัดขันธ์ครูไว้ที่โต๊ะใหญ่ๆ ซึ่งเยอะมาก เราว่าน่าจะถึง 50 ใบ แต่ก็ไม่ได้นับหรอกค่ะ อีกกลุ่มกำลังจัดบายศรีพญานาคขนาดใหญ่ สามอันที่ใกล้เสร็จ ซึ่งสวยมากกกกก เราเป็นคนชอบงานศิลปะ บอกเลยว่าเป็นบายศรีที่เนี๊ยบสุดๆ พอฟ้ามืดสนิท ทุกคนเริ่มเก็บกวาดให้สะอาดและปูเสื่อที่ยืมมาจากวัดข้างๆบ้านงาน ส่วนเราป้าสร้อยเดินมาบอกว่าวันนี้คนที่ไม่ได้เป็นลูกศิษย์ถือว่าเป็นแขกในงาน ไม่ต้องทำอะไรมากหรอกนั่งช่วยงานเล็กๆพอ เราก็เลยชิวนั่งคุยกับเพื่อนสัพเพเหระไป จนผู้ใหญ่ก็เริ่มชวนๆกันให้มาช่วยยกบายศรีพญานาค หลายคนรีบหยิบเงินกันยกใหญ่เพื่อแย่งกันเย็บติดกับส่วนที่เป็นลิ้นพญานาค เราก็นั่งดูแล้วรู้สึกสนุกดีแล้วเราก็ลุกไปช่วยยก บางคนก็ไม่ได้ยกหรอกค่ะ แค่เอื้อมมือมาแตะแล้วเชิญขึ้นบนโต๊ะที่เตรียมไว้
ในขณะที่เราช่วยยกอยู่ๆใจเราก็สั่นแปลกๆ เราก็คิด เอ๊ะ ทำไมเป็นวะ สงสัยกินกาแฟแหละ เราคิดแบบนี้ พอวางเสร็จก็รู้สึกใจหวิวๆ แล้วก็เดินมานั่ง เริ่มสังเกตเห็นว่าทุกคนเริ่มนั่งบนเสื้อกันเป็นแถวๆ เราก็เลยเลือกที่นั่งหลังๆกับเพื่อน เพราะแค่อยากดูงานเฉยๆไม่ได้คิดอะไรมากกว่านั้น ส่วนพี่สาวเรา นั่งอยู่หน้าเรา แต่เป็นอีกแถว ด้านหน้าเราเป็นเพื่อนพี่ที่เคยเรียนมหาวิทยาลัยที่เดียวกันมา ชื่อพี่ มิ้งค์ เป็นสาวหล่อที่สำเหนียงเหน่อๆสุพรรณ จนเราติดสำเนียงมาด้วยเลย
ก่อนป้าสร้อยจะเริ่มพิธี พี่มิ้งค์หันมาถามเราว่า “แกมีองค์อะไรบ้าง” เราก็บอกไปว่าคนบาปอย่างเราจะมีได้ไง
พี่มิ้งค์ก็พูดว่า “เดี๋ยวก็รู้ววววว” ลากเสียงยาวปนขำ
แล้วแกก็พูดต่อว่า ตอนพี่มาพี่ก็ไม่เชื่ออะไรพวกนี้เลยแค่จะมาดูงานเหมือนเอ็งนี่แหละ สักพักรู้เรื่องเลย
เราก็ฟังๆ บอกแล้วว่าเราเฉยๆกับเรื่องแบบนี้และเรารู้อยู่แล้วว่าเป็นงานที่จะมีองค์ลงอย่างที่เคยเป็นข่าวกันนั่นแหละค่ะ พอถึงตอนนี้ก็ทำเอาเราอยากรู้ว่าตัวเองจะมีอะไรมั้ย ทุกคนเข้าใจฟิลใช่มั้ยคะ แหม ก็อยู่ในงานที่มีล้อมไปด้วยคนมีองค์ เราก็ต้องอยากรู้บ้างแหละเนาะ
แล้วลูกชายของป้าสร้อย ชื่อต้น ก็เริ่มเทสไมค์ คนในงานก็เริ่มนั่งประจำจุด ป้าสร้อยนั่งอยู่ข้างๆปรัมพิธี แล้วก็มีคนแก่อีกสองสามคน พระป่า 1 รูป ข้างๆวางเศียรครูสองสามเศียร ไม่แน่ใจนะคะแต่น่าจะไม่เกินนี้ ข้างลังก็เป็นเก้าอี้วางให้คนนั่งอีกที ตอนนี้รวมๆคนในงานน่าจะประมาน30คนได้แล้ว
แล้วต้นก็เริ่มพิธี ต้นนั่งอยู่ที่เต๊ะเล็กๆ มีแฟ้มบทสวดวางอยู่ตรงหน้า
มีเทียนธูปางอยู่ใกล้ๆ แล้วก็เริ่มสวดเปิดพิธีค่ะ ตอนนั้นเราก็ไม่รู้หรอกค่ะว่าสวดอะไรบทยังไง บอกแล้วแค่มาดู ไร้ประโยชน์ในงานเป็นที่สุด
ขั้นต่อไปก็เชิญป้าสร้อยจุดธูปเทียนหน้าปรัมทั้งหมด แล้วก็ให้ทุกคนในงานรับธูปไปขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทางองค์เทพเทวาให้เราได้ประกอบพิธียามค่ำค่ะ
ช็อตนี้จำได้แม่น แสบตามากแม่ อยู่ๆน้ำตาก็คลอ ต้องรีบปักรีบเดินกลับมานั่ง นึกภาพตามนะคะ คนสามสิบคนจุดธูป 16 ดอก พร้อมกัน
อื้อหือออออ ใครมันจะไปทนไหววววว
พอทุกคนปักธูปหมดแล้วก็แยกย้ายกลับมานั่งที่เดิม แล้วต้นก็เริ่มบทสวดใหม่
เริ่มสวดได้ไม่นานอยู่ๆมือเราก็สั่น มันสั่นเองค่ะทุกคน เรายังงงเลย เราก็คิดในใจว่า เห้ย เป็นไรมึงจะสั่นเพื่อ แล้เราก็คุมไม่ให้สั่น ปล่อยมือจากพี่พนมมาสะบัดนิดหน่อยมันก็หาย แล้วก็เปลี่ยนบทสวดทีนี่เป็นบทพูดของพราหม ภาษาไทยปกตินี่แหละ ทุกคนน่าจะนึกกันออก แต่เราจำเป็นคำไม่ได้ค่ะ เหมือนจะเป็นบทโหมโรงเทพเทวาประมานนี้ ให้สาธุๆ อะไรสักอย่าง ก็สาธุตามกันไป พอจบการสาธุอันยิ่งใหญ่เน้นคำลำโพงแตก ก็เริ่มสวดนะโมตัสสะ เท่านั้นแหละค่ะ เรารู้สึกใจสั่นๆ หวิวๆอีกแล้ว เราก็เหมือนคุยกับตัวเองว่า เป็นแบบเมื่อกี้เลย ทำไมถึงเป็น
เราเริ่มตั้งคำถามเยอะแยะไปหมดในหัวค่ะ แล้วอยู่ๆป้าคนนึงในงานก็ออกไปนั่งคุกเข่าหน้าปรัมพิธี และพี่ผู้ชายอีกคนที่เราเห็นเขาช่วยงานมาตลอดทั้งวัน ยืนถือลูกมะพร้าวรออยู่แล้วป้าก็ค่อยๆพนมมือยกขึ้นเหนือหัว จากนั้นค่อยๆร่ายรำในท่านั่ง ตัวอ่อนช้อยสวยงาม (ในมุมคนบ้าศิลปะต้องทำความเข้าใจนิดนึงนะคะ) แล้วพี่ผู้ชายก็วางลูกมะพร้าวใส่บนมือป้าในขณะที่กำลังร่ำอยู่ แล้วคนในงานก็เริ่มลุก ไปรำหน้าพิธีอีกสองสามคน ตอนนั้นเรารู้สึกตื่นเต้นค่ะ แบบว่า ได้เห็นแล้วโว้ยยย ไรงี้ ดูเพลินๆ พี่มิ้งค์ที่นั่งอยู่ข้างหน้าเราก็กำลังถ่ายคลิปเพื่อนตัวเองที่ออกไปรำอย่างตื่นตาตื่นใจกัน สักพักคนที่รำกันอยู่ก็กลับมานั่งที่ เราก็กำลังเม้าส์มอยกันเพื่อนพี่
แล้วเราก็ได้ยินต้นพูดคำว่า “โอม” กระแทกดังๆแบบที่พราหมเขาจะพูดกันอะค่ะ แต่โอมอะไรต่อไม่รู้ อยู่ๆเราก็รู้สึกเหมือนมีคนกดบ่ากับหลังแบบหนักมากกกก เราก็เรียกชื่อพี่สาวเราที่นั่งอยู่แถวข้างๆ แต่ไม่ขยับจะพูดอะไรต่อ ตัวเราก็ค่อยๆโน้มตัวลงติดกับพื้น แล้วก็ร้องไห้ ร้องเอง ร้องแบบไม่มีปี่มีคุย เราสาบานว่าตอนนั้นเราสติครบ รู้ตัวหมดแต่ไม่สามารถขยับตัว หรือปากได้เลยค่ะ ได้คิดอย่างเดียวเลยค่ะว่าเราเป็นอะไรวะ เราร้องไห้สะอึกสะอื้น พูดไม่ได้ พยายามลืมหา ก็เหมือนจะหลับเองตลอด จนเราบอกตัวเองว่า “โอเคกูไม่ลืมก็ได้ จะเป็นอะไรเป็นเลยจ้า” พอคิดแบบนี้เท่านั้นแหละ เราก็ร้องไห้หนักขึ้น จนได้ยินพี่สาวพูดว่า พาไปหาป้าสร้อย แล้วก็มีคนพยายามดึงแขนให้เราลุกเดินไป แต่ขามันไม่ยอมเดินอะค่ะทุกคน เราขยับขาตัวเองไม่ได้ แล้วก็มีคนช้อนตัวเราขึ้นแล้วอุ้มไปหน้าป้าสร้อย
นังเพื่อนรักของเรามาบอกทีหลังว่า มันตื่นเต้นมาก อยู่ๆเราก็ร้องไห้เฉย มันก็เลยอัดคลิปทันที
ตอนนั้นใครจะอัดจะถ่ายเราก็ทำอะไรไม่ได้ค่ะ แค่พูดยังไม่ได้เลย
พอพี่ๆวางเราไว้หน้าป้าสร้อย เขาก็จับให้เราอยู่ในท่านั่งพับเพียบ แล้วเราก็ได้ยินเสียงป้าสร้อยพูดเสียงเย็นๆเล็กๆว่า
“ร้องทำไม ไม่ต้องร้อง ใจเย็นๆ … พี่สาวไปเอาน้ำมนต์มาไป ในขันหน่ะ”
แล้วป้าสร้อยก็เอามือลูบหัวเราเบาๆ
แล้วพูดอีกว่า “นี่ตามเขามานานแล้วนะเนี่ย เดี๋ยวให้เขาทำบุญไปให้ ไม่ต้องร้อง”
พูดจบ เราก็กรี๊ดออกมาเสียงดังเลยค่ะ กรีดร้องลากยาวแบบสุดลมหายใจ
(ใครนึกไม่ออก ลองทำตามดู แต่เอาหมอนปิดหน้านะคะ เดี๋ยวข้างบ้านตกใจ)
ความรู้สึกตอนนั้นคอนทราสกับความคิดมาก เรารู้สึกเจ็บปวด ฟิลเหมือนผู้ชายทิ้ง รู้สึกโดนทำร้ายจิตใจ เศร้าหมอง เอาเป็นว่ามันเศร้า มันทรมานจิตใจประมานนี้แล้วก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น แต่ความคิดของเราคือ มึงร้องทำไม มึงเป็นอะไร ฮัลโหลลลลล
สติด่วน มึงเสียใจอะไรเนี่ย ธูปเข้าตาหรอ สารพัดที่จะด่าตัวเองเลยค่ะในตอนนั้น
แต่ก็คุมร่างกายไม่ได้ มันเหมือนกับว่ามีใครอยู่ในตัวเราอีกคน
แล้วป้าสร้อยก็บอกว่า “กินน้ำมนต์ก่อน ข้างในจะได้เย็นๆ จะเอาอะไรมาคุยกัน”
แล้วก็ให้เรากินน้ำเราก็กินอัตโนมัติ (สงสัยคอแห้ง กรี๊ดดังไปหน่อย) ตอนกลืนน้ำมนต์เราก็รู้สึกเย็นๆบริเวณช่วงอก โล่งๆ บอกไม่ถูก ไม่ได้รู้สึกสดชื่นเหมือนกินน้ำเย็น
แล้วป้าสร้อยก็จับหน้าเราประครองและเป่าหัว เรารู้สึกได้ถึงลมที่เย็นเหมือนอมน้ำแข็งแล้วเป่าหัวเรา ซึ่งปกติถ้าเป่าลมใส่มือมันจะเป็นลมอุ่นไม่ใช่ลมเย็น เราก็แปลกใจ และด้วยความเหนื่อยกับการร้องไห้สลับกรี๊ดสุดเสียงหลายครั้ง เราก็คิดในใจว่า พอยัง พอเถอะ เหนื่อยแล้วจะเอาอะไรก็บอกป้าสร้อยเลย แต่เหนื่อยแล้วออกไปเถอะ
แล้วป้าสร้อยก็พูดว่า
“เดี๋ยวให้เขาทำบุญให้นะ เขารู้แล้ว อยู่กับเขามานานขนาดนี้ ออกไปได้แล้ว เดี๋ยวเราบอกเขาให้”
แล้วเราก็หยุดร้องไห้ พร้อมกับร่างกายที่กำลังจะหงายตัวไปกับพื้น เหมือนคนจะนอน พี่สาวเราก็รับไว้แล้วก็เรียกชื่อเราพร้อมกับขยับตัว พี่มิ้งค์ก็ตบหน้าเราให้เรามีสติ เราก็ลืมตาขึ้นแล้วขยับตัวดู ปรากฏว่า ขยับได้ว่ะ เอาว่ะ กูได้ร่างกายคืนละ แล้วเราก็เจอกับสายตา ผู้หญิงหลายวัยกำลังมองมาที่เรา แอบเขินค่ะไม่รู้จะทำตัวยังไง ได้แต่ยกมือไหว้ป้าสร้อยที่ขณะนี้เราคิดว่าพี่เพรชได้ลงมาประทับเป็นที่เรียบร้อย
มีป้าคนหนึ่งผมสั้นๆสีผมขาวผสมเทาก็มาสะกิดเราแล้วถามว่า
“เมื่อกี้หนูเป็นอะไรหรอ”
เราทำได้แค่บอกว่า “ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”
แล้วเราก็เช็ดหน้าเช็ดตา ขยับตัวถอยออกมาจากตรงนั้นนิดหน่อย
แล้วก็โฟกัสที่พิธีต่อ ในขณะที่ในหัวก็ยังคิดอยู่ว่า “แล้วเมื่อกี้กูเป็นอะไรวะ”
โฆษณา