เกือบสิบปีแล้ว ที่หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ออกมา ทว่าแก่นสารที่ อ.คิม รันโด ถ่ายทอดเอาไว้ ทั้งทันสมัย ไร้กาลเวลา และล่องลึกสู่หัวใจได้ผู้อ่านทุกเพศทุกวัย “เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด” ไม่ใช่หนังสือ Life coach, คำคม หรือ หนังสือพัฒนาตนเอง แต่เป็นหนังสือที่ช่วยเตือนสติ ให้เราได้ทบทวน ตั้งคำถามและหาคำตอบที่ใช่ ในช่วงเวลาหนึ่งที่คนมักกล่าวว่าเป็นช่วงที่สุขที่สุดและขมที่สุดไปพร้อมกัน
ความเศร้าเกิดจากเราเอาตัวเองไปเปรียบกับคนอื่น....Social media ไม่ทำให้โลกหมุนเร็วขึ้น แต่มันทำให้เรารับรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เราได้เห็นภาพ Lifestyle ความสำเร็จของคนอื่น มาตรฐานชีวิตที่ดีดูจะแคบเข้ามาเมื่อสังคมบอกให้เราต้องประสบความสำเร็จ มีบ้าน มีรถ มีทุกสิ่งก่อนอายุ 30 ปี ทว่าแท้จริงแล้ว มีแค่กี่เปอร์เซ็นต์ ที่สามารถก้าวไปสู่จุดนั้นได้ ...สิ่งหนึ่งที่เราต้องตระหนักคือ ธรรมชาติของมนุษย์เรามักแสดงเฉพาะด้านที่ดีให้คนอื่นเห็น ที่กล่าวมานี้ไม่ได้หมายความว่าให้ ท่านผู้อ่าน เลิกพยายาม และ อยู่อย่างพอเพียง แต่ อยากให้เข้าใจว่าเราทุกคนมีต้นทุนที่แตกต่าง อ.คิม เปรียบชีวิตทุกคนเป็นเหมือนดอกไม้ ดอกไม้แต่ละสายพันธุ์มีช่วงเวลาเบ่งบานที่แตกต่างกัน เราอาจเป็นดอกไม้ที่เบ่งบานช้าไปหน่อย แต่ เชื่อสิ เมื่อฤดูกาลนั้นมาถึง คุณจะงดงามไม้แพ้ดอกไม้ชนิดอื่นเลย
สิ่งที่หนักที่สุด อาจไม่ใช่ภูเขา แต่เป็นความคาดหวัง...โดยเฉพาะของคนที่เรารัก วัฒนธรรมของชาวตะวันออกมีความเป็นกลุ่มก้อนมากกว่าฝั่งตะวันตก ลองนึกภาพเด็กคนหนึ่งที่ยืนตรงกลาง มีคนสิบคนยืนล้อมรอบสิ...เราถูกคาดหวังตั้งแต่เกิด ให้เป็นในสิ่งที่ควรเป็น ให้ฝันในสิ่งที่อาจไม่เคยเป็นความฝัน ต้องเรียนสายวิทย์ คณิต ถ้าฉลาดต้องเรียนแพทย์ ผู้ชายต้องเรียนวิศวะ ผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัว ให้พร้อมความเป็นกุลสตรี เป็นแม่ที่ดี สิ่งเหล่านี้คือความคาดหวัง
ถ้าคุณอ่านถึงตอนนี้ แล้วรู้สึกเคว้งคว้าง ลองหายใจลึก ๆ แล้วเดินไปยืนหน้ากระจก ถามคนข้างในว่าเขาเป็นใคร มีความสุขไหม และ สิ่งที่เขาแบกอยู่ตอนนี้มีอะไรบ้าง... ความคาดหวังบางครั้งเป็นยาพิษ ได้โปรด..สงสารตนเองบ้าง คุณไม่จำเป็นต้องแบกทุกเรื่อง ลองปลดเปลื้องพันธนาการที่ไม่จำเป็นทิ้งไป เพื่อให้หัวใจมีพื้นที่ว่างสำหรับความสุขมากกว่านี้
วัยรุ่นควรเป็นวัยที่กล้าที่จะเสี่ยง ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทุกคนจะกลัวการผิดหวัง หรือ การล้มเหลว แต่การไม่ยอมลงมือทำอะไรเลยดูจะเลวร้ายยิ่งกว่าการล้มเหลวเสียอีก ถูกที่ว่าเรามีเวลาให้เรียนรู้ตลอดชีวิต แต่ช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงที่เราสามารถล้มและลุกได้เร็ว ในวัยแรกเริ่มนี้ความผิดพลาดมาพร้อมมือที่หยิบยื่นโอกาสมาช่วยเหลือ ฉะนั้นแล้ว สิ่งที่วัยรุ่นควรลงทุนมากที่สุด คือการลงทุนในประสบการณ์ แน่นอนว่าอาจมีคนพูดให้เรียนรู้จากความผิดพลาดของคนอื่น แต่เชื่อสิ...การเรียนมันด้วยตนเองคือประสบการณ์ที่ดีที่สุดแล้ว จงจุดไฟแห่งการเรียนรู้แล้วเติมเชื้อไฟด้วยความอดทน ขยันหมั่นเพียร และ หากอยากเปลี่ยนแปลงตนเอง ให้เริ่มทำ! และ ทำสิ่งนั้นวันละ 1 ชั่วโมง ติดต่อกันให้ได้อย่างต่ำ 1 เดือน
ความอิจฉาไม่ใช่เรื่องผิด อาจฟังดูขัดแย้งกับข้อความข้างตนที่บอกว่าอย่าเปรียบเทียบชีวิตตนเองกับใคร แต่ที่จริงแล้ว ความ “อิจฉา” เป็นหนึ่งในหัวใจที่จะทำให้เราได้เติบโต เพราะการที่เราจะอยากได้ อยากมี อยากเป็นในสิ่งที่ดีกว่าปัจจุบันนั้นเป็นเรื่องดีในการพัฒนาตนเอง ส่วนความ “ริษยา” นั้นคือ ความไม่อยากเห็นคนอื่นดีกว่าตัวคุณ และ พร้อมที่จะทำลาย เหยียบย่ำให้คน คนนั้นตกต่ำยิ่งไปกว่าเดิม ดังนั้นจงคงความอิจฉาไว้ในระดับที่เหมาะสม และ ฝึกฝน บ่มเพาะทักษะ เพื่อพัฒนาตนเองไปสู่จุดหมายที่ตั้งไว้
กระดาษและน้ำหมึก บันทึกได้ดีกว่าสมอง ที่เกาหลีนั้นนักเรียนจะมีสมุดตรวจข้อผิดของการบ้าน เพื่อทบทวนและแก้ไขจะได้ไม่กลับมาผิดในเรื่องเดิมอีก ชีวิตก็เหมือนกัน บ่อยครั้งที่เราทำผิด เราสัญญาว่าจะไม่ทำแล้วนะ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเราลืมความรู้สึกนั้น แล้วก็ย้อนกลับไปทำอีก วัยรุ่นไม่สิทุก ๆ วัยควรมีสมุดเล่มนี้ เพื่อบันทึกความผิดพลาด โอกาสในการแก้ตัวเป็นของคนที่ทำผิดครั้งแรก...ทุกครั้งที่เราพลาดจะมีคนช่วยเราน้อยลง
พระเจ้าประทานพรให้มนุษย์ทุกคนมี “ความฝัน” แต่ไม่ได้ประทาน“ความสำเร็จ”ไว้ให้ มีคนส่วนหนึ่งไปถึงฝั่งฝันนั้นได้ แต่ อีกมากมายที่กำลังเดินทาง หรือ ไม่อาจไปถึง นี่ไม่ใช่การพูดเพื่อทำลาย ขวัญกำลังใจ หรือ บอกให้ละทิ้งความฝัน แต่เป็นเรื่องจริงที่เราทุกคนรู้ สิ่งที่ผมอยากบอกคือ อย่าสิ้นหวังหากความฝันนั้นดูจะริบหรี่ มนุษย์น่ะชอบวางแผนแต่ชีวิตก็ไม่เป็นไปตามแผน 100% หรอก จงยืดหยุ่นต่อชีวิตและความฝัน บนถนนร้อยสายอาจมีสักสายที่จะพาคุณไปสู่เส้นชัย และ เส้นชัยของชีวิตไม่ได้มีเส้นเดียวแน่นอน