The Mighty Handful - https://www.vialma.com/en/playlists/7556/the-mighty-handful
Mighty Handful ถูกขนานนามว่าเป็น New Russian School หรือ The Five เป็นกลุ่มที่มุ่งเน้นดนตรีแบบชาตินิยมเป็นหลัก ก่อตั้งในช่วงท้ายของทศวรรษที่ 1850 โดยนักดนตรีมือสมัครเล่นที่มีฝีมือเลิศเลอ คือ Mili Balakirev เป็นผู้ก่อตั้งขึ้น ท่านได้รวบรวมคีตกวีที่มีความคิดเดียวกันที่จะสานต่อดนตรีของ Glinka ใน Petrograd โดยมีเพื่อนสนิทมาร่วมกลุ่มด้วยได้แก่ Cesar Cui เป็นทหารช่าง (เข้าร่วมปี 1856) Modest Mussorgsky ประกอบอาชีพเป็นข้าราชการ (เข้าร่วมปี 1857) Nikolai Rimsky Korsakov เป็นทหารเรือ (เข้าร้วมปี 1861) และ Alexander Borodin เป็นนักเคมี (เข้าร่วมปี 1862) โดยมีผู้ที่เป็นที่ปรึกษาในการแบ่งปันประสบการณ์ทางดนตรีกับกลุ่มคีตกวีกลุ่มนี้ อีกทั้งยังประกอบอาชีพเป็นนักวิจารณ์ดนตรีและศิลปะคือ Vladimir Stasov ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนดนตรีสำนักรัสเซียอย่างจริงจังและร้อนแรงเพื่อให้ดนตรีรัสเซียนั้นแบ่งแยกจากดนตรีตามขนบธรรมเนียมแบบตะวันตกจนทำให้มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันเกิดขึ้น เมื่อ Stasov ได้เขียนบทความให้แก่ Sankt-Peterburgskie Vedomosti (St. Petersburg News) เกี่ยวกับ “Slavic Concert of Mr. Balakirev เนื่องในโอกาสการประชุม Slavic Congress ในปี 1867 โดย Stasov ได้กล่าวไว้ในบทความของโดยระบุว่า
God grant that our Slav guests may never forget today's concert; God grant that they may forever preserve the memory of how much poetry, feeling, talent, and intelligence are possessed by the small but already mighty handful of Russian musicians.[2]
— Vladimir Stasov, Sankt-Peterburgskie Vedomosti, 1867
Vladimir Stasov - https://en.wikipedia.org/wiki/Vladimir_Stasov
ทางด้านอุปรากรณ์นั้นก็ได้รับกระแสชาตินิยมเช่นกัน เช่น Aleksadr Serov ผู้ที่ซึ่งไม่เคยดำรงตำแหน่งอะไรเลย ไม่มีลูกศิษย์ลูกหา และไม่อยู่แม้กระทั่งองค์กรหรือกลุ่มใดๆเลยทั้งสิ้น เป็นคีตกวีและนักวิจารณ์ชาวรัสเซียที่สำคัญและมีอิทธิพลอย่างมากในสมัย 1860 เขียนเรื่อง Enemy Power และ Anton Rubinstein ผู้ที่เป็นนักเปียโน คีตกวี และอธิการบดีและผู้ก่อตั้ง Leningrad Conservatory ชาวรัสเซีย ผู้เป็นพี่น้องกับ Nikolai Rubinstein ที่เป็นอธิการบดีและผู้ก่อตั้งอยู่ที่ Moscow Conservatory Anton Rubinstein เป็นหนึ่งในผู้ที่มีฝีไม้ลายมือในการเล่นเปียโนมากที่สุดของโลกจนสามารถเทียบได้กับ Franz Liszt ได้เลยทีเดียว ก็ได้เขียนอุปรากรณ์ Demon ไว้เช่นกัน ซึ่งทั้ง 2 ท่านต่างก็ขาดการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆเป็นของตัวเอง ยังคงอยู่ภายใต้กรอบของ Mussorgsky
Alexander Serov - https://www.google.com/search?q=alexander+serov+composer&source=lnms&tbm=isch&sa=X&ved=2ahUKEwjhvbi4j9DuAhWFwTgGHRDsDesQ_AUoAXoECAQQAw&biw=683&bih=555#imgrc=3qhOfs8xQC8eyM
Rubinstein at the piano - https://en.wikipedia.org/wiki/Anton_Rubinstein
ดนตรีแบบชาตินิยมที่เมือง Petrograd ที่กลุ่ม Mighty Handful ได้ถ่ายทอดรูปแบบทางดนตรีแบบชาตินิยมให้แก่คีตกวีรุ่นถัดไป ผู้ที่เป็นทายาทคือ Alexander Glazunov เป็นคีตกวีที่มีผลงาน Symphony ทั้งหมด 8 บท violin และ piano concerto ประเภท Chamber แต่ท่านไม่ได้ประพันธ์อุปรากรไว้เลย ท่านมีบทบาทสำคัญในขณะที่ดำรงตำแหน่งอธิการบดีแห่ง Leningrad Conservatory of Music คือในด้านการศึกษาองเหล่าคีตกวีรัสเซียในยุคถัดไป คีตกวีที่มีความสำคัญอีกหลายคน ได้แก่ Anatole Liadov ผู้ที่ไม่ได้มีความโดดเด่นอย่างไรนัก แต่ท่านทำให้ตัวเองแตกต่างจากคีตกวีท่านอื่นโดยการเขียนบทประพันธ์ประเภท Symphonic Poem ในลักษณะดนตรีพื้นบ้านของรัสเซีย Nikolai Tcherepnin ผู้มีบทเพลงประเภท Songs เป็นที่แพร่หลาย และ Ippolitov – Ivanov เป็นคีตกวี อาจารย์ที่ Moscow Conservatory และวาทยกร ผู้ซึ่งเดินตามรอบอาจารย์ที่ท่านได้ร่ำเรียนด้วยคือ N. Rimsky – Korsakov
Theatre Square and the conservatory, as seen in 1913 - https://en.wikipedia.org/wiki/Saint_Petersburg_Conservatory
ในฝั่ง สำนัก Moscow นั้น ไม่มีใครที่โดดเด่นไปกว่า Sergei Rachmaninoff ที่ได้นำวัตถุดิบทางดนตรีของรัสเซียนำไปประยุกต์ใช้ในงานประพันธ์ประเภทบทเพลง Piano ของเขา ซึ่งบทเพลงประเภท Piano เหล่านี้ได้ยกระดับสไตล์การเล่นเปียโนของรัสเซียให้สูงขึ้น บทเพลง Piano Concerto no.2 ได้กลายเป็น Standard Repertoire ในเวลาต่อมา ดนตรีของ Rachmaninoff นั้นมีความเป็นบทกวี และมีทำนองที่อ่อนช้อยงดงาม ซึ่งสไตล์นี้ได้รับการถ่ายทอดจากสายของ Tchaikovky อย่างชัดเจน คีตกวีที่อยู่ในยุคเดียวกันก็คือ Anton Arensky ที่มีความโดดเด่นในด้านงานเพลงบรรเลงเดี่ยว Piano และประเภท Chamber Music และ Vassily Kalinnikov ที่มีบทเพลง Symphony no.1 ที่โดดเด่น และแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการประพันธ์ที่มาจารพรแสวง ที่ไม่ใช่มาจากพรสวรรค์
Tchaikovsky Moscow State Conservatory - https://free-apply.com/en/university/1064300055
สำนักนี้ยังมีคีตกวีที่มีชื่อเสียงอีกหลายท่าน อาทิ Nikolai Medtner คีตกวีที่ประพันธ์บทเพลงให้เปียโนเป็นหลัก เป็นผู้ที่นำสไตล์การประพันธ์แบบฉบับของ Brahms และ Chopin มาประยุกต์ใช้ในวิธีการสมัยใหม่ Sergei Taneyev ผู้เป็นที่เชี่ยวชาญในด้านการเขียนเสียงประสานและมีบทความอันโด่งดังเกี่ยวกับการใช้เทคนิคในการเขียน Contrapuntal Alexander แต่น่าเสียดายที่ผลงานการประพันธ์ของท่านไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก Gretchaninov คีตกวีเจ้าของอุปรากรหลายบท งานประพันธ์ของท่านมีความเป็นแบบดนตรีสำนักชาตินิยม ผลงานบางส่วนได้นำมาจากตำนานดั้งเดิมของรัสเซีย และผงลานประเภท Choral ก็มีจิตวิญญาณแห่งความ Romantic ในแบบฉบับดนตรีรัสเซียอยู่, Reinhold Gliere คีตกวีและเป็นวาทยกร ผู้เป็นที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจากการที่ท่านได้ศึกษาดนตรีพื้นบ้านกับวงดนตรีพื้นบ้านหลายๆวงในประเทศ และประยุกต์ใช้วัตถุดิบจากดนตรีพื้นบ้านมาใช้ในผลงานการประพันธ์ของท่าน, และ Sergei Vassilenko คีตกวี อาจารย์และวาทยกร ผู้ซึ่งศึกษาบทเพลง Chant รัสเซีย และได้รับแรงบันดาลใจจากดนตรีพื้นบ้าน แต่ท่านก็สนใจความเป็น Exotic ของตะวันออกเช่นกันและยังได้รับอิทธิพลจากกระแส French Impressionism ด้วยเช่นกัน ต่อมา Vladimir Rebikov ผู้ซึ่งเจริญรอยตาม Tchaikovsky แต่ภายหลังถูกจัดให้เป็นคีตกวีที่ประพันธ์แนวสมัยใหม่ ซึ่งท่านเป็นคีตกวีคนแรกที่ใช้ Whole Tone Scale เป็นเค้าโครงในการประพันธ์ไม่ใช่แค่เป็นส่วนตกแต่งเท่านั้น
ถ้าพูดถึงคีตกวีที่คนแรกที่ถูกจัดอยู่ในประเภทดนตรีสมัยใหม่คนแรกจริงๆคือ Alexandr Scriabin ในช่วงแรกๆผลงานของท่านได้รับอิทธิพลอย่างแรงกล้าจากผลงานของ F. Chopin และในบทประพันธ์ประเภท Orchestra ได้รับอิทธิพลของ Wagner แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ท่านก็พัฒนาเทคนิคการประพันธ์ขึ้นมาใหม่อย่างที่แตกต่างจากแรงอิทธิพลอย่างมาก โดยท่านได้ยกระดับการประพันธ์เสียงประสานของ Liszt และ Wagner จนถึงขั้นที่สามารถเป็นเขียนได้อย่างสูงสุด ทุกความเป็นไปได้ในการเขียนเสียงประสานภายในบันไดเสียงและการใช้เสียงกระด้างอย่างฉับพลัน ในการเขียนเสียงประสานแบบใหม่นี้ท่านได้ใช้ Six-note Chord หรือที่เรียกว่า Mystic Chord ในผลงานของท่านมักจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับศาสนาและปรัชญาประกอบอยู่ ในผลงานหลักๆก็มีชื่อที่บ่งบอกเช่นนั้น ได้แก่ Devine Poem, Poem of Ecstasy, และ Poem of Fire หรือที่เรียกกันในภายหลังว่า Prometheus ซึ่งในผลงานนี้ ทำให้เห็นว่าท่านสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเสียงและสี ที่จริงแล้วท่านได้ยินเสียงแล้วเห็นเป็นสี เช่นเดียวกับเพื่อนของท่านคือ N. Rimsky Korsakov ท่านก็มี sense แบบนี้เช่นกัน แต่ของ Scriabin นั้นซับซ้อนขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง โดยท่านได้กำหนดสีเป็น Circle of Fifth เป็นการจัดวางระบบสีตามแบบของ Harmonic Series ได้ดังนี้
C – Red
G - Orange – Pink
D – Yellow
A – Green
E – Blue-Whitish
B – Similar to E
F# - Blue, Bright
Db – Violet
Ab – Purple-Violet
Eb, Bb – Steely; Metallic Gleam
F – Red, Dark
Alexander Scriabin - https://en.wikipedia.org/wiki/Alexander_Scriabin
ท่านจึงได้ประดิษฐ์เครื่องดนตรีขึ้นมาใหม่คือ clavier à lumières หรืออีกชื่อหนึ่งว่า tastiéra per luce ทั้งสองเครื่องเวลาเล่นก็จะมีทั้งเสียงกับสีออกมา อีกทั้งยังมี Effect เช่น Lightning, Sparkles โดยควบคุมจากตัว Keyboard ที่มีลักษณะมีแค่ Octave เดียวและประกอบด้วย Pedal 2 ข้างในการที่จะควบคุมความเข้มของเสียง ซึ่งเครื่องดนตรีที่เป็นตัวสำเนาชนิดนี้แล้วพัฒนาต่อจนได้แสดงรอบปฐมนิทัศน์ที่ New York ในปี 1915 ที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นโดย Alexandr Mozart แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ผลงานนี้ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรมากนัก แต่ก็เป็นที่ ‘The Most Talked of Musical Composition of the Twentieth Century…Introducing the New TASTIERA PER LUCE (A Coloured Light Keyboard).’ ต่อมาก่อนที่ Scriabin จะเสียชีวิตก็ได้ร่างผลงานชิ้นสุดท้ายตามความเชื่อว่าพระเจ้าคือทุกสิ่งทุกอย่างคือ Mystery เป็นผลงานที่รวบรวมศิลปะทุกแขนงเข้ารวมเข้าไว้ด้วยกัน จากผลงานทั้งหมดที่ Scriabin สร้างเอาไว้นั้นเป็นการออกนอกกรอบจากวัฒนธรรมดั้งเดิมของรัสเซีย และเป็นการพัฒนาการทางดนตรีในรูปแบบสมัยใหม่อย่างแท้จริง อีกทั้งนวัตกรรมที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่ของท่านนั้นได้ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อการพัฒนาของคีตกวีของรัสเซียในยุคต่อๆมา