3 ก.พ. 2021 เวลา 23:24 • ประวัติศาสตร์
ชีวิตรักของFreddie Mercury จะไม่พูดถึงผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ เพราะเธอมีบทบาทสำคัญกับชีวิตของเฟรดดีเป็นอย่างมาก Mary Austin (แมรี่ ออสติน)
 
เมื่อปี 1969 เฟรดดีในวัย24ปี ได้พบกับแมรี่อายุ 19 ปี ขณะที่เธอทำงานภายในร้าน ที่ร้าน Biba บนถนน Kensington church street เป็นครั้งแรก เฟรดดีหลงรักแมรี่เขาจึงตัดสินใจชวนแมรี่ออกเดทและพัมนาความสัมพันธ์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา บางแหล่งข่าวก็บอกว่าไบรอัน เมย์ เป็นคนแนะนำให้ทั้งคู่รู้จักกัน ต่อมาทั้งคู่ตัดสินใจเข้ามาอยู่ด้วยกันที่อพาร์ตเมนต์เล็กที่ต้องแชร์ห้องน้ำและห้องครัวร่วมกับผู้อาศัยในอพาร์ตเมนต์ ที่ต้องเสียค่าเช่าสัปดาห์ละ 10 ปอนด์ ที่ Kensington
2
ทั้งคู่เป็นเพียงแค่คู่รักวัยรุ่นหนุ่มสาวทั่วไปจนทั้งคู่คบกันได้ 4 ปีต่อมา
 
ในปี 1973 เฟรดดีได้ตัดสินใจขอแมรี่แต่งงาน วันคริสมาสในปีนั้นโดยเฟรดดี้ได้ทำเซอร์ไพรสให้แมรี่โดยการ ทำของขวัญซ่อนกล่องของขวัญที่เล็กลงเรื่อยๆโดยข้างในนั้นมีแหวนหยกวงเล็กๆวงหนึ่ง และแมรี่ได้ตอบตกลงในวันนั้น หลังจากการขอแต่งงานของเฟรดดี ปี 1975 วงQueen ก็ได้ปล่อยอัลบั้ม
“ A night at the opera ” ซึ่งในอัลบั้มนี้ มีเพลงที่เฟรดดีแต่ให้แม่รี่คู่มั่นของเขาอย่างเพลง “ love of my life” และได้พาแมรี่ ไปรู้จักกับครอบครัวของเขา ต่อจากนั้นในปี 1977 เฟรดดีได้ค้นพบตัวเอง เฟรดดีได้สารภาพกับแมรี่คู่มั่นของเขาว่าตนเองนั้นเป็นเกย์ จึงทำให้ทั้งคู่ต้องและแยกกันอยู่และเลิกลากันในที่สุด แม้ความสัมพันธ์เชิงชู้สาวของทั้งคู่จะจบลงในเวลา 7 ปี แต่ทั้งคู่ก็ยังเป็นเพื่อนรักต่อกัน
1
เฟรดดีเคยให้สัมภาษณ์ กับ New York Post ในปี 1985 ว่า
“คู่รักของผมต่างถามว่าทำไม พวกเขาไม่สามารถแทนที่แม่รี่ได้ ซึ่งผมว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพื่อนคนเดียวของผมคือ แมรี่ .. และผมไม่ต้องการคนอื่น สำหรับผม เธอคือภรรยาตามกฎหมาย สำหรับผมมันคือการแต่งงาน เราเชื่อมั่นในกันและกันซึ่งนั้นเพียงพอสำหรับผม”
ซึ่งนั้นถือเป็นข้อพิสูจน์ได้แล้วว่าทั้งคู่นั้นมีความรักให้กันอย่างแท้จริง แม้ทั้งคู่จะแยกทางกันแล้วก็ตาม หลั้งขากนั้นแมรี่ก้ได้แต่งงานใหม่และมีลูกถึง2คน แมรี่ก็ยังให้เฟรดดีเป็นพ่อทูลหัวของลูกเขาด้วย
หลังจากเฟรดดีได้แยกทางกับแมรี่เฟรดดีก็ได้เข้าสู่ชีวิตของสังคมชายรักชาย อย่างเต็มตัว เดิมทีเฟรดดีนั้นเป็นนักปาร์ตี้ตัวยง จากข่าวฉาวงานปาร์ตี้ หลังการเปิดตัวอัลบั้ม Jazz ปี 1978 ภายในงานจะมีพนักงานเสิร์ฟเปลือยที่มีโคเคนวางไว้บนหัว และนางแบบเปลือยกายชนิดที่ว่าฟรีเซ็กกันเลยทีเดียว เฟรดดีดื่มแชมเปญที่ดีที่สุดในคืนนั้น ค่าใช้จ่ายสำหรับงานปาร์ตี้มีมูลค่ารวม 200,000 เหรียญ
Freddie Mercury and Mary Austin A black and white drag ball party
อีกปาร์ตี้หนึงที่พูดถึงความเป็นเฟรดดีและแสดงจุดยืนของรสนิยมทางเพศของเขาได้ดี คือปาร์ตี้วันเกิดของเข้า ในปี1985 ในธีม “A black and white drag ball ” ‘Old Mrs. Henderson’ บนถนนรุมฟอร์ด (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น Paradiso Tanzbar) เป็นธีมที่ทุกคนในงานต้องแต่เดร็ค ในธีมขาวดำ แม้กระทั้งช่างภาพก้ต้องแต่เดร็ค
A black and white drag ball party
นักปาร์ตี้อย่างเฟรดดีแน่นอนเขาจะมีปาร์ตี้เซ็กส่วนตัวของเขาเกือบทุกคืน ‘พาตริซิโอ’ โสเภณีหนุ่มอิสราเอล ซึ่งเคยเป็นแขกในปาร์ตี้ส่วนตัวของเฟรดดีหลายต่อหลายครั้ง “พวกเด็กหนุ่มที่ถูกคัดเลือกมาจะได้เข้าไปในห้องสวีทของโรงแรมที่เฟรดดีพักอยู่ จากนั้นก็เริ่มเสพโคเคน พวกเราก็จะถอดเสื้อผ้า แล้วเดินเข้าไปในห้องของเฟรดดี เขารอรับเราด้วยชุดเสื้อคลุม
Paul Prenter (พอล เพรนเตอร์) ผู้จัดการส่วนตัวของ เฟรดดีอยู่ร่วมในเหตุการณ์ด้วย แต่เขาสวมเสื้อผ้าอยู่คนเดียว เฟรดดีมีเซ็กซ์กับเด็กหนุ่มทุกคนแบบเรียงตัว ต่อหน้าคนอื่นๆ จนเฟรดดีเพลีย อยากนอนแล้ว พอลก็จะจ่ายเงินให้ และบอกให้ทุกคนกลับไป”
เฟรดดี้ยังมีคลับโปรดของเมอร์คิวรีในมิวนิกชื่อ ‘Frisco’ ริมถนนบลูมเมน (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น ปาเดรส์) เมอร์คิวรีมักจะเดินเข้าทางด้านหลังของร้าน
และชอบยืนซุ่มอยู่บริเวณมุมซ้ายของร้าน เพื่อเฝ้ามองผู้คนอย่างนิ่งเงียบ หากเขาพบเจอใครที่เขาสนใจ เขาถึงจะเอ่ยปากเลี้ยงดริงก์ ‘ วอดกาน้ำส้ม ’ ที่เขาชื่นชอบ
แม้เมอร์คิวรีจะเป็นคนมีชื่อเสียง แต่ลูกค้าภายในร้าน ฟริสโกไม่เคยเข้าไปวุ่นวายก้าวก่ายเขา หลังจากดื่มเมามายติดต่อกันหลายคืน บ่อยครั้งเขามักจะขึ้นไปนอนพักบนห้องรับรองที่ชั้นสองของร้าน
นอกจากร้านฟริสโกแล้ว เมอร์คิวรียังชอบไปที่ร้าน ‘Ochsengarten’ บนถนนมึลเลอร์ เป็นร้านที่เปิดให้บริการเฉพาะผู้ชายสายโหดสวมชุดหนัง
แต่ชายคนรักในชีวิตของเมอร์คิวรีที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันยาวนานนั้นคือ จิม ฮัตตัน (Jim Hutton)บาร์เบอร์จากย่านโซ ของกรุงลอนดอนเขาเป็นคนที่อดกลั้นเมื่อรู้ว่าเมอร์คิวรีปันใจให้หนุ่มเยอรมัน เป็นคนที่ปฏิเสธจะจากลาเมื่อเมอร์คิวรีสารภาพว่าติดเชื้อเอชไอวี อีกทั้งยังเป็นคนคอยเฝ้าดูแลจนกระทั่งเมอร์คิวรีสิ้นลมในปี 1991
ส่วนจิม ฮัตตัน เสียชีวิตเมื่อต้นปี 2010 ด้วยโรคมะเร็งปอด หลังจากมีชีวิตอยู่กับเอชไอวีมากว่า 20 ปี
Freddie Mercury and Jim Hutton
มาพูดถึงบั้นปลายชีวิตของเฟรดดี เมื่อเฟรดดี้มั่นใจกับอาการป่วยของเค้าแล้วเค้าจึงบอกกล่าวกับคนสนิทและสมาชิกวง จากนั้นเค้าจึงตัดสินใจทิ้งชีวิตที่เป็นบุคคล สาธารณะไปอยู่เงียบและยกเลิกคอนเสิร์ตทั้งหมดช่วงนี้เอง ที่เริ่มมีข่าวหลุดลอย เกี่ยวกับอาการป่วยของเค้า เนื่องจากการปรากฏตัวของเฟรดดีในตอนที่ออกมา ประกาศยุติทัวภาพบนหน้าหนังสือพิมพ์ต่างๆที่ดูเหมือนว่าสภาพของเค้าจะดูทรุด โทรมลงอย่างรวดเร็วต่างจากการปรากฏตัวของคนก่อนหน้า
เฟรดดีเฟสตัวออกมาใช้ชีวิตเงียบๆคนเดียวอยู่ในกรุงลอนดอนหลังจากนั้นก็ย้ายไปอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ตั้งแต่ช่วงปี 1990 เป็นต้นมา เค้าถูกแพทย์สั่งห้ามร้องเพลง เนื่องจากอาการป่วยเริ่มลุกลามไปที่ปอดที่เป็นจุดสำคัญของร่างกายเรื่อยๆ เฟรดดี ปรากฏตัวครั้งสุดท้ายเมื่อตอนที่ออกมาถ่ายมิวสิควิดีโอเพลง
“These Are The Days Of Our Lives ”
1
ในวันที่ 22 พฤศจิกายน 1991 เฟรดดี ได้ออกมาประกาศให้โลกรู้ว่าตัวเขานั้นเป็นผู้ป่วยโรค HIV แล้วหลังจากนั้นหนึ่งวันวันที่ 24 พฤศจิกายน 1991 ที่เฟรดดีเมอคิวรี่ได้จากไปอย่างสงบด้วยอาการปอดบวมอันเกิดจากผลของโรคเอดส์เขาเสียชีวิตอยู่ที่เคนซิงตันประเทศอังกฤษ และได้เขียนพินัยกรรม โดยยกทรัพย์สินมากมายรวมถึงคฤหาสน์ Garden Lodge (การ์เด้น ลอดจ์) ให้ แมรี่ และเธอยังทำตามคำขอของเฟรดดี โดยให้แยกอัฐิของเฟรดดีออกไปหลายๆแห่งโดยไม่เปิดเผยในที่สาธารณะ
โฆษณา