4 ก.พ. 2021 เวลา 03:45 • หนังสือ
คือเงื่อนไขหรือหัวใจอิสระ ตอนที่3 (ต่อ)
โง่ก็โง่สิวะ
 
คอสมิกคาเฟ่ยังเป็นร้านเหล้าแบบไฮบริด กล่าวคือ เป็นร้านครึ่งหนึ่งเป็นแอร์อีกครึ่งหนึ่งไม่มีแอร์ภายในอาคารขนาด 5x11เมตร
คือแบ่งครึ่งร้านมันทั้งขนาดเล็กๆ อย่างนั้นเลยด้านหน้ามีแอร์ด้านหลังไม่มีแอร์ ร้านดูตลกมาก
ทำไมเหรอครับ ก็เพราะผมพยายามตอบโจทย์ลูกค้า อยากได้อะไรเราก็พยายามจัดให้ทั้งหมด
เดี๋ยวอยากนั่งแอร์เย็นๆ เดี๋ยวอยากนั่งสูบบุหรี่ชิลๆ มันก็เลยเป็นแบบนี้ล่ะครับ ออกมาแบบไม่เป็นตัวของตัวเอง แบบไฮบริดเยี่ยงนี้
ประสบการณ์ที่เที่ยวและทำงานกลางคืนมาสิบกว่าปีไม่ได้ช่วยให้ผมเข้าใจการทำงานที่ร้านเหล้าที่แท้จริงเลยแม้แต่น้อย
 
ต้องเริ่มกลับไปนับหนึ่งใหม่ลืมความต้องการที่หลากหลาย เอาใจเราเป็นที่ตั้ง ความเห็นของเพื่อนๆ คืออะไรที่เอาหมด
แต่ทุกอย่างต้องเริ่มจากเราเป็นผู้กำหนด วางฟังชั่น กำหนดตำแหน่งบาร์ เวที แคสเชียร์ ทุกตำแหน่งสำคัญต้องกลมกลืนและทำงานง่าย
อย่างที่กล่าวไปแล้วในบทก่อนหน้านี้ว่า เรามีเครื่องเสียงน้อยมาก
ลำโพงขนาด 10นิ้ว 2 ตัว
มิกเซอร์ตัวเล็ก 1 เครื่อง
ไมค์โครโฟน 2 อัน
ไม่มีมอนิเตอร์
ไม่มีแอมป์
ไม่มีซับเบส
ภายหลังได้รับความอนุเคราะห์กลองชุดเล็กจากปิง (มือกลองวงโมโนโทน) ให้ยืมมาใช้ก่อน
ช่วงนี้วง The Zip เข้ามาออดิชั่น หลังจากเริ่มมีกลองใช้แล้ว
 
วง The Zip เป็นเด็กหนุ่มไฟแรงมาจากเชียงใหม่ พวกเค้าเล่นดนตรีที่เชียงใหม่จนมีชื่อเสียงมีแฟนเพลงติดตามมากมาย (วงที่มาจากเชียงใหม่ยังมีอีกวงคือ Polycat จะกล่าวถึงในตอนต่อๆ ไปครับ)
The Zip ทั้ง 4 จับมือกันเข้ากรุงตามหาความฝัน เช่าบ้านอยู่ด้วยกันที่ศาลายา ให้บ้านเช่าเป็นที่อยู่ที่กินและเป็นห้องซ้อมไปด้วยในตัว
ผมรู้จักวงนี้เพราะโตครับ โตเป็นเพื่อนกับวงนี้เขาแนะนำให้เข้ามาออดิชั่นกับผม
ศิลา, ตู่, พัน และ แว่น เดินเข้ามาหาผม
“พี่ครับโตแนะนำพวกผมมาออดิชั่นที่ร้านพี่ครับ”
ในวันที่ไม่มีลูกค้าผมนอนกระดิกตีนเล่นอยู่ในร้านก็เด้งตัวขึ้นมาคุยกับพวกเขา
“โอเคลองออฯดู”
พอฟังเสร็จผมก็นึก
“ได้กัน อิอิ”
ด้วยเครื่องเสียงที่มีอยู่เท่านี้แต่พวกเค้าเล่นออกมาได้มีพลังเนี้อๆเน้นๆ
แล้วผมกลับไปนอนกระดิกตีนบนโซฟาสีแดงใหม่
บอกกับพวกเค้าว่า “รับเล่นนะ 1 ชั่วโมง 15 นาที คนละ 500 บาท
พูดจบปุ๊บทุกคนมองหน้ากันเอง ส่งแววตาสิ้นหวัง 555
กว่าจะมาถึงร้านได้ต้องนั่งแท็กซี่ไปกลับจากศาลายามาอาร์ซีเอต้องมี 400 บาท
หารคนละ 100บาท เหลือเงิน 400บาท เล่นมากสุดสัปดาห์ละ 5 วัน เหลือเงินคนละ 8,000บาท
ค่าเช่าบ้านค่าน้ำค่าไฟกินอยู่คงไม่มีเหลือซื้ออะไรนอกเหนือจากของใช้จำเป็น การเดินตามความฝันของ The Zip คงลำบากน่าดู
ก่อนหน้านี้พวกเขาไปออดิชั่นที่อื่นๆ กันมาแล้วครับ แล้วก็มาจบที่ร้านคอสมิกซึ่งเป็นความหวังสุดท้าย
เพลงที่พวกเขาใช้หากินกันมันไม่ไม่ตอบโจทย์ตลาดกลางคืนในกรุงเทพเลย แต่ตอบโจทย์ร้านคอสมิกคาเฟ่ที่สุด
ผมก็บอกให้ไปปรึกษาดูแล้วกัน รับเล่นก็ลุย ไม่เล่นก็ไม่เป็นไร ที่ต้องทำแบบนี้เพราะร้านไม่มีรายได้ไปเสนอได้มากกว่านี้หรอกครับ
ก็เฉลี่ยขายได้วันละพันสองถึงห้าพัน
ศุกร์เสาร์ดีหน่อยได้หมื่นนิดๆ บางวันขายได้ 200
เอาเงินกลับบ้าน 70 บาท หน่ะ
พวกเค้าออกไปประชุมกันนอกร้านเถียงกันเครียด555
แล้วกลับเข้ามา “ตกลงเล่นครับ”
เยส “ดี!! มาเล่นพุธกับศุกร์นะ เริ่มพุธนี้เลย”
วงนี้ถือเป็นวงคู่บุญคอสมิกคาเฟ่เลยนะครับ
เป็นวงที่สร้างมาตรฐานดนตรีของร้าน ทำให้ลูกค้าเชื่อได้ว่าที่นี่ดนตรีดีและบอกต่อกัน
 
กลับมาที่เรื่องห้องทดลองของผมต่อ
หลายคนจับตามองว่าผมกำลังทำอะไรอยู่
กว่าจะฉลาดได้ก็ต้องยอมโง่ก่อนครับ
มีคนนินทาแต่ทำเป็นไม่ได้ยิน
ผมจะเล่าความโง่ให้ฟัง
เริ่มต้นจากคิงคองเล่นดนตรีอยู่หลังร้าน (เป็นโอเพ่นแอร์)
ข้างหลังวงเป็นบาร์ ก็เล่นมันหน้าบาร์เลยครับ
(โง่ครั้งที่ 1)
จากนั้นก็ย้ายจากหลังร้านหน้าบาร์มาหน้าร้านเลย (ตรงนี้มีแอร์)
เพราะเล่นดนตรีหน้าบาร์ไม่เหมาะ
(โง่ครั้งที่ 2)
แล้วก็ย้ายเวทีจากหน้าร้านกลับไปไว้หลังร้านใหม่
(กลับไปโง่ครั้งที่ 1 รอบ 2)
คนนั่งแต่ข้างนอก ข้างในห้องแอร์ไม่มีใครไปนั่ง
นักดนตรีเล่นฟังกันเอง
ไม่ผ่านย้ายใหม่
คราวนี้มากลางร้านเลย
(ช่วงนี้ The Jukks เริ่มเข้ามาแล้ว)
คราวนี้ไม่บังบาร์ไม่เล่นกันเองในห้องแอร์
ไว้กลางร้านได้เกือบครึ่งปีสรุปได้ว่าไม่ผ่าน
เหมือนสมดุลไม่ได้ลูกค้างงๆ
(โง่ครั้งที่ 3)
แล้วก็ต้องย้ายกลับไปที่หลังร้านใหม่
คราวนี้ย้ายบาร์มาอยู่กลางร้านแทน
เอาวงซุกไว้หลังร้าน
บูทดีเจก็อยู่มันที่เดียวกับวงดนตรีไปซะ
ทำลายห้องแอร์ทิ้งไป
ทั้งร้านจุดนำสายตามีเพียงหนึ่งเดียว
คือหลังร้านที่มีวงดนตรีอยู่นั่นเอง
ได้ผลแฮะ
 
ลูกค้าสั่งเหล้าหน้าบาร์ได้
ดูวงดนตรีสบาย
สูบบุหรี่ได้ทั้งร้าน
ใครอยากนั่งแอร์เย็นๆ ให้ไปนั่งร้านอื่น
รู้สึกประสบความสำเร็จ
โฆษณา