5 ก.พ. 2021 เวลา 00:12 • ครอบครัว & เด็ก
เมื่อต้องนั่งดูร่องรอยลูกๆตลอดหนึ่งปี ความเรื่องราวและยืดยาวก็มาค่ะ
ใครสนใจอ่านเชิญเข้ามา ใครเห็นว่ายาวเกิ๊นนก็เลื่อนผ่านได้นะคะ ^_^
จากประสบการณ์การเลี้ยงลูกสไตล์โฮมสคูล(คนโตและน้องๆ) มาตลอด 15 ปี
ช่วงแรกสิ่งสำคัญเลยคือการเน้นความรัก จิตใจ อารมณ์ (ซึ่งก็คือสมดุล 4 ด้านนั่นเอง) ให้เขาได้วิ่งเล่น ได้ลองได้เรียนรู้อยู่กับดินกับทรายกับธรรมชาติ ของวิถีชีวิตครอบครัว พร้อมกับการเรียนรู้เพื่อรักตนเอง รักผู้อื่น เคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่นตามวัย (การรู้จักขอโทษ ขอบคุณ เสียใจเมื่อทำผิดและแก้ไขให้ถูกต้องเหมาะสมโดยมีเราคอยช่วยเหลือนำทางดูแลให้)
1
ช่วงโตมาหน่อยสิ่งสำคัญที่เพิ่มขึ้นมาคือ การอ่านออกเขียนได้ แต่บ้านนี้ไม่เร่งนะคะ คนโตเป็นลูกสาว (เพศลูกอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับพัฒนาการบางด้านเพราะเด็กมีอัตลักษณ์ของตนเองที่ต่างกัน) ลูกสาวพูดได้เร็ว และช่างอ้อน จึงได้เรื่องการอ่านไวหน่อย สะกดคำเพื่ออ่านนิทานด้วยตนเอง หลังจากที่แม่อ่านให้ฟังมานานแล้ว เหมือนอยากทำหน้าที่สลับกัน ในช่วงแรกก็อ่านจากจินตนาการ บ่อยเข้าเริ่มถามว่าคำนี้อ่านว่าอะไร ตัวนี้เขียนแบบไหนอย่างไร ตอนนี้รู้เลยว่าลูกพร้อมแล้ว ก็ลุยค่ะ สอนในสิ่งที่เขาอยากรู้ เมื่อเริ่มการอ่านการเขียน การดูแลตนเองเพิ่มเติมก็ตามมาคือการรู้จักป้องกันตนเองจากสื่อที่ไม่เหมาะสม ป้องกันตนเองจากอันตรายต่างๆ (อันที่จริงก็สอดแทรกทุกอย่างตามจังหวะเวลาที่เหมาะสมตลอดค่ะ) เดินทางไปไหนด้วยกัน ก็จะชี้บอกตลอดว่าที่นี่ที่ไหน มีอะไรเป็นจุดสังเกต (สอดแทรกนะคะ ไม่ได้บอกไปโต้งๆ หรือใช้การเล่นถามตอบก็มี เพราะลูกชอบ ^^) ก่อนนอนหรือกลับมาจากข้างนอกก็จะมีทบทวนกันว่าวันนี้ไปไหนอย่างไร ไปทำอะไร ได้เรียนรู้อะไรและรู้สึกกับวันนี้อย่างไร ลูกได้ทบทวนตลอดเส้นทางที่เราไปทำมาทั้งวัน หากไม่ว่างหรือเพลียร่างไม่ไหวจะนั่งคุยก็นอนกอดกันคุยกันถึงสิ่งดีๆ ที่ไปเจอมาในวันนี้ออกแนวสนุกสนานพร้อมหลับฝันดีกันไป
โตอีกหน่อย ลูกเริ่มมีแนวทางของตนเองชัดขึ้น (เด็กมีความพร้อมไม่เท่ากันนะคะ จัดไปตามห้วงเวลาที่เหมาะสมดีที่สุด) สิ่งที่ต้องเน้นย้ำคือ การกล้าแสดงออกและการรู้จักใช้เหตุและผล การเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น ให้เกียรติและการเข้าใจ รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา จากพื้นฐานที่เราปูเรื่องจิตใจเอาไว้ ตอนนี้ก็เสริมพลังเสริมคุณภาพความอ่อนโยนความรู้จักคิดนี้ให้แน่นขึ้น ลูกพร้อมเรียนรู้ตลอดเวลาอยู่แล้ว (เป็นหน้าที่ของพ่อแม่แล้วล่ะงานนี้ที่ต้องรู้จักเปิดใจเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับลูกให้มากกว่าที่ผ่านมา นั่นก็คือ การรู้จักเคารพการตัดสินใจ การให้เกียรติในสิ่งที่ลูกเลือกทำ การเชื่อใจลูก หลังจากที่เราให้เสนอแนะแนวทางอะไรเท่าที่จะทำได้แล้วนะคะ บางสิ่งบอกไปไม่น่าเชื่อเท่าได้ลองลงมือทำและเจอกับตัวเอง) บางอย่างผิดพลาด ก็ให้เขาได้ทบทวนและแก้ไข ความผิดพลาดคือครูชั้นเลิศค่ะ ลูกจะรู้และไม่ทำผิดอีก แต่ถ้าหากเขายังทำเหมือมเดิม ผิดซ้ำๆ ลูกอาจจะกำลังมีอะไรที่เขาอยากพิสูจน์หรือเปล่า ...อันนี้เราก็เคยคิดนะคะ คิดและกลายมาเป็นชวนลูกมาคุยกัน ถามถึงเหตุผลที่ยังทำอยู่ บางครั้งเด็กก็ไปรับข้อมูลมาโดยแม่ไม่รู้หรือไม่ทันสังเกต การพูดคุยจึงช่วยได้มากว่า คนนั้นคนนี้บอกว่า ทำแบบนี้แล้วจะได้ผลแบบนั้นนะ ซึ่งสิ่งที่ลูกกำลังทำและพลาดนั้นอาจมีอะไรบางอย่างที่เหลื่อมหรือผิดเพี้ยนจากแหล่งข้อมูลหรือเปล่า หรือหากผิดเพี้ยนจริง แม่ก็ช่วยบอกและทำให้ถูกต้อง ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ลูกสนใจสิ่งนั้นมากจริงๆ ถึงได้ยังไม่ยอมปล่อยให้ผ่านไปโดยง่าย
ตอนนี้ลูกสาวโตขึ้นมาก เป็นวัยรุ่นเลย สิ่งสำคัญไม่ใช่เรื่องของการโอบกอดการมอบความรักเพียงอย่างเดียวแล้ว แต่คือการเคารพและให้เกียรติกัน ลูกมีพื้นที่ส่วนตัวที่เขาต้องการและให้เราเคารพในพื้นที่ของกันและกันนั้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นการลงภาพถ่ายที่มีหน้าเขาแปะอยู่ เราต้องบอกกล่าวหรือขออนุญาตก่อนลงโซเชียล การเลือกเรียนเลือกอ่าน สิ่งที่เราอยากให้ลูกเรียนรู้ ถ้าหากเขาไม่สนใจ เขาก็ไม่แม้แต่จะเปิดอ่านเปิดดู นึกภาพเราเอง หากเราไม่สนใจเป็นสิ่งที่เราไม่เห็นว่าสำคัญ เราก็คงไม่เสียเวลาเปิดอ่านเปิดดูเช่นกัน อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันเลยคือ การรู้จักดูแลตนเองและคนรอบข้าง ลูกโตขึ้น นอกจากการดูแลตนเองอย่างเหมาะสม ทั้งเพศสภาพ ทั้งฮอร์โมน ทั้งการแสดงออก ยังมีหลายสิ่งที่ต้องคอยบอกคอยสอนคอยเตือน อันไหนที่มันไม่ดีมากเราก็ยังเรียกมาดุมาตี(หากรุนแรง แต่เป็นทางเลือกสุดท้ายแล้วเพราะปกติจะไม่ตีแล้ว โตแล้วควรคิดได้นะอะไรประมาณนี้) การดูแลใส่ใจคนรอบข้าง ลูกดูแลใส่ใจคนที่เขารักเสมอ พ่อแม่และน้องๆ ญาติๆที่รักและดูแลกันมา แต่ก็ยังมีธรรมเนียมหรือวิถีปฏิบัติบางอย่างที่เราก็ยังต้องคอยบอกคอยสอนคอยเตือน ส่วนลูกจะเรียนรู้และนำไปปฏิบัติได้ถูกต้องเพียงใดนั้น เราก็ต้องคอยดูอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ
ในตอนนี้แม้จะมีเสียงดัง ทะเลาะและไม่เข้าใจกันบ้าง แต่เราก็เลือกที่จะคุมอารมณ์ ใจเย็นและหันมาคุยกันด้วยเหตุผลด้วยความรัก บางครั้งก็ต้องใช้ตัวช่วย/ใช้บุคคลที่สาม (ในที่นี้ มนุษย์พ่อทำหน้าที่บ่อยค่ะ) และแม่ถือว่าแม่โชคดีมากแล้วที่ยังจับมือลูกมาเปิดอกนั่งคุยกันได้ ยังสามารถเดินจูงมือไปทั่วบ้านทั่วเมือง ยังมีเวลาที่ลูกออดอ้อนโดยไม่ต้องแคร์ว่าจะถูกเพื่อนแซวว่าไม่รู้จักโต
นี่คือลูกสาวคนโตของแม่ ลูกชายคนที่สองยังรอเวลาเรียนรู้อีกหลายสิ่งเช่นกัน ตอนนี้ 8 ขวบ ยังอ้อนยังกอดแม่ ยังมาขอหอมแก้มบอกรักตลอด แม้จะมีเรื่องของการแสดงออกว่าผมโตแล้วอยู่บ้าง (เช่น ช่วยถือของหนักๆ เพราะโตแล้ว/อยากให้ทุกคนยอมรับความคิดเห็นของตนว่าถูกต้อง ซึ่งบางทีก็ไม่ถูกนัก ก็จะต้องคอยบอกคอยสอนรวมถึงเรื่องการเคารพสิทธิ และอีกหลายสิ่ง)
ยืดยาวทีเดียวกับการดูแลเด็กๆ ในบ้าน ซึ่งทุกคนต่างมีวิถีของตนเอง ไว้มาบอกเล่าอีกยาวๆ บ้านนี้ลูกสี่คนสี่สไตล์ ไม่เหมือนกันเลยจริงๆ ยิ่งทำโฮมสคูลให้ ความชัดเจนในตัวตน อัตลักษณ์ของแต่ละคนยิ่งชัดเจนขึ้นทุกวันค่ะ
ขอบคุณที่แวะมาอ่านจนจบนะคะ
บันทึกเรื่องราวจากห้วงเวลาการเก็บและสรุปร่องรอยของลูก
(กับฤดูการวัดและประเมินผลบ้านเรียน/การเขียนแผนบ้านเรียน)
1
ติดตามร่องรอยการเรียนรู้และวิถีการเรียนแบบโฮมสคูลได้ทางเพจ หรือกดตามลิงค์นี้ได้เลยค่ะ
Phonics Home School : บ้านเรียนโฟนิค ศุภณัฐ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา