7 ก.พ. 2021 เวลา 02:00 • ความคิดเห็น
ทริคที่ผมเชื่อในการสร้างคอนเทนต์ ถ้าอยากให้งานของเราดังเปรี้ยง มันมี 2 ทางเลือกเสมอ อยู่ทีว่าเราจะเดินทางไหน
ในอดีตมีการ์ตูนเรื่อง Bakuman ครับ คนแต่งเรื่อง และคนวาดภาพ คือคู่หูที่แต่งเรื่อง Death Note นั่นเอง
Bakuman เป็นเรื่องของเด็ก ม.ต้น สองคนที่มีความฝันอยากเป็นนักเขียนการ์ตูนมืออาชีพ แล้วโด่งดัง เหมือนวันพีซ, นารุโตะ หรือดราก้อนบอล คืออาชีพนักเขียนการ์ตูนในญี่ปุ่น ถ้าเขียนเรื่องฮิตขึ้นมาได้ล่ะก็ เรื่องเดียวก็ทำให้คุณร่ำรวยมหาศาลไปตลอดชีวิตแล้ว
นักวาดการ์ตูน ถือเป็นหนึ่งในอาชีพในฝันของเด็กญี่ปุ่น แต่สถิติบอกว่า นักเขียนหน้าใหม่ 1 หมื่นคน จะมีแค่ 1 คนเท่านั้น ที่ก้าวไปสู่ความฝันได้สำเร็จ อัตราส่วนคือ 0.01% มันยาก และสาหัสขนาดนั้น
เด็กชายสองคนในเรื่อง ชื่อไซโค (วาดภาพ) และ ชูจิน (แต่งเนื้อเรื่อง) ก็เริ่มต้นทำทุกอย่างนับหนึ่งตั้งแต่แรก คือการจะเป็นนักเขียนซีรีส์เรื่องยาวได้นั้น คุณก็ต้องเริ่มต้นจากเขียนเรื่องสั้นเอาไปประกวดก่อน ถ้าผลงานดีพอ ก็มีโอกาสได้ทำเป็นซีรีส์เรื่องยาว
หลักการนี้คล้ายๆกับที่เออิจิโร่ โอดะ ผู้เขียนวันพีซนั่นแหละ เขาเริ่มต้นจากการเขียนเรื่องสั้นจำนวนมาก (ซึ่งในภายหลังรวมเล่มชื่อ Wanted) พอบก.เห็นศักยภาพว่าเขียนเรื่องสั้นแล้วสนุก น่าจะขายได้ ก็ยื่นข้อเสนอให้เขาเขียนซีรีส์เรื่องยาว และเป็นที่มาของวันพีซ การ์ตูนในตำนานที่ทุกคนรู้จักกันดี
ที่ญี่ปุ่นจะมีค่ายหนังสือการ์ตูนหลายค่าย แต่ค่ายที่ฮิตที่สุด ที่แทบจะการันตีความดังได้เลย นั่นคือนิตยสารรายสัปดาห์ที่ชื่อ โชเนนจั๊มป์ ของบริษัทชูเอย์ฉะ การ์ตูนดังๆ ระดับท็อปของโลก ส่วนใหญ่ก็มีจุดเริ่มต้นจากโชเนนจั๊มป์ทั้งนั้น
1
ใน Bakuman ในช่วงแรกๆ ไซโค กับ ชูจิน ลองเขียนต้นฉบับไปส่งให้ บก.ในนิตยสารโชเนนจั๊มป์ลองพิจารณาดูว่า พวกเขาโอเคหรือยัง หรือว่ายังขาดตกตรงไหนอยู่ ซึ่ง ต้นฉบับเรื่องสั้นครั้งแรกของทั้งคู่ ยังไม่ผ่านเกณฑ์
2
จุดอ่อนที่ทำให้ไม่ผ่าน คือเนื้อเรื่องของชูจินยังไม่แข็งแรงพอ สาเหตุเพราะเขาเขียนขึ้นมาโดยคิดคำนวณว่า คนอ่านน่าจะชอบอะไร
บรรณาธิการที่ชื่อฮัตโตริ ได้อธิบายว่านักเขียนการ์ตูนที่ประสบความสำเร็จแบ่งกว้างๆ ออกเป็น 2 แบบ
แบบที่ 1 คือคนที่อยากเขียนอะไรก็เขียนลงไปเลย แบบว่าขวานผ่าซาก
3
และ แบบที่ 2 คือใช้การคำนวณสร้างผลงานฮิตออกมา ศึกษาข้อมูล ความนิยม แบบสอบถาม ตามเทรนด์ในช่วงนั้น ฯลฯ
1
อย่างไรก็ตาม ถ้าเทียบกันแล้ว ฝ่ายที่สร้างผลงานฮิตมากกว่ากันอย่างทาบไม่ติด คือแบบที่ 1 ต่างหาก
คำอธิบายของบก.ฮัตโตริคือ การสร้างงานเขียนผ่านการคำนวณ ใครๆก็ทำกันแบบนั้น ก็เลยมีคู่แข่งเยอะ แต่ตรงข้ามคนที่ทำอะไรอย่างที่ตัวเองอยากทำ มันจะมีความ Unique มีเอกลักษณ์ชัดเจน และจะเป็นคนนำเทรนด์ ไม่ใช่ตามเทรนด์
ผมคิดว่าหลักการที่ บก.ฮัตโตริพูดขึ้นมา มันมีความแม่นยำทีเดียว กล่าวคือ ถ้าเราทำผ่านการคำนวณ มันจะมีคู่แข่งเยอะ อย่างเช่นเราเห็นเทรนด์ของครัวซองต์กำลังขายดี ก็เลยเปิดร้านครัวซองต์ขาย แปลว่ามันต้องแข่งขันกับคนจำนวนมาก ที่ใช้ชุดข้อมูลแบบเดียวกัน โอกาสที่ครัวซองต์ของเราจะดัง ก็เป็นไปได้ แต่แปลว่าเราต้องทำอร่อยแบบสุดๆ จริงๆ
ในทางกลับกัน ถ้าเราแค่ศึกษาตลาดไว้ประมาณหนึ่งว่าแนวคิดของเราไม่เอาต์จนเกินไป แล้วนึกอยากทำอะไรก็ทำเลย มันมีโอกาสที่เราจะเป็นเพลเยอร์คนเดียวของตลาดนั้น และอาจเป็นคนนำเทรนด์ ที่ทำให้คนอื่นทำตามก็ได้
ตอนแอดมินจะเปิดเพจวิเคราะห์บอลจริงจัง ผมก็ใช้หลักการประมาณนี้แหละครับ คือผมเองก็อ่าน stat และศึกษาเทรนด์มาเยอะในช่วงนั้น ซึ่งมีแต่คนบอกว่า ยุคนี้ต้องวีดีโอสิเพราะคนไม่ชอบอ่านกันแล้ว หรือไม่ก็ต้องกราฟฟิกที่แบบอ่านรู้เรื่องใน 1 หน้า เพราะใครจะมาเสียเวลาเป็น 10 นาทีในการอ่านหนังสือบนออนไลน์
2
ผมก็คิดว่า แล้วเราจำเป็นต้องทำตามเทรนด์ ตามข้อมูล และการคำนวณจริงหรือเปล่า ในเมื่อสิ่งที่เราชอบคือการเขียนนะ
1
ผมลองมานั่งทบทวนว่า แล้วการเขียนมัน "เอาต์" อย่างที่คนพูดกันหรือเปล่า ซึ่งก็ได้คำตอบว่า ไม่หรอกมั้ง เพราะการเขียนมีเป็นร้อยเป็นพันปี มันก็ยังยืนหยัดอยู่ได้ งานหนังสือแห่งชาติก็มีคนไปเต็มจนล้นทุกปี เพราะฉะนั้นคนที่รักการอ่านมันต้องมีอยู่สิ
บวกกับที่เคยอ่าน Bakuman บก.ฮัตโตริบอกว่า คนที่อยากเขียนอะไรก็เขียนเลย ทำอะไรก็ทำเลย โดยไม่ต้องสนใจการคำนวณ มันมีโอกาสประสบความสำเร็จได้มากกว่าอีก ดังนั้นผมก็เลยลุยเลย เขียนยาว 10 A4 ทุกวันลงบนหน้าวอลล์ โดยไม่สนเทรนด์ เทิร์น อะไรทั้งสิ้น
2
สุดท้ายเออ ผลลัพธ์มันก็ออกมาโอเค แม้จะไม่ได้มียอดไลค์เยอะแยะอะไร แต่เพจวิเคราะห์บอลจริงจังก็ยังอยู่ได้ถึงวันนี้ มีผู้อ่านที่รักติดตามกันอยู่อย่างสม่ำเสมอ ผมก็แฮปปี้แล้ว
ดังนั้นจากการทำข่าว ทำคอนเทนต์ในโลกออนไลน์มาตลอดหลายปี ผมจึงเชื่อตามที่บก.ฮัตโตริบอกว่า การคำนวณ ตามเทรนด์ ก็ประสบความสำเร็จได้ แต่มันจะมีคู่แข่งเยอะมาก
ตรงข้ามกับการสร้างคอนเทนต์อีกแบบ คือคิดอะไร ลองทำมันเลย แม้จะไม่ได้อยู่ในเทรนด์อะไรก็ตาม กล้าจะเป็นคนแรกของตลาด แม้ยังไม่เห็นทางว่าจะเวิร์กไหม แต่ท้ายที่สุดแล้ว มันมีเหลี่ยมที่จะไปถึงความสำเร็จได้มากกว่า
สรุปคือ ในยุคที่ใครๆก็สร้างคอนเทนต์ได้ อย่าไปยึดติดกับเทรนด์มากจนเกินไป อยากทำอะไรก็ทำเถอะ ไม่ต้องไปตามใครจนเกินไป
2
และถ้างานที่เราผลิตมีคุณภาพมากพอ ถึงจุดหนึ่งมันจะไปถึงความสำเร็จได้เอง ผมเชื่ออย่างนั้นนะครับ
โฆษณา