7 ก.พ. 2021 เวลา 02:15 • ไลฟ์สไตล์
ชีวิตในวัดป่าเริ่มต้นกันตั้งแต่ตี 3 เสียงระฆังสัญญาณจะดังขึ้น เรียกทุกคนมารวมกันเพื่อสวดมนต์นั่งสมาธิ
เมื่อถึงเวลา ตี 5 ทุกคนก็จะร่วมกันทำความสะอาดวัด แบ่งงานกัน กวาดใบไม้ ทำความสะอาดศาลา จัดที่ฉัน ล้างห้องน้ำ
และเมื่อฟ้าเริ่มสาง ไก่ขันรับตะวัน พระภิกษุสงฆ์ก็จะออกบิณฑบาต เมื่อกลับมาถึงวัดก็ถ่ายข้าวตั้งบาตรในศาลา จนเวลาสายๆ ราวๆ 8โมงครึ่ง ก็จะเข้าศาลาทำพิธีตอนเช้าและฉันอาหาร เมื่อฉันอาหารเสร็จก็ล้างบาตรทำความสะอาดศาลา แล้วแยกย้ายทำกิจที่ได้รับมอบหมาย
จนเวลาบ่าย 3 โมงจึงรวมตัวกันอีกครั้ง ฉันน้ำปานะและกวาดใบไม้ เสร็จแล้วก็แยกย้ายกันไปสรงน้ำแล้วเข้าศาลาสวดมนต์นั่งสมาธิ ฟังพระธรรมวินัย จน 3 ทุ่มก็แยกย้ายพักผ่อน
ตารางข้อวัตรแบบนี้ทำกันมาหลายสิบปี และก็ยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน ทำซ้ำๆๆๆๆๆ แบบนี้แทบทุกเมื่อเชื่อวัน
อาจมีการปรับเปลี่ยนบ้างตามความเหมาะสม เช่น ช่วงที่มีงานทอดกฐิน อาจจะไม่มีทำวัตรตอนตี 3 เป็นต้น
สงฆ์อยู่กันเป็นหมู่เป็นคณะ ทำอะไรร่วมกัน ช่วยเหลือกัน ดูแลกัน ไม่ใช่การอยู่อย่างโดดเดี่ยวเอกา
การต้องทำอะไรร่วมกันแบบนี้เป็นการฝึกฝน ฝึกไม่ให้ตามใจตัวเอง ฝึกทำอะไรต้องรับผิดชอบต่อหมู่คณะ เช่น การสวดมนต์นอกจากต่างคนต้องรับฺผิดชอบ ทำหน้าที่ของตัวเองแล้ว ก็ต้องดูแลหมู่คณะ ใครไม่มาสวดมนต์บ้างมีเหตุอะไรไหม ป่วยหรือเปล่า หรือเริ่มความรับผิดชอบอ่อนลง ต้องใส่ใจ ต้องดูแล ให้กำลังใจต่อกัน และฝึกฝนซึ่งกันและกัน
พระและคนในวัด ไม่ได้ประกอบอาชีพ แต่เลี้ยงชีวิตด้วยการทำความดี
แล้วมหาชนสนับสนุน อาหารการขบฉันก็ได้จากการบิณฑบาต พระไม่ได้ไปปลูกข้าวทำนาเองหรือแม้แต่หุงข้าวก็ไม่ได้หุงเอง
ทุกเช้าพระจึงออกรับอาหารจากญาติโยมที่คอยสนับสนุนการทำความดีของพระ ออกบิณฑบาตเป็นแถวเรียงตามลำดับพรรษามากไปน้อย ปิดท้ายด้วยเณร ออกไปอย่างสำรวมและเคารพในทานกุศลของญาติโยม
ห่มจีวรซ้อนสังฆาฏิ เดินสำรวม ไม่มองนกมองไม้ ไม่คุยกัน ไม่คุยกับญาติโยม ไม่มองหน้าโยม จะสวยหล่อขี้เหล่ก็ไม่มอง
โยมจะใส่อะไรก็รับ ยกเว้นที่พระวินัยไม่ให้รับเช่น เงิน ทอง ไม่รังเกียจว่าข้าวปลาอาหารจะประณีตหรือหยาบ มาจากภัตตาคารหรือเก็บเอาข้างรั้ว ก็รับหมด
 
เครื่องนุ่งห่มของพระ แต่เดิมเป็นผ้าห่อศพตามสุสานป่าช้า ทุกวันนี้ศพใช้วิธีเผากันหมด จึงไม่ได้มีผ้าบังสุกุลแบบดั้งเดิมให้พระไปหาเก็บมาทำจีวร
แต่ผ้าที่พระใช้ก็ยังคงความเรียบง่ายแบบเดิม ใช้ผ้าตามพระธรรมวินัย ยังคงตัด เย็บ และ ย้อม โดยมีครูบาอาจารย์คอยแนะนำ ผ้าของพระมีลายคล้ายท้องนา เพราะเป็นการเอาผ้าชิ้นเล็กชิ้นน้อยมาต่อกันจนเป็นผ้าบริขาร เป็นจีวร เป็นสบง เป็นสังฆาฏิ
แล้วย้อมสีด้วยน้ำต้มแก่นขนุน พระเณรจะนำแก่นขนุนมาผ่าเป็นชิ้นเล็กๆเท่านิ้วก้อย แล้วเอาไปต้มในกะทะใบใหญ่ เคี่ยวให้ได้ที่ น้ำจะมีสีน้ำตาลเข้ม จึงใช้น้ำนั้นซักและย้อมจีวร พระป่าใช้น้ำต้มแก่นขนุนในการซักผ้าไตรจีวร ไม่ได้ใช้ผงซักฟองแต่อย่างใด
หากผ้าขาด ชำรุด เป็นรู พระจะต้องเย็บ ซ่อม ปะ ชุน ก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้น
และจะมีการรับถวายผ้าครั้งใหญ่ของปีในวันทอดกฐิน งานทอดกฐินเป็นงานแห่งความสามัคคีของหมู่สงฆ์ เป็นงานสืบเนื่องจากการเข้าพรรษาที่จะมีขึ้นภายใน 1 เดือนหลังจากออกพรรษาแล้ว
ในช่วงเข้าพรรษาเป็นเวลาที่พระจะต้องอยู่ด้วยกัน 3 เดือน ไม่ไปไหน อยู่ด้วยกันก็อาจมีเรื่องเข้าใจผิดหรือไม่สบอารมณ์กันบ้าง ในวันออกพรรษาจะเป็นวันปวารณา คือ เปิดโอกาสให้ชี้โทษกันได้ ว่าอยู่ด้วยกัน 1 พรรษาใครมีข้อพร่อง ข้อด่าง อย่างไร ชี้บอกจะได้นำไปแก้ไขกัน
เมื่อบอกข้อผิดพลาดกันแล้วก็ต้องต่อด้วยการสร้างความสามัคคีในงานกฐิน
งานกฐินพระธรรมวินัยกำหนดให้พระที่อยู่ด้วยกันตั้งแต่ 5 รูปขึ้นไปต้องทำผ้าขึ้นมาผืนหนึ่งแล้วมอบให้พระรูปใดรูปหนึ่งในอาวาส โดยพระทุกรูปจะต้องช่วยกันทำให้เสร็จสิ้นภายใน 1 วัน นับแสงพระอาทิตย์ขึ้นเป็นเกณฑ์
ดังนั้นพระทุกรูปในวัดต้องช่วยกัน ไม่อย่างนั้นผ้ากฐินก็จะไม่เสร็จ ทุกคนต้องละเรื่องความไม่พอใจส่วนตัว ต้องรวมใจกันเพื่อเป้าหมาย แบ่งงานกัน ท่านใดต้มแก่นขนุน ท่านใดเย็บ ท่านใดตัดผ้า เป็นการสร้างความสามัคคีอย่างเป็นรูปธรรม
ซึ่งในความจริงแม้เทคโนโลยีแบบปัจจุบัน กว่าจะได้ผ้ากฐินก็ใช้เวลามาก ค่ำมืดดึกดื่นทีเดียวกว่าจะเสร็จ
พระป่า จะมีกุฏิแยกออกจากกัน ไม่พักห้องเดียวกันถ้าไม่จำเป็น
กุฏิพระจึงมักเป็นหลังเล็กๆ ห่างๆกัน มีทางเดินจงกรมอยู่ใกล้ๆ กุฏิและสิ่งก่อสร้างทุกหลังเป็นของกลาง ของกลางคือเป็นของสงฆ์ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ใครคนใดคนหนึ่งจะยึดถือเป็นของส่วนตัวไม่ได้ ผู้ที่มาอยู่พักอาศัยเป็นเพียงผู้มาใช้ชั่วคราวเท่านั้น
ผู้อยู่อาศัยต้องดูแลรักษา ทำความสะอาด บำรุงรักษาให้ใช้งานได้อยู่เสมอ แต่หากจะต้องต่อเติมเปลี่ยนแปลงต้องบอกต่อประธานสงฆ์ แล้วท่านจะพิจารณาเอง จะต่อเติมเองไม่ได้
เพราะถ้าทำเองได้เลย พระหลายรูปก็จะเอาแต่ก่อสร้าง ทำอยู่อย่างนั้น อย่างอื่นไม่ทำ งานสมาธิอะไรก็ไม่เอา พอได้ทำกุฏิ สักพักก็พัฒนาเป็นหลังใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นศาลา เป็นเจดีย์ บวชมา 10 - 20 ปี กลายเป็นช่างไปเสียอีก
 
หากเจ็บป่วย คณะสงฆ์จะดูแลกันเอง มีโยมพาไปหาหมอเมื่อจำเป็น เพราะพระบวชมาแล้วก็ตัดพี่ตัดน้อง เป็นประหนึ่งคนไร้ญาติ พระสงฆ์ด้วยกันจึงทำหน้าที่ดูแลกัน จะป่วยเพียงเป็นหวัด หรือจะหนักหนาขั้นป่วยเป็นมะเร็ง คณะสงฆ์ก็จะดูแล ไม่ปล่อยให้ได้รับทุกขเวทนาเพียงลำพัง
แม้แต่การตัดแว่นสายตา การทำฟันปลอม คณะสงฆ์ก็จะจัดสรรให้ทั้งหมด โดยที่พระไม่ต้องขวนขวายหรือรบกวนญาติโยมแม้แต่น้อย
 
ข้าวของเครื่องใช้ทั้งปวงในชีวิต ไม่ว่าจะเป็น ใบมีดโกน เข็ม ด้าย สบู่ ยาสีฟัน จะมีอยู่ที่ส่วนกลาง วัดจะมีคลังสงฆ์เป็นที่เก็บของที่ญาติโยมนำมาถวาย พระจะเอาไปเก็บเป็นส่วนตัวไม่ได้ จะมารวมไว้ที่คลังสงฆ์นี้ โดยมีเจ้าหน้าที่ ที่คณะสงฆ์ตั้งขึ้นทำหน้าที่ดูแล คอยเก็บ คอยแจกจ่าย
ผู้ที่บวชเป็นพระ จึงไม่ต้องห่วงเรื่องข้าวของเครื่องใช้เหล่านี้ มีเพียงพอต่อความจำเป็นพื้นฐานของชีวิต
 
คำว่า "ส่วนรวม" เป็นคำใหญ่สำหรับวัดป่า อะไรต่ออะไรก็ต้องเพื่อส่วนรวมก่อน ส่วนตัวแทบจะไม่มีเลยในชีวิตการอยู่วัด
อาหาร หรือ สังฆทาน ที่สงฆ์ได้มาก็เข้ากองกลางแล้วก็จัดแบ่งกันตามความเหมาะสม ทุกคนในวัดมีสิทธิ์ได้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าอาวาสหรือเด็กวัดตัวเล็กๆ จะไม่มีใครอด
กุฏิที่พัก ศาลา ห้องน้ำ ก็เป็นของกลางทั้งหมด ทุกคนได้หลับนอนพักผ่อนกันอย่างปลอดภัย
 
ทุกวันนี้ในสังคมที่มองเรื่องสิทธิเสรีเป็นหลัก เรื่องส่วนรวมแบบวัดอาจฟังดูระคายหู เพราะเหมือนจำกัดสิทธิเสรีภาพมากไป แต่สำหรับคนอยู่วัด ไล่มาตั้งแต่เจ้าอาวาสยันเด็กวัด
 
มันคือการฝึกฝน
มันคือการขัดเกลา
ก็ในเมื่อวัดสามารถให้ความเป็นอยู่ได้ทุกอย่างแล้ว มีอาหารพอ เครื่องนุ่งห่ม เจ็บป่วยก็ดูแล มีที่พักหลับนอนให้ ก็ไม่ต้องกังวลอะไรอีกแล้ว
เวลาที่เหลือก็เอาไปภาวนา ฝึกหัดดัดตัวเอง เพื่อจัดการกับความทุกข์ของใครของมัน คนในวัดพอเรื่องการกินการอยู่ เพื่อทำอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าการหาอยู่หากิน คือ การฝึกตน
 
ในทางตรงกันข้าม หากสมาชิกในวัดต้องมาลำบากเรื่องการกินการอยู่ มันจะเกิดอะไรขึ้น? พระต้องไปไถนาเอง หว่านข้าวเอง หรือแม้แต่หาเงินเองอย่างนั้นหรือ?
บวชเข้ามาแทนที่จะต้องทำอะไรที่ยิ่งใหญ่สมกับการสละชีวิต แต่ยังคงต้องมายุ่งกับการหาอยู่หากินแข่งกับชาวบ้าน ดูจะไม่คุ้มกับการเสียสละอันยิ่งใหญ่เท่าไรนัก
 
การอยู่กินภายในวัด แทบจะไม่อด มีกินมีใช้เพียงพอต่อชีวิต แต่ต้องฝึกตัวเองให้กินง่ายอยู่ง่าย เพราะข้าวของที่ได้มานั้นก็เป็นของญาติโยมที่ศรัทธานำถวาย มีดีบ้าง ดีน้อยลงบ้าง มีถูกใจบ้างหรือแม้แต่ไม่ถูกใจเลย
ในเมื่อข้าวของมาแบบพันทางเราสั่งไม่ได้ควบคุมไม่ได้แบบนี้ ก็จำเป็นที่จะต้องหัดตัวเอง ให้มีความสามารถในการเป็นผู้เลี้ยงง่าย โยมถวายส้มตำก็ทานได้ ถวายพิซซ่าก็ทานได้ จะเป็นผ้าเนื้อละเอียดก็ใช้ได้ หรือ เป็นผ้าดิบก็รับได้
ด้วยการหัดตัวเองแบบนี้ ผลที่ได้รับคือ ผู้ฝึกจะกลายเป็นคนใช้ของแบบเน้นหาประโยช์เป็นหลักโดยอัตโนมัติ จะอร่อยหรือไม่ก็ช่างมัน แต่ ให้อิ่มและเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ยังชีวิตไว้ได้เป็นพอ
ผลต่อเนื่องจากการที่ใส่ใจในสิ่งเสพบริโภคน้อยลงคือ เป็นคนสุขง่ายขึ้น ไม่ต้อง อร่อย หรูหรา สวยงาม ก็ได้ แค่ให้ได้ประโยชน์ตรงตามธรรมชาติของเค้าก็เพียงพอ
ที่วัดจะเจอเรื่องง่ายๆอย่างเช่น ไม่ต้องที่นอนนุ่มๆ ขอให้ได้นอนก็พอแล้ว หรือ ไม่ต้องอาหารอร่อยหรอกให้ได้กินอิ่มก็พอแล้ว
โฆษณา