เพราะถ้าทำเองได้เลย พระหลายรูปก็จะเอาแต่ก่อสร้าง ทำอยู่อย่างนั้น อย่างอื่นไม่ทำ งานสมาธิอะไรก็ไม่เอา พอได้ทำกุฏิ สักพักก็พัฒนาเป็นหลังใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นศาลา เป็นเจดีย์ บวชมา 10 - 20 ปี กลายเป็นช่างไปเสียอีก
หากเจ็บป่วย คณะสงฆ์จะดูแลกันเอง มีโยมพาไปหาหมอเมื่อจำเป็น เพราะพระบวชมาแล้วก็ตัดพี่ตัดน้อง เป็นประหนึ่งคนไร้ญาติ พระสงฆ์ด้วยกันจึงทำหน้าที่ดูแลกัน จะป่วยเพียงเป็นหวัด หรือจะหนักหนาขั้นป่วยเป็นมะเร็ง คณะสงฆ์ก็จะดูแล ไม่ปล่อยให้ได้รับทุกขเวทนาเพียงลำพัง
แม้แต่การตัดแว่นสายตา การทำฟันปลอม คณะสงฆ์ก็จะจัดสรรให้ทั้งหมด โดยที่พระไม่ต้องขวนขวายหรือรบกวนญาติโยมแม้แต่น้อย
ข้าวของเครื่องใช้ทั้งปวงในชีวิต ไม่ว่าจะเป็น ใบมีดโกน เข็ม ด้าย สบู่ ยาสีฟัน จะมีอยู่ที่ส่วนกลาง วัดจะมีคลังสงฆ์เป็นที่เก็บของที่ญาติโยมนำมาถวาย พระจะเอาไปเก็บเป็นส่วนตัวไม่ได้ จะมารวมไว้ที่คลังสงฆ์นี้ โดยมีเจ้าหน้าที่ ที่คณะสงฆ์ตั้งขึ้นทำหน้าที่ดูแล คอยเก็บ คอยแจกจ่าย
ผู้ที่บวชเป็นพระ จึงไม่ต้องห่วงเรื่องข้าวของเครื่องใช้เหล่านี้ มีเพียงพอต่อความจำเป็นพื้นฐานของชีวิต
คำว่า "ส่วนรวม" เป็นคำใหญ่สำหรับวัดป่า อะไรต่ออะไรก็ต้องเพื่อส่วนรวมก่อน ส่วนตัวแทบจะไม่มีเลยในชีวิตการอยู่วัด
อาหาร หรือ สังฆทาน ที่สงฆ์ได้มาก็เข้ากองกลางแล้วก็จัดแบ่งกันตามความเหมาะสม ทุกคนในวัดมีสิทธิ์ได้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าอาวาสหรือเด็กวัดตัวเล็กๆ จะไม่มีใครอด
กุฏิที่พัก ศาลา ห้องน้ำ ก็เป็นของกลางทั้งหมด ทุกคนได้หลับนอนพักผ่อนกันอย่างปลอดภัย
ทุกวันนี้ในสังคมที่มองเรื่องสิทธิเสรีเป็นหลัก เรื่องส่วนรวมแบบวัดอาจฟังดูระคายหู เพราะเหมือนจำกัดสิทธิเสรีภาพมากไป แต่สำหรับคนอยู่วัด ไล่มาตั้งแต่เจ้าอาวาสยันเด็กวัด
มันคือการฝึกฝน