7 ก.พ. 2021 เวลา 08:42 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
หนังเรื่องนี้อาจไม่ได้มีบทบาทในเวทีประกวดหนังช่วงต้นปีนี้ แต่มั่นใจว่าหนังเรื่องนี้ต้องทำให้ Carey Mulligan กลับมาอยู่ในสายตาแฟนหนังสายรางวัลอย่างแน่นอน และไม่รู้ว่าบ้านเราจะได้ดู Promising Young Woman หนังเก็งรางวัลในปีนี้ของเธอกันทางไหนและเมื่อไร แต่การได้เห็นการแสดงที่กินใจเหลือเกินในหนังเรื่องนี้ก็น่าจะเป็นเครื่องพิสูจน์(อีกครั้ง) ว่าเธอมีของขนาดไหน และจากที่ได้ดูคลิปตัวอย่างและภาพนิ่งของ Promising Young Woman คือพลิกจากบทเดิม ๆ ที่เราเคยเห็น Carey Mulligan เล่น (รวมถึง The Dig ด้วย) จนอยากให้ Carey Mulligan ปาดหน้าคว้าออสการ์จากอีก 2 ตัวเก็ง อย่าง Viola Davis จาก Ma Rainey's Black Bottom และ Frances McDormand จาก Nomadland
กลับมาที่ The Dig หนังเล่าย้อนไปช่วงปี 1938 ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 หนุ่มใหญ่คนนึงที่ได้รับการว่าจ้างจากม่ายสาวลูกหนึ่งให้มาขุดเนินดินปริศนาที่อยู่ในที่ดินของเธอ ซึ่งเธอชื่อว่ามีโบราณวัตถุบางอย่างถูกฝังอยู่ในนั้น
จังหวะในการเล่าเรื่องของหนังเรื่องนี้ มีความคล้ายหนังคลาสสิค คือเล่าแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้มีการตัดต่อที่หวือหวาหรือมีจังหวะบีบคั้นอารมณ์อะไรมากมายแบบที่หนังย้อนยุคในยุคนี้นิยมกัน การที่ได้ Ralph Fiennes มารับบทนำ ยิ่งทำให้อดนึกถึงหนังอย่าง The English Patient ไม่ได้ แม้ว่าระดับความยิ่งใหญ่ทั้งเนื้อหาและโปรดักชั่นจะแตกต่างกันก็ตาม
การแสดงของ Carey Mulligan ในหนังเรื่องนี้นั้น มาในแนวน้อยแต่มาก ซึ่งเป็นสไตล์ที่เธอถนัด ตัวละครของเธอเป็นคนที่มีความเปราะบางและผ่านเรื่องร้ายมาพอสมควร อีกทั้งยังมีเรื่องลับที่ไม่อยากบอกใครรู้ เราจะได้เห็นฉาก close up ที่ใบหน้าของเธออยู่หลายครั้ง เราสามารถรับรู้ความรู้สึกของเธอโดยที่ไม่ต้องเอ่ยปากพูดอะไรเลยสักคำ ซึ่ง Carey Mulligan สามารถถ่ายทอดอารมณ์อมทุกข์ผ่านสีหน้าที่มีรอยยิ้มได้อย่างนุ่มลึกและมีมิติมาก จนตอนดูแอบเผลอน้ำตาซึมไปแบบไม่รู้ตัว มันไม่ใช่ความรู้สึกเศร้า แต่เป็นความรู้สึกอิ่มเอมใจซะมากกว่า​ The​ Dig อาจไม่ใช่แค่การขุดดิน​ แต่เป็นการขุดลึกเข้าไปในจิตใจ
อีกหนึ่งอย่างที่ทำให้อดนึกถึงหนังออสการ์ (ขวัญใจแอด) อย่าง The English Patient ไม่ได้ ก็คือการที่หนังมีคู่รองและโฟกัสที่ love story เหมือนกัน และใน The Dig นั้นได้ Lily James มารับผิดชอบส่วนนี้ ดีกรีความน่ารักสดใสของเธออาจน้อยกว่าเรื่องที่ผ่าน ๆ มา เพราะเธอต้องมารับบทเป็นหญิงที่แต่งงานกับชายที่ห่างเหินและดูจะไม่สนใจเธอเลย จนได้ใกล้ชิดและรู้สึกดี ๆ กับชายหนุ่มอีกคนที่ต้องไปออกรบเร็ว ๆ นี้
หนังสะท้อนความรู้สึกของตัวละครผ่านการกระทำมากกว่าคำพูด มีการเล่าข้ามในหลาย ๆ จังหวะ ซึ่งทำให้เรื่องราวไม่ปะติดปะต่อเท่าที่ควร แต่ความรู้สึกส่วนตัวคิดว่าสิ่งที่หนังต้องการนำเสนอคืออารมณ์ความรู้สึก ไม่ใช่เหตุการณ์ ดังนั้นเรื่องราวที่ไม่ได้สะท้อนในส่วนนี้เลยถูกข้ามไป​
และด้วยความที่หนังสร้างจากเรื่องจริง สำหรับคนที่ดลัวจะดูไม่รู้เรื่องไม่ต้องกลัว​ เราจะได้รู้ถึงปลายทางของสิ่งที่เกิดขึ้น ส่วนจะใช่ข้อเท็จจริงหรือไม่นั้นคงไม่สามารถบอกได้ (เพราะประวัติศาสตร์ขึ้นอยู่กับคนที่เขียนมันขึ้นมา​ 55)
อารมณ์ในการดูหนังเรื่องนี้คงยากที่จะอธิบายออกมาเป็นตัวหนังสือ คำที่ใกล้เคียงสุดคงเป็นคำว่า "มวนท้อง" คือดูแล้วมีความสุขก็ไม่ใช่ จะเศร้าก็ไม่เชิง แต่รู้สึกดีที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ ส่วนคนอื่นจะรู้สึกยังไง​ คงต้องไป​ Dig​ เอาเอง
#MovieGuroo #Netflix #TheDig
โฆษณา