8 ก.พ. 2021 เวลา 12:00 • การ์ตูน
มังงะที่น่าสนใจ เรื่องที่ 2
ชื่อเรื่อง : RADIATION HOUSE
เรื่อง : Tomohiro Yokomaku
ภาพ : Taishi Mori
แนวเรื่อง : Medical
ลิขสิทธิ์ญี่ปุ่น : SHUEISHA Inc., Tokyo.
ลิขสิทธิ์ไทย : Luckpim
จำนวนเล่มที่วางขายในญี่ปุ่น : 10 เล่ม (ยังไม่จบ) เล่ม 10 วางแผงวันที่ 18 ธันวาคม 2563
จำนวนเล่มที่วางขายในไทย : 8 เล่ม (ยังไม่จบ) เล่ม 8 วางแผงวันที่ 3 มิถุนายน 2563
เรทหนังสือ : อายุ 15 ปีขึ้นไป
ราคาปัจจุบัน : 70-90 บาท
เรื่องย่อ : นักรังสีเทคนิค อิการาชิ อิโอริ มีฝีมือในการสร้างภาพอวัยวะร่างกายด้วย CT หรือ MRI เป็นเลิศ
เพียงแต่เจ้าตัวสื่อสารกับคนอื่นไม่ค่อยเก่ง วันหนึ่งเขาได้เข้ามาทำงานยังโรงพยาบาลที่
อามาคาสุ อัน รังสีแพทย์ผู้ซึ่งเป็นเพื่อนสมัยเด็ก และตัวเขาแอบปลื้มมานานทำงานอยู่
ณ ที่นั่น อิโอริในฐานะนักรังสีเทคนิคพยายามจะช่วยงานอันให้ดีที่สุด ทว่า...!?
หาโรคร้ายที่มองไม่เห็นให้พบ การ์ตูนการแพทย์รังสีวินิจฉัย เปิดฉากขึ้นแล้ว!!
ภาพปก RADIATION HOUSE เล่ม 1
ความเห็นหลังอ่าน : เรื่องนี้เนื้อหาส่วนใหญ่จะเป็นการทำงานของ นักรังสีเทคนิค ที่ทำงานร่วมกันกับ รังสีแพทย์ และคอยช่วยกัน ถ่ายภาพ และวิเคราะห์ หรือวินิจฉัยอาการของผู้ป่วยที่เข้ามาตรวจในโรงพยาบาลครับ !! แต่เนื้อเรื่องที่มีแค่นั้นอาจจะมีแค่ความกดดันที่มีต่อ นักรังสีเทคนิค รังสีแพทย์ และคนไข้เท่านั้นครับ แบบนั้นอาจจะตึงเครียดไปสำหรับผู้อ่านครับอาจารย์ Tomohiro Yokomaku แกเลยสร้างเรื่องราวความสัมพันธ์ของพระเอกอย่าง “อิการาชิ อิโอริ” กับนางเอก “อามาคาสุ อัน” ควบคู่กันไปด้วยครับ และบอกเลยว่า “ความสัมพันธ์” ของทั้งคู่ทำให้เรื่องสนุกขึ้นไปในอีกรูปแบบครับ เพราะจะออกแนวน่ารักๆ บ้าง แนวไม่เข้าใจกันบ้าง บางครั้งก็ช่วยเหลือกันบ้าง มีความสนุกต่างไปจาก เนื้อเรื่องที่ต้องแสดงความสามารถในการ “ถ่ายภาพ” อาการป่วยต่างๆ ที่ต้องจริงจัง และให้สาระกับผู้อ่านมากที่สุดครับ และก็ต้องบอกเลยครับว่า “ข้อมูล” ที่อาจารย์ Tomohiro Yokomaku ใส่มาในเรื่องค่อนข้างจะเป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้ และมีที่มาที่ไปชัดเจนครับ !! เรื่องนี้สำหรับผมแล้วเป็นมังงะที่สนุก และได้สาระเต็มที่มากๆ เลยครับเรื่องบางเรื่องไม่เคยรู้ก็ได้รู้จากเรื่องนี้เพียบเลยครับ ไม่ว่าจะเป็น “เซลล์มะเร็ง” มีหลายรูปแบบ หรือการถ่ายภาพในการตรวจหาโรคนั้นสามารถทำได้หลายรูปแบบมากๆ และการตรวจหลังจากที่เสียชีวิตต้องได้รับความยินยอมจากครอบครัวผู้เสียชีวิตด้วย !! ในเรื่องยังมีเนื้อหาที่น่าสนใจอีกเพียบเลยครับ แต่ถ้าเพื่อนๆ คนไหนไม่ถนัดในการอ่านมังงะผมขอแนะนำให้ลองไปดูในรูปแบบ “ซีรีย์คนแสดง” ในแอพพลิเคชั่น VIU ได้เลยนะครับรับรองว่าสนุกไม่แพ้กันแน่นอนครับ 😊😊😊
คะแนนความชื่นชอบ : ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️
สาระดีๆ ที่ได้จากมังงะเรื่องนี้
นักรังสีเทคนิค คือ
นักรังสีเทคนิค มีหน้าที่ให้บริการทางรังสีเทคนิคในการตรวจ วิเคราะห์และรักษาด้วยเครื่องมือทางรังสีรวมทั้ง การป้องกันอันตรายจากรังสีแก่ผู้ป่วย ซึ่งปฏิบัติ งานเกี่ยวกับรังสีวินิจฉัย รังสีรักษา เวชศาสตร์ นิวเคลียร์และทางฟิสิกส์การแพทย์โดยกรรมวิธีพิเศษ รับผิดชอบในการถ่ายภาพส่วนต่าง ๆ ของร่างกายผู้ป่วยด้วยรังสีประเภทต่างๆ ตามคำสั่งแพทย์ ใช้อุปกรณ์ถ่ายภาพ เช่น เครื่องเอกซเรย์ เครื่องฉายรังสีเครื่องนับวัดรังสี เครื่องอัลตราซาวนด์ เครื่องเอกซเรย์ระบบคอมพิวเตอร์ เครื่องตรวจด้วยสนามแม่เหล็กแรงสูง เครื่องเร่งอานุภาพ จัดท่าผู้ป่วยให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมกับเครื่องมือหรืออุปกรณ์ในการฉายรังสีบันทึกผลจากภาพถ่ายรังสี บันทึกจากการฉายรังสีเพื่อนำให้รังสีแพทย์ทำการรายงานผลเสนอแพทย์ผู้ทำการรักษา จัดเตรียมฟิล์มเอกซเรย์ และน้ำยาล้างฟิล์ม รวมทั้งดูแลตรวจสอบคุณภาพของภาพรังสีการประกันคุณภาพและการบำรุงรักษาเครื่องมือ และอุปกรณ์ที่ใช้ในทางรังสีเทคนิคให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ดีและปลอดภัย

ลักษณะของงานที่ทำ 
         การตรวจทางรังสีทั่วไป โดยใช้เครื่องฉายเอกซเรย์เป็นงานที่เกี่ยวกับการใช้กรรมวิธีต่าง ๆ ในการถ่ายและ บันทึกภาพส่วนต่าง ๆ ของร่างกายผู้ป่วย รวมทั้งการจัดท่าผู้ป่วย และการควบคุมเครื่องเอกซเรย์ในการให้ปริมาณ รังสีเอกซเรย์ที่พอเหมาะ เพื่อให้ได้ภาพเอกซเรย์ที่มีคุณภาพ รวมตลอดไปถึงการจัดเตรียมฟิล์มเอกซเรย์และน้ำยา ล้าง รวมทั้งเก็บภาพ ข้อมูล และสามารถเรียกข้อมูลกลับมาดูได้ใหม่ ควบคุมการใช้งาน เก็บรักษาเครื่องมือ วัสดุอุปกรณ์เช่น แผ่นฟิล์ม น้ำยาล้างให้มีประสิทธิภาพดีและพร้อมใช้อยู่เสมอ

การตรวจทางรังสีวิทยาด้วยวิธีพิเศษดังต่อไปนี้
       1. การตรวจอวัยวะภายในช่องท้อง ด้วยภาพโดยอาศัยรังสีเอกซเรย์
       2. ตรวจการทำงานของไต สมอง และระบบหมุนเวียนของโลหิตโดยการฉีดสีเพื่อดูระบบการทำงาน ของอวัยวะภายใน
       3. การตรวจระบบหลอดเลือดด้วยเครื่องเอกซเรย์ระบบดิจิตอลซึ่งใช้เทคโนโลยีของเครื่องคอมพิวเตอร์ แปรสัญญาณมาเป็นภาพเอกซเรย์
       4. การตรวจอวัยวะภายในด้วยเครื่องเสียงความถี่สูง หรืออัลตราซาวด์แทนการใช้รังสีเอกซเรย์ ซึ่งจะไม่เป็นอันตรายสำหรับสตรีมีครรภ์หรือผู้ป่วยที่แพ้รังสีเอกซเรย์  
       5. การตรวจเอกซเรย์เต้านม
       6. งานป้องกันอันตรายจากรังสีและให้คำปรึกษาแนะนำแก่บุคลากรทางการแพทย์ผู้ป่วย รวมทั้งประเภทเอกซเรย์ตลอดจนควบคุมดูแลการจัดซื้อและจัดเตรียมอุปกรณ์ป้องกันอันตรายจากรังสีให้เหมาะสม กับการใช้งาน และตรวจสอบวัดปริมาณรังสีของบุคลากรทางรังสีซึ่งจะต้องได้รับการตรวจสอบรังสีจาก กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
ภาพนักรังสีเทคนิคกำลังตรวจผู้ป่วย
การอัลตราซาวนด์ คือ
อัลตราซาวด์ (Ultrasound) เป็นการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์โดยใช้คลื่นเสียงความถี่สูงจับภาพอวัยวะหรือส่วนต่าง ๆ ภายในร่างกาย และแม้หลายคนจะคุ้นเคยว่าการอัลตราซาวด์เป็นการตรวจดูทารกในครรภ์ แต่แท้จริงแล้วยังสามารถใช้ในการตรวจวินิจฉัยโรคหรือเป็นเครื่องมือช่วยให้ศัลยแพทย์เห็นภาพร่างกายขณะผ่าตัดได้
ทำไมจึงเลือกใช้การอัลตราซาวด์ ?
ข้อดีของการอัลตราซาวด์คือมักไม่ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดขณะใช้ และไม่จำเป็นต้องใช้การฉีดยาหรือการผ่าตัดร่วม เครื่องอัลตราซาวด์ยังสามารถจับภาพเนื้อเยื่ออ่อนได้ชัดเจนกว่าการเอกซเรย์ ใช้ตรวจอวัยวะต่าง ๆ ได้กว้างและยังเสียค่าใช้จ่ายในการตรวจน้อยกว่าวิธีอื่น ๆ นอกจากนี้ ผู้เข้ารับการอัลตราซาวด์ไม่ต้องเผชิญกับรังสี จึงมีความปลอดภัยมากกว่าการตรวจที่ใช้รังสี เช่น การตรวจเอกซเรย์และซีทีสแกน เป็นต้น
ทั้งนี้การอัลตราซาวด์อาจมีข้อจำกัดในด้านของคุณภาพของภาพที่ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย โดยคลื่นเสียงจะไม่สามารถทะลุผ่านร่างกายได้ลึกนัก การถ่ายภาพในคนไข้ที่มีภาวะอ้วนหรือการถ่ายภาพกระดูกที่มีความหนาแน่นสูงจึงอาจทำได้ยาก นอกจากนี้ร่างกายหรืออวัยวะส่วนที่มีแก๊สมาบดบังก็อาจมองเห็นได้ไม่ชัดเจน ความแม่นยำของการตรวจอัลตราซาวด์ยังขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของผู้ทำอัลตราซาวด์เป็นสำคัญ จึงควรต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญในการใช้เครื่องอัลตราซาวด์
วัตถุประสงค์ของการใช้เครื่องอัลตราซาวด์
1. การตรวจครรภ์ การอัลตราซาวด์มีประโยชน์ต่อการตรวจครรภ์หลายอย่าง ในระยะแรกอาจใช้เพื่อคำนวณวันคลอด ดูว่าเป็นลูกแฝดหรือไม่ รวมถึงการตรวจดูการตั้งครรภ์นอกมดลูก ช่วยตรวจปัญหาขณะตั้งครรภ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ความพิการแต่กำเนิดของทารก ความผิดปกติของรก ทารกไม่กลับหัว เป็นต้น นอกจากนี้ พ่อแม่หลายคนที่ต้องการรู้ว่าเพศของลูกเป็นหญิงหรือชาย การตรวจอัลตราซาวด์สามารถช่วยบอกได้ ส่วนในภาวะคลอดก่อนกำหนด แพทย์ยังอาจใช้เครื่องมือนี้ช่วยประเมินน้ำหนักตัวของทารกได้ด้วย
2. การตรวจวินิจฉัยโรค การวินิจฉัยภาวะผิดปกติที่กระทบต่ออวัยวะและเนื้อเยื่ออ่อนภายในร่างกายจำนวนมากสามารถทำได้ด้วยการอัลตราซาวด์ ไม่ว่าจะเป็นหัวใจ หลอดเหลือด ตับ ถุงน้ำดี ม้าม ตับอ่อน ไต กระเพาะปัสสาวะ มดลูก รังไข่ ดวงตา ต่อมไทรอยด์ หรือลูกอัณฑะ แต่ก็มีข้อจำกัดต่อการวินิฉัยบริเวณกระดูกที่มีความหนาแน่นหรือส่วนของร่างกายที่อาจประกอบด้วยอากาศหรือแก๊ส ซึ่งอาจทำได้ไม่ดีนัก เช่น สมอง กระดูกสันหลัง ลำไส้
3. การใช้ในกระบวนการทางการแพทย์ กระบวนการต่าง ๆ เช่น การตัดชิ้นเนื้อเพื่อนำไปตรวจ อาจต้องใช้เครื่องอัลตราซาวด์เข้าช่วย เนื่องจากในกระบวนการนี้เป็นการตัดเนื้อเยื่อจากพื้นที่ที่ต้องใช้ความระมัดระวังเพื่อนำไปตรวจในห้องปฏิบัติการ การอัลตราซาวด์จะช่วยให้แพทย์เห็นภาพอวัยวะบริเวณนั้น ๆ และดำเนินการได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
4. การบำบัดรักษาโรค บางครั้งเครื่องอัลตราซาวด์อาจใช้ตรวจและรักษาเนื้อเยื่ออ่อนนุ่มที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียหายได้
ภาพการตรวจอัลตราซาวนด์
การเอกซเรย์ คือ
เอกซเรย์ (X-Ray) เป็นการตรวจวินิจฉัยซึ่งมีที่มาจากชื่อของรังสีที่ใช้ในการตรวจ นั่นก็คือรังสี X โดยรังสีดังกล่าวมีลักษณะเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ทั้งนี้การเอกซเรย์จะช่วยให้เห็นภาพของอวัยวะภายในในรูปแบบของภาพขาวดำที่มีปริมาณความเข้มที่ต่างกัน การเอกซเรย์ส่วนใหญ่มักจะใช้ในการตรวจดูความผิดปกติของกระดูกส่วนต่าง ๆ  ช่องท้อง และทรวงอก เป็นต้น
ทั้งนี้ โดยปกติแล้วเนื้อเยื่อในร่างกายของเราจะมีคุณสมบัติในการดูดซับรังสีที่แตกต่างกัน จึงทำให้ภาพที่ออกมามีความชัดเจนไม่เท่ากัน เช่น แคลเซียมในกระดูกจะดูดซับรังสีได้มากที่สุด จึงทำให้เห็นภาพเอกซเรย์กระดูกเป็นสีขาว ในขณะที่ไขมันและเนื้อเยื่ออื่น ๆ จะดูดซับได้น้อยจึงทำให้เห็นเป็นเพียงสีเทา ส่วนอากาศจะดูซับได้น้อยที่สุด จึงทำให้เมื่อเอกซเรย์ปอดออกมาแล้วเป็นสีดำ โดยในการเอกซเรย์อาจมีการใช้สื่อกลางที่เป็นสารเคมีเช่น ไอโอดีนหรือแบเรียม เพื่อช่วยให้เห็นภาพได้ชัดขึ้น การเอกซเรย์จะแบ่งออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่
1. การเอกซเรย์กระดูก (Bone X-Ray) เป็นการเอกซเรย์เพื่อดูสภาพหรือความผิดปกติของกระดูก ไม่ว่าจะเป็นกระดูกสันหลัง แขน ขา มือ กระโหลกศีรษะ หรือแม้แต่ฟัน
2. การเอกซเรย์ทรวงอก (Chest X-Ray) การเอกซเรย์ที่บริเวณช่วงอกเพื่อดูความผิดปกติของปอด หัวใจ หรือระบบหลอดเลือดหัวใจ แต่ถ้าเป็นการเอกซเรย์ช่วงอกเพื่อตรวจหาโรคมะเร็งเต้านมจะเรียกว่า แมมโมเแกรม
3. การเอกซเรย์ช่องท้อง (Abdomen X-Ray) การเอกซเรย์ช่องท้องจะใช้ใน 2 กรณีคือตรวจดูความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารโดยใช้แบเรียมเป็นสื่อนำ และในกรณีฉุกเฉินที่มีการเกิดสิ่งแปลกปลอมที่เป็นโลหะตกค้างอยู่ในร่างกาย
ทำไมต้องเอกซเรย์ ?
การเอกซเรย์เป็นหนึ่งในขั้นตอนการวินิจฉัยทางการแพทย์ โดยหลังจากการซักประวัติแล้ว แพทย์อาจสั่งให้ทำการเอกซเรย์อีกครั้งเพื่อนำผลมาวินิจฉัยร่วม ซึ่งการเอกซเรย์จะมีขึ้นในกรณีดังต่อไปนี้
1. กระดูกแตกหักหรือติดเชื้อ โดยส่วนใหญ่แล้วการแตกหักหรือการติดเชื้อที่กระดูกจะสามารถเห็นได้ชัดเจนผ่านภาพถ่ายเอกซเรย์
2. ข้อต่ออักเสบ การเอกซเรย์จะช่วยให้เห็นร่องรอยของอาการข้อต่ออักเสบ และใช้เปรียบเทียบในกรณีอาการข้อต่ออักเสบรุนแรงขึ้น
3. ใช้ในการทำทันตกรรม ในบางครั้งทันตแพทย์ก็จำเป็นต้องเอกซเรย์ฟันเพื่อใช้ในการวางแผนการรักษาทางทันตกรรม เข่น ผ่าฟันคุด จัดฟัน หรือการถอนฟัน เป็นต้น
4. โรคกระดูกพรุน การเอกซเรย์จะทำให้สามารถเห็นความหนาแน่นของกระดูกในเบื้องต้น สำหรับวินิจฉัยโรคกระดูกพรุน
5. โรคมะเร็งกระดูก สำหรับผู้ป่วยโรคนี้ การเอกซเรย์จะช่วยให้แพทย์มองเห็นเนื้องอกที่กระดูกได้ชัดมากขึ้น
6. ปอดติดเชื้อ หรือปัญหาสุขภาพที่ปอด ร่องรอยของโรคปอดบวม วัณโรค น้ำท่วมปอด หรือมะเร็งปอด จะสามารถเห็นได้จากการเอกซเรย์ปอด
7. มะเร็งเต้านม ในการเอกซเรย์เพื่อตรวจหามะเร็งเต้านม เรียกว่าการตรวจแมมโมแกรม ซึ่งการเอกซเรย์นี้จะช่วยให้มองเห็นความผิดปกติของเนื้อเนื้อที่เต้านมได้
8. หัวใจโต หนึ่งในสัญญาณของภาวะหัวใจวาย ที่สามารถแสดงให้เห็นได้ผ่านการเอกซเรย์ช่องอก
9. การอุดตันของหลอดเลือด ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเอกซเรย์จะฉีดสารที่ผสมไอโอดีนเข้าไปเพื่อให้เกิดการเรืองแสงในระบบหลอดเลือด และเมื่อเอกซเรย์ก็จะทำให้เห็นระบบหลอดเลือดว่ามีการอุดตันที่ใดหรือไม่
10. ปัญหาระบบขับถ่าย ผู้เชี่ยวชาญจะให้สารแบเรียมแก่ผู้ป่วยผ่านทางการดื่มหรือการสวน เพื่อทำให้เกิดการเรืองแสงและทำให้สามารถเห็นปัญหาในระบบขับถ่ายได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น ลำไส้อุดตัน เป็นต้น
11. ตรวจดูสิ่งแปลกปลอม ในกรณีที่เด็กกลืนสิ่งแปลกปลอมจำพวกโลหะ การเอกซเรย์จะช่วยระบุตำแหน่งของสิ่ง ๆ นั้น เพื่อวางแผนการรักษาต่อไป
ทั้งนี้ในการเอกซเรย์ ผู้ป่วยจะต้องสวมชุดกันรังสีเพื่อป้องกันร่างกายส่วนอื่น ๆ โดยปริมาณของรังสีที่ได้รับในการเอกซเรย์จะอยู่ในปริมาณที่น้อยมาก ตัวอย่างเช่น การเอกซเรย์ทรวงอกจะทำให้ร่างกายได้รับปริมาณรังสีเทียบเท่ากับปริมาณที่ร่างกายได้รับจากธรรมชาติทั่วไปติดต่อประมาณ 10 วัน
ภาพการเช็คภาพเอกซเรย์
การทำ CT Scan คือ
การตรวจ CT scan เป็นการตรวจหาความผิดปกติของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายด้วยรังสีเอกซ์โดยการ ฉายรังสี เอกซ์ผ่านอวัยวะทีต้องการตรวจ แล้วใช้คอมพิวเตอร์ประมวลผลสร้างภาพ ซึงสามารถสร้างได้ทั้งภาพในระนาบต่างๆ หรือจะ แสดงเป็นภาพ 3 มิติ ประเภทต่างๆได้ โดยมีข้อบ่งชี้ ของการตรวจ ดังนี้
1. ตรวจหาเนื้องอกในอวัยวะต่างๆ รวมทั้งตําแหน่งและขนาดของเนื้องอก
2. ตรวจหาการแพร่กระจายของเนื้องอกไปยังต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้เคียง
3. ตรวจดูการคั่งของเลือดในสมอง ช่องท้อง และอุ้งเชิงกราน
4. ตรวจหาความผิดปกติของหลอดเลือด เช่น เส้นเลือดโป่งพอง เส้นเลือดอุดตัน เป็นต้น
5. ตรวจหาความผิดปกติของกระดูก และข้อต่อต่างๆ เช่น การหัก การหลุด และการอักเสบ เป็นต้
ปัจจุบันการตรวจ CT scan แบ่งเป็น 4 ระบบ ดังนี้
1. ระบบสมอง ได้แก่ การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ของสมอง ต่อมใต้สมอง ตา ต่อมน้ำลาย และคอ เป็นต้น ใน การตรวจนี้ จะต้องฉีดสารทึบรังสีเข้าทางหลอดเลือดดํา เพื่อช่วยให้เห็นพยาธิสภาพของโรคชัดเจนขึ้น
2. ระบบช่องท้องและทรวงอก ได้แก่ การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ภายในช่องท้องและอุ้งเชิงกราน การตรวจ ระบบนี้ เจ้าหน้าที่อาจแนะนําให้ผู้ป่วยดื่มสารทึบรังสี/น้ำเปล่า ในบางกรณีอาจมีการสวนสารทึบรังสี/น้ำเปล่า เข้าทางทวาร หนัก เพื่อแยกลําไส้ออกจากเนื้อเยื่ออื่นๆ และ ในผู้ป่วยหญิงอาจต้องใส่ผ้าอนามัยชนิดสอดภายในช่องคลอด เพื่อแยกช่อง คลอดออกจากเนื้อเยื่ออื่นๆ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของรังสีแพทย์ นอกจากนี้ ยังจําเป็นต้องฉีดสารทึบรังสีเข้าทางหลอดเลือดดําเพือช่วยให้เห็นพยาธิสภาพของโรคชัดเจนขึ้น
3. ระบบกระดูก กล้ามเนื้อ ข้อต่อและกระดูกสันหลังซึ่งมักใช้ในการวินิจฉัยโรคเนื้องอกของกล้ามเนื้อ กระดูก หรือการอักเสบของข้อต่อต่างๆ และลักษณะทางกายวิภาคของกระดูกสันหลัง โดยสามารถให้การวินิจฉัยโรคกระดูกได้ดีกว่า การตรวจเอกซเรย์ทั่วไป
4. ระบบหลอดเลือด ได้แก่ การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ของหลอดเลือดสมอง หลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือด แดงใหญ่ หลอดเลือดแดงของไต และหลอดเลือดแดงที่ขา เป็นต้น ในการตรวจนี้จําเป็นต้องฉีดสารทึบรังสีเข้าทางหลอดเลือดดํา
ภาพเครื่อง CT Scan
การทำ MRI คือ
MRI Scan (เอ็มอาร์ไอ) เป็นเครื่องมือทางการแพทย์ที่ใช้คลื่นวิทยุร่วมกับคลื่นสนามแม่เหล็กแรงสูงในการถ่ายภาพเนื้อเยื่อ อวัยวะ และโครงสร้างอื่น ๆ ภายในร่างกาย เพื่อช่วยในการวินิจฉัย วางแผนการรักษา และติดตามผลในการรักษา
MRI Scan สามารถใช้ตรวจวินิจฉัยได้เกือบทุกส่วนของร่างกาย เช่น สมองและไขสันหลัง หน้าอก กระดูกและข้อต่อ หัวใจและหลอดเลือด ตับ มดลูก ต่อมลูกหมาก หรืออวัยวะภายในอื่น ๆ โดยภาพที่ถ่ายได้จะมีความคมชัดสูง ทำให้การถ่ายภาพอวัยวะบางส่วนได้ข้อมูลในการวินิจฉัยโรคได้แม่นยำกว่าวิธีอื่น เช่น เอกซเรย์ (X-ray) อัลตราซาวด์ (Ultrasound) หรือซีที สแกน (Computed Tomography: CT Scan)
ข้อบ่งชี้ในการตรวจ MRI Scan
MRI Scan เป็นวิธีในการตรวจหาความผิดปกติของอวัยวะเกือบทั่วร่างกายที่ค่อนข้างแม่นยำ และมักจะใช้ยืนยันผลวินิจฉัยหลังจากการทดสอบอื่น ๆ ให้ข้อมูลได้ไม่เพียงพอ โดยการตรวจ MRI Scan ในแต่ละส่วนในร่างกายอาจมีจุดประสงค์ที่แตกต่างกันออกไป เช่น
1. ศีรษะ เป็นการตรวจหาความผิดปกติของสมองและเส้นประสาทในสมองที่เชื่อมกับอวัยวะที่เกี่ยวข้อง เช่น เนื้องอกในสมอง เลือดออกในสมอง หลอดเลือดในสมองโป่งพอง การบาดเจ็บเส้นของประสาทเกี่ยวกับการมองเห็นและได้ยิน
2. หน้าอก เป็นการตรวจดูความผิดปกติบริเวณหน้าอกและหัวใจ เช่น การเต้นของหัวใจ ลิ้นหัวใจ หลอดเลือดหัวใจ ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับปอด ตรวจหามะเร็งเต้านม
3. หน้าท้องและกระดูกเชิงกราน เป็นการตรวจหาความผิดปกติของอวัยวะและโครงสร้างอื่น  ๆ ภายในช่องท้อง ไม่ว่าจะเป็น ตับ ถุงน้ำดี ตับอ่อน ไต กระเพาะปัสสาวะ รวมไปถึงเนื้องอก ภาวะเลือดออก การติดเชื้อ และการอุดตันในอวัยวะเหล่านั้น ส่วนในผู้หญิงก็สามารถใช้ตรวจดูมดลูกและรังไข่ ในผู้ชายก็ใช้ในการตรวจดูต่อมลูกหมาก
4. เส้นเลือด เป็นการตรวจดูเส้นเลือดและการไหลเวียนของเลือด (Magnetic Resonance Angiography: MRA) เพื่อช่วยค้นหาความผิดปกติของหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำ เช่น หลอดเลือดโป่งพอง การตีบแคบและการอุดตันของหลอดเลือด ภาวะเลือดเซาะผนังหลอดเลือดแดงใหญ่      
5. ไขสันหลัง ตรวจเช็คหมอนกระดูกและเส้นประสาทไขสันหลังในบางสภาวะ เช่น โพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ หมอนรองกระดูกเคลื่อนตัว เนื้องอกของไขสันหลัง
6. กระดูกและข้อต่อ ตรวจดูความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับกระดูกและข้อต่อ เช่น ข้ออักเสบ ความผิดปกติข้อต่อขากรรไกร ไขกระดูกสันหลังมีปัญหา เนื้องอกกระดูก กระดูกอ่อน เส้นเอ็นฉีกขาดหรือเกิดการติดเชื้อ
ภาพอุโมง MRI และภาพที่ scan ได้
อ้างอิง
โฆษณา