8 ก.พ. 2021 เวลา 06:22 • หุ้น & เศรษฐกิจ
The Post-COVID World: เศรษฐกิจไทยอยู่ตรงไหนเมื่อโลกไม่เหมือนเดิม
1
KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร เผยในปี 2021 นักเศรษฐศาสตร์เริ่มคาดการณ์การเติบโตของ GDP กลับมาเป็นบวก
อีกครั้ง
2
ส่วนหนึ่งเกิดจาก GDP ของปี 2020 ที่หดตัวลงไปรุนแรง
แต่ตัวเลขที่กลับมาเป็นบวกนี้อาจบดบังความเสี่ยงอีกหลายประการที่ยังอาจเกิดขึ้นได้ในระยะสั้น
การระบาดของ โควิด-19 ระลอกใหม่ทั้งในประเทศไทยและหลายประเทศทั่วโลก
ชี้ให้เห็นถึงความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในระยะสั้นได้เป็นอย่างดี
KKP Research ปรับการคาดการณ์สำหรับ GDP ปี 2021 จาก 3.5% เหลือ 2.0%
เพื่อสะท้อนการระบาดระลอกใหม่ของประเทศ (ดู KKP Research เศรษฐกิจปีฉลูกับ
การต่อสู้โควิดระลอกใหม่)
อย่างไรก็ตามประเด็นที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ
1
ตัวเลขคาดการณ์ GDP ปีต่อปีนี้ อาจไม่ได้สะท้อนความท้าทายต่อเศรษฐกิจไทย
ที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมากในโลกหลังโควิด-19
โดยมองว่าการประเมินภาพเศรษฐกิจเฉพาะปี2021 ปีเดียวไม่ได้ฉายให้เห็นถึง
ทิศทางเศรษฐกิจไทยระยะยาวที่ชัดเจน
3
การระบาดของ โควิด-19 ที่กินระยะเวลายาวนานขึ้นเช่นนี้จะยิ่งทำให้ผู้คนเริ่มเคยชิน
กับรูปแบบการใช้ชีวิตใหม่ๆ
และอาจส่งผลอย่างถาวรต่อเศรษฐกิจ
KKP Research ฉบับนี้จึงชวนผู้อ่านมองไปไกลกว่าการฟื้นตัวระยะสั้นของเศรษฐกิจ และวิเคราะห์เทรนด์สำคัญของเศรษฐกิจโลกที่จะเปลี่ยนไปหลังโควิด-19
ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจไทยไม่ได้กลับไปอยู่ในจุดก่อนการระบาดของ โควิด-19 ได้อีกต่อไป
เมื่อโควิด-19 จบเศรษฐกิจไทยจะกลับไปโตได้เท่าเดิมหรือไม่?
ตั้งแต่ที่มีการระบาดของ โควิด-19 ตลาดหุ้นไทยหดตัวรุนแรงและฟื้นตัวช้ากว่าประเทศอื่น
ข่าวดีของวัคซีนในช่วงปลายปีที่แล้วทำให้ตลาดหุ้นไทยเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้บ้าง
แต่ก็กลับมาถูกกระทบจากการระบาดระลอกสองอีกรอบ คำถามที่นักลงทุน
คงอยากรู้คือ
หากมองข้ามช็อตไปถึงวันที่การระบาดของโควิด-19 ยุติลง หรือกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
SET index จะกลับมายืนอยู่เหนือระดับ 1700 เหมือนในช่วงก่อนได้หรือไม่ และเมื่อเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้
เศรษฐกิจไทยจะ
ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและแข็งแกร่งหรือไม่
เมื่อย้อนดูข้อมูลในอดีต ข้อสังเกตหนึ่งที่น่าสนใจคือ
หลังวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่แต่ละครั้ง เศรษฐกิจไทยไม่เคยกลับมาโตได้เท่า
เดิมอีกเลย
สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเป็นผลมากจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างถาวรหลังวิกฤตแต่ละครั้ง
ในช่วงทศวรรษ 1990 เศรษฐกิจเติบโตได้จากการขยายตัวของสินเชื่อ
และฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ส่งผลให้การลงทุนสามารถ
เติบโตได้ดี
แรงส่งนี้หายไปหลังวิกฤตการเงินจากฟองสบู่แตกในตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 1997
ถัดมาในช่วงทศวรรษ 2000เศรษฐกิจไทยเติบโตจากการส่งออกหลังการประกาศลอยตัวค่าเงินจากธนาคารแห่งประเทศไทย
ในขณะที่หลังวิกฤตการเงินโลกปี 2008 (Subprime crisis) การส่งออกเริ่มมีทิศทางชะลอตัวลงตามเศรษฐกิจโลก
ในช่วงหลังจากนั้นเศรษฐกิจไทยหันมาพึ่งพาภาคการท่องเที่ยว โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2012 ที่นักท่องเที่ยวจีนจำนวนมากเริ่มเข้ามาในไทย
1
แต่ในปี 2020 วิกฤติโควิด-19 กำลังทำให้การเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศแทบเป็นอัมพาต
คำถามคือ เมื่อวิกฤติครั้งนี้จบลง เศรษฐกิจไทยจะกลับไปโตได้แบบเดิมได้จริงหรือ ?
เช่นเดียวกันกับข้อมูลในตลาดหุ้นไทย
Return on Equity (ROE) ของบริษัทใน SET ตกต่ำลงตั้งแต่ช่วงหลังวิกฤตปี 2008 จากที่เคยโตได้ 17.4%
ในปี 2003-2007 เหลือเพียง 12.1% ในปี 2008 - 2013 และ 9.5% ในปี 2014-2019
สะท้อนถึงความสามารถในการสร้างรายได้และทำกำไรของบริษัทไทยเริ่มมีโอกาสน้อยลงเรื่อยๆ
เมื่อเปรียบเทียบในวันนี้ดัชนีหุ้นต่างประเทศเติบโตไป
ไกลกว่าก่อนวิกฤตแล้ว
แต่ตลาดหุ้นไทยยังไม่สามารถกลับไปที่จุดเดิม
สองความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นกับตลาดหุ้นไทยหลังจากนี้ไปคือ
กรณีที่ 1 ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวช้ากว่าประเทศอื่น
แต่จะสามารถฟื้นตัวได้ชัดเจนขึ้นอย่างต่อเนื่องจนไปยืนจุดเดิมได้
เมื่อการระบาดของ โควิด-19 จบลงและเปิดรับนักท่องเที่ยว
ต่างชาติได้
หรือ
กรณีที่ 2 ตลาดหุ้นไทยอาจกลับไปในระดับเดิมได้เพียงชั่วคราวและจะใช้เวลายาวนานมากกว่าจะสามารถกลับไปในระดับก่อน โควิดได้
ซึ่งอาจเป็นไปได้จากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจโลกและไทยอย่างถาวรหลัง โควิด-19
KKP Research ประเมินว่ามีโอกาสเป็นไปได้ที่ไทยจะตกอยู่ในสถานการณ์แบบที่สอง นั่นคือ
หลังจากนี้ทั้งตลาดหุ้นและเศรษฐกิจไทยอาจไม่กลับไปโตเหมือนก่อนโควิด-19 อย่างถาวรได้อีก หากโครงสร้างเศรษฐกิจไทยยังไม่เปลี่ยนแปลงไปตาม
เทรนด์ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น ในโลกหลังโควิด-19
เศรษฐกิจโลกจะไม่ย้อนกลับไปเหมือนก่อนโควิด
โลกจะไม่กลับไปอยู่ในจุดก่อนการระบาดของโควิดอีก เพราะ โควิด-19 เป็นเสมือนตัวเร่ง (accelerator) ของเทรนด์ทางเศรษฐกิจ
และการเงินที่เริ่มมีพัฒนาการมาแล้วให้เกิดขึ้นเร็วและกว้างขวางยิ่งกว่าเดิม
อย่างน้อยใน 3 เรื่อง ได้แก่
1) การทำธุรกิจรูปแบบใหม่ การระบาดของ โควิด-19 สร้างความเปลี่ยนแปลงต่อทั้งพฤติกรรมของผู้บริโภคและผู้ผลิต
การล็อคดาวน์และการรักษาระยะห่างในช่วงการระบาดของโควิด-19 เป็นแรงผลักให้ต้องเปลี่ยนไปใช้ online platform ในการทำงานและการดำเนินชีวิต
3
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การประชุมและการเรียนการสอนผ่านออนไลน์แอปพลิเคชั่น
และการเติบโตของ e-Commerce
ในฝั่งของผู้ประกอบการ ข้อมูลสำรวจของ World Economic Forum แสดงให้เห็นว่า
โควิด-19 เร่งให้ธุรกิจเห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการทำ digital transformation ขององค์กรและระบบ automation
เช่น การใช้เครื่องจักรแบบอัตโนมัติแทนที่คน
ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงการระบาดของ โควิด-19 เงินทุนจำนวนมหาศาลไหลไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี
สังเกตจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ขยายตัวอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา และช่วยเร่งให้เกิดการลงทุนใหม่ ๆ เห็นได้จากรายจ่ายการลงทุนของบริษัทกลุ่มเทคโนโลยีในสหรัฐ ฯ ที่เพิ่มสูงขึ้นสวนทางกับบริษัทกลุ่มอื่น ๆ ในช่วงวิกฤต โควิด-19
จากทั้งเหตุผลด้านการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมและความต้องการผู้บริโภค (demand side)
และการปรับตัวของธุรกิจ (supply side) ส่งผลให้หน้าตาของโลกธุรกิจมีโอกาสที่จะเปลี่ยนไปอย่างมาก
ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมรอบที่ 4 (Fourth Industrial Revolution) ที่มาถึงเร็วขึ้นและกำลังจะเปลี่ยนโลกธุรกิจไปอย่างถาวร
ในกรณีของสหรัฐอเมริกาเรื่องเหล่านี้เริ่มสะท้อนผ่านข้อมูลตลาดหุ้น
ข้อมูลมูลค่าของสินทรัพย์ของบริษัทใน S&P 500 กว่า 84% เปลี่ยนเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ (intangible asset)
1
เช่น องค์ความรู้ใหม่ๆ อัลกอริทึม ลิขสิทธิ์ทางปัญญา
ซึ่งเป็นสัญญาณว่า ในโลกอนาคตมูลค่าของเศรษฐกิจอาจไม่ได้ขับเคลื่อนโดย แรงงาน เครื่องจักร ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอีกต่อไป
แต่เป็นองค์ความรู้ใหม่ๆ ความคิดสร้างสรรค์
หรือ knowledge economy ที่จะช่วยสร้างการเติบโตให้กับประเทศได้
2) โลกาภิวัตน์รูปแบบใหม่
การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตแบบอัตโนมัติที่ไม่ต้องพึ่งพาคน (automation) ที่มาถึงเร็วขึ้นจากโควิด -19
จะเป็นตัวเร่งให้ความเชื่อมโยงด้านการค้าและการผลิตในรูปแบบเดิมเปลี่ยนแปลงไป เพราะ
(1) Cost-saving technology
ความจำเป็นในการตั้งฐานการผลิตในต่างประเทศเพื่อลดต้นทุนการผลิตโดยเฉพาะในด้านค่าจ้างแรงงาน จะลดความสำคัญลง
1
(2) Global supply disruptions
การระบาดของ โควิด-19 ยังทำให้ธุรกิจเริ่มมองเห็นจุดอ่อนของการมี global supply chain รูปแบบเดิม
การขาดชิ้นส่วนเพียงบางชิ้นจากต่างประเทศเนื่องจาก supply chain disruption ก็
สามารถทำให้การผลิตสินค้าขั้นสุดท้ายหยุดชะงักลงได้
อีกทั้ง
(3) Geopolitics
รัฐบาลของประเทศเศรษฐกิจหลักยังสร้างแรงจูงใจเพื่อให้ธุรกิจกลับมาตั้งฐานการผลิตในประเทศตัวเอง ด้วยเหตุผลด้านภูมิรัฐศาสตร์
โดยเฉพาะภายใต้บรรยากาศการแข่งขันด้านการเป็นผู้นำทางเทคโนโลยี
ปัจจัยทั้ง 3 ประการนี้จะเป็นตัวเร่งให้การย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ (global reshoring) เกิดเร็วขึ้นจากที่เริ่มเห็นแนวโน้มมาก่อนหน้าแล้ว
โดยบริษัทในตลาด S&P 500 มีการตั้งฐานการผลิตในไทยลดลงต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2015
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าโลกการค้าและการผลิตจะเลิกเชื่อมโยงกันอย่างสิ้นเชิง
แต่รูปแบบจะเปลี่ยนแปลงไป หากย้อนดูในอดีต รูปแบบของโลกาภิวัตน์ก็มีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง
ตั้งแต่ยุคที่มีการซื้อขายสินค้าอย่างง่ายๆ จนมาถึงในยุคปัจจุบันอาจเรียกได้ว่าเป็นยุคของห่วงโซ่อุปทานโลก (global supply chain)
จากการขนส่งเดินทางที่ทำได้ง่ายต้นทุนที่ถูกลง ทำให้ผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกมักลงทุนสร้างโรงงานในต่างประเทศที่มีวัตถุดิบและต้นทุนแรงงานถูกกว่า
ในโลกยุคหลังจากนี้ไปเราคงเห็นการเชื่อมโยงในแบบอื่นๆ โดยเฉพาะผ่านการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์มาทดแทน
เรียกได้ว่าโลกกำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของ Globalization 4.0
3) นโยบายการเงินรูปแบบใหม่
วิกฤต โควิด-19 เป็นตัวเร่งให้มีการใช้เครื่องมือนโยบายการเงินใหม่ ๆ อย่างแพร่หลาย
ธนาคารกลางในหลายประเทศได้ออกนโยบายอย่างเต็มที่เพื่อช่วยประคับประคองเศรษฐกิจ
ไม่ว่าจะเป็นการลดดอกเบี้ยนโยบายจนถึงขอบล่างที่ 0% หรือติดลบ
การอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยตรง
รวมถึงออกนโยบายการเงินแบบใหม่ๆ ที่ไม่เคยท ามาก่อน (unconventional policy)
เช่น การเข้าซื้อพันธบัตรของภาครัฐในตลาดรอง
การเข้าซื้อตราสารหนี้ภาคเอกชน
การแทรกแซงอัตราดอกเบี้ยระยะยาวผ่านการท า QE (หรือ นโยบายอื่น ๆ
เช่น Yield curve control)
ทำให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ ส่วนหนึ่งเป็นเหมือนการช่วยให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำกับรัฐบาลในทางอ้อมด้วย
เรียกได้ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ฉีกตำราการทำนโยบายการเงินในอดีต
ที่บอกว่าธนาคารกลางต้องเป็นอิสระจากภาครัฐ
และควรพิมพ์เงินอย่างมีวินัยเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ
ซึ่งในวันนี้ดูเหมือนว่าความกังวลในส่วนนี้จะเลือนลางหายไป
โดยธนาคารกลางส่วนใหญ่ให้น้ำหนักกับผลกระทบของ โควิด-19 ต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงิน
มากกว่าการยึดติดกับกรอบวินัยการเงินแบบดั้งเดิม
อันที่จริงแล้วนโยบายการเงินเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่หลังวิกฤตเศรษฐกิจรอบก่อน
ซึ่งการกระตุ้นเศรษฐกิจและระดับ
ดอกเบี้ยที่ต่ำเป็นประวัติการณ์มีส่วนทำให้ที่ระดับหนี้เพิ่มสูงขึ้นมาก
ในไตรมาส 2 ปี 2020 หนี้ทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์สู่ระดับ 265% ต่อ GDP
ระดับหนี้ที่สูงเช่นนี้จะยิ่งสร้างข้อจำกัดให้การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง
เมื่อภาวะวิกฤตเริ่มคลี่คลาย จะมาพร้อมกับต้นทุนที่สูงมาก ทำให้ปรับอัตราดอกเบี้ยเข้าสู่ภาวะปกติจึงเป็นไปได้ยาก
1
และมีต้นทุนที่ต้องแลกมามากขึ้น ทำให้คาดการณ์ได้ว่าธนาคารกลางอาจยังต้องดำเนินนโยบายผ่อนคลายต่อไปอีกนาน
เพราะต้องระมัดระวังที่จะไม่ให้การปรับนโยบายอัตราดอกเบี้ยนำไปสู่การสร้างภาระหนี้ที่สูงขึ้นเร็วเกินไปต่อภาคธุรกิจ ครัวเรือน และรัฐบาล
จนไปกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและเกิดปัญหาเสถียรภาพทางการเงินได้ ง
ยกเว้นในกรณีที่เงินเฟ้อกลับมาสูงขึ้นรุนแรงซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ยังไม่คาดกว่าจะเป็นแบบนั้นในระยะเวลาอันใกล้
เรียกได้ว่าโลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่รูปแบบในการทำนโยบายการเงินเปลี่ยนไปจากอดีตโดยสิ้นเชิง
เมื่อโลกเปลี่ยนไป…ไทยจะอยู่ตรงไหน ?
แม้การระบาดของ โควิด-19 จะจบลง โลกก็อาจไม่กลับไปยืนในจุดเดิมอีกแล้ว
จึงยากที่ไทยจะสามารถกลับไปโตได้เหมือนเดิมภายใต้สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป
1
เศรษฐกิจไทยในโลกหลังโควิด -19 กำลังจะถูกกระทบจาก 3 เทรนด์ใหญ่ของโลกผ่านหลายช่องทาง
1
Knowledge Economy
เมื่ออุตสาหกรรมเก่าของไทยกำลังจะถูกแทนที่
ในทุกๆ ครั้งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกอุตสาหกรรม
เช่น การปฏิวัติอุตสาหกรรมรอบก่อน ๆ ย่อมนำไปสู่ธุรกิจประเภทใหม่ๆ
ในขณะเดียวกันธุรกิจแบบเก่าที่จะถูกแทนที่คงต้องล้มหายตายจากไป
ในรอบนี้เองก็เช่นกัน โลกประเมินว่าหน้าตาของธุรกิจในยุคหลัง โควิด-19 จะเปลี่ยนแปลงไปมาก
KKP Research เชื่อว่าธุรกิจแบบใหม่ๆ จะเข้ามาทดแทนธุรกิจแบบเก่าของไทยเช่นกัน
จากข้อมูล 2 ชุด คือ
GDP ซึ่งสะท้อนโครงสร้างเศรษฐกิจทั้งประเทศ และ
SET Market Cap ซึ่งเป็นข้อมูลของบริษัทขนาดใหญ่ในไทย
ก็จะพบว่าอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ของไทยยังอยู่ในรูปแบบเก่า
ขาดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ใหม่ ๆ ทำให้ในระยะยาวอุตสาหกรรมหลายประเภทต้องเจอกับความเสี่ยงที่โตต่อไปแบบเดิมได้ยาก
(ดู KKP Research เศรษฐกิจไทยกลับไม่ได้ไปไม่ถึง หากไม่พึ่งเทคโนโลยี)
หากนโยบายเศรษฐกิจของไทยยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงและภาคธุรกิจยังไม่มีการปรับตัวอย่างทันท่วงที
ธุรกิจ 4 ด้านหลักซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทยมาโดยตลอดและมีสัดส่วนสูงเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจ
เสี่ยงถูกกระทบจากเทรนด์ที่เปลี่ยนไป
ซึ่งจะทำให้ทั้งเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยในภาพรวมไม่สามารถกลับมาโตที่ระดับเดิม ได้แก่
1) ธุรกิจยานยนต์แบบเก่าอาจถูกแทนที่ด้วยรถยนต์แบบใช้ไฟฟ้า (electric vehicles)
ในช่วงที่ผ่านมาเริ่มเห็นพัฒนาการของรถยนต์ไฟฟ้าแบบก้าวกระโดด
ท่ามกลางการระบาดของ โควิด-19
ที่หุ้นเทคโนโลยีพุ่งสูงขึ้นอย่างมากทั้งในสหรัฐฯ และจีน
ทำให้บริษัทรถยนต์ไฟฟ้ามีเงินทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ออกมาได้เร็วขึ้นกว่าเดิมมาก
โดยประเทศจีนเป็นหนึ่งในประเทศที่จะเป็นฐานการผลิตสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้า
ซึ่งน่ากังวลสำหรับประเทศไทยที่มีการทำข้อตกลงทางภาษีที่ไทยทำไว้กับจีนเมื่อปี 2005
ทำให้การนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนมีอัตราภาษีเป็น 0% ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันให้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถเข้ามาทดแทนตลาดรถยนต์แบบเก่าได้เร็วกว่าที่หลายฝ่ายคาด
และข้อตกลงทางภาษีนี้ก็อาจทำให้ไทยไม่ได้เป็นตัวเลือกในการสร้างฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า
เพราะสามารถผลิตจากจีนและส่งมาได้โดยไม่มีภาษีอยู่แล้ว
2) การท่องเที่ยวและการเดินทางอาจไม่กลับมาเติบโตได้เหมือนเก่า
นักท่องเที่ยวจีนที่โดยปกติมีสัดส่วนถึง 30%
ในวันนี้เริ่มเห็นความเสี่ยงที่จะไม่กลับมาที่ระดับเดิมอีกต่อไปเมื่อทางการจีนมีการประกาศแผนเศรษฐกิจระยะ 5 ปีฉบับใหม่ที่เน้นให้คนจีนเที่ยวกันเองในประเทศ
เพื่อสร้างความเติบโตจากภายใน
เป็นไปได้ว่าประเทศไทยอาจไม่ได้เห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ 40 ล้านคนต่อปี
ประกอบกับปัญหาเดิมที่ไทยมีการให้บริการในธุรกิจท่องเที่ยว (เช่น โรงแรม) มากเกินกว่าความต้องการอยู่แล้ว
จะยิ่งทำให้ธุรกิจท่องเที่ยวยังคงน่าเป็นห่วงแม้จะผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 ไปแล้วก็ตาม
นอกจากนี้การเปลี่ยนพฤติกรรมด้านการเดินทางเพื่อทำธุรกิจหรือการสัมมนา
โดยหันไปใช้การประชุมหรือสัมมนาแบบออนไลน์ (Webinar) เริ่มเป็นที่แพร่หลายมากขึ้น
และคนเริ่มคุ้นชินกับการทำงานจากบ้าน (work from home)
ธุรกิจให้เช่าสถานที่สำหรับจัดสัมมนาและทำงาน และการเดินทางโดยเฉพาะการเดินทางที่เกี่ยวกับธุรกิจจะถูกกระทบโดยตรง
3) ธุรกิจค้าปลีกอาจถูกแทนที่ด้วย E-commerce
ธุรกิจ E-commerce มีการเติบโตอย่างรวดเร็วจนมีมูลค่าถึง 4 ล้านล้าน
บาทในปี 2562
เติบโตขึ้นจากปี 2561 ถึง 6.91%
ในช่วงที่ โควิด-19 มีการระบาด คนไทยเริ่มมีพฤติกรรมที่คุ้นชินไปกับการ
ซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์มากขึ้น
และอาจทำให้การไปเดินซื้อของตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ มีความจำเป็นลดลง
จะทำให้การเติบโตของ E-commerce ในไทยเป็นไปอย่างก้าวกระโดดในปี 2563
หากในอนาคต E-commerce ในไทยสามารถเติบโตได้ดีจนถึงระดับที่สัดส่วนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นมากและทำกำไรได้มาก
ก็เป็นไปได้ว่าธุรกิจค้าปลีกแบบเก่าและ Commercial realestate ที่มีความสำคัญทั้งในแง่รายได้และการจ้างงานจะถูกกระทบรุนแรง
4) รายได้ของภาคการเงินโดยเฉพาะธนาคารจะถูกกดดันจากผู้ให้บริการรูปแบบใหม่และอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ
1
การเติบโตของ platform economy ที่สำคัญอันหนึ่งคือ
บริษัท technology ที่เริ่มกระโดดเข้ามาแข่งขันให้บริการทางการเงิน
เช่น การให้บริการชำระเงินและกู้เงินผ่านแฟลตฟอร์มออนไลน์
ทำให้ค่าธรรมเนียมในการดำเนินธุรกรรมต่าง ๆ ถูกลง
และนโยบายการเงินที่ยังต้องผ่อนคลายต่อเนื่องเพื่อควบคุมภาระดอกเบี้ยจากปริมาณหนี้ที่ขึ้นไปสูงเป็นประวัติการณ์ ก็จะมากระทบกับภาคธนาคารผ่านกำไรจากดอกเบี้ยที่ลดลงซึ่งเป็นหนึ่งในรายได้หลักของธนาคาร
2
เมื่อคำนวนรวมขนาดของทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจที่อาจถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยีรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นแล้ว
ธุรกิจเหล่านี้มีขนาดประมาณ 42% ของมูลค่าเศรษฐกิจทั้งหมด
และ 41% (รูปที่ 12) ของการจ้างงานนอกภาคเกษตร ซึ่งถือว่ามีขนาดใหญ่มาก
และหากนับรวมธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องในห่วงโซ่อุปทานไปด้วยอีก
ผลกระทบก็จะมีขนาดใหญ่กว่าที่ประเมิน
แน่นอนว่าคงไม่ใช่ทุกบริษัทที่จะถูกแทนที่ คนที่ปรับตัวก็จะสามารถอยู่รอด การจ้างงานก็คงจะไม่หายไปทั้งหมด
แต่อย่างน้อยที่สุดนี่ก็เป็นสัญญาณเตือนว่าควรถึงเวลาที่ทั้งนโยบายภาครัฐ และภาคเอกชนต้องเริ่มปรับตัวอย่างจริงจัง
การพึ่งพาต่างประเทศไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป
ประเทศไทยยังพึ่งพารายได้จากการค้าระหว่างประเทศและภาคการท่องเที่ยวในระดับสูง
จะเริ่มถูกกระทบจากโลกาภิวัตน์รูปแบบเดิมที่เริ่มถึงจุดอิ่มตัว วิกฤต โควิด-19 สะท้อนให้เราเห็นความเปราะบางจากการกระจุกตัวของเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพา
รายได้จากต่างชาติคือ
การส่งออกและการท่องเที่ยวเป็นหลักที่น่ากังวลคือ
เมื่อมองไปข้างหน้าโลกาภิวัตน์รูปแบบเดิมจะเริ่มถึงจุดอิ่มตัว (peaked globalization)
และการค้าโลกเริ่มชะลอตัวลง
เศรษฐกิจไทยที่ถูกขับเคลื่อนด้วยอานิสงค์ของการค้าโลกในรูปแบบเก่าอาจไม่สามารถเป็นตัวชูโรงให้เศรษฐกิจเดินหน้าไปได้แม้จะจบการระบาดของโควิด-19 ไป
แล้วก็ตาม
ทิศทางการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของยักษ์ใหญ่ของวงการการค้าโลกคือ
ประเทศจีนก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องสะท้อนและเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะทำให้รูปแบบของเศรษฐกิจโลกเปลี่ยนไปในอนาคต
นโยบายเศรษฐกิจระยะหลังที่ออกมาล้วนแล้วแต่เป็นการเน้นการเติบโตจากภายในประเทศทั้งสิ้น
โดยเริ่มเห็นสัญญาณการออกไปลงทุนในต่างประเทศของจีนที่ลดลงตั้งแต่ปี 2016
ล่าสุด คือแผนยุทธศาสตร์ 5 ปีของจีน (China’s five year plan)
ที่กลับมาเน้นการเติบโตจากภายในประเทศตรงกันข้ามกับไทยที่ในวันนี้คนไทยออกไปลงทุนต่างประเทศมากกว่าการลงทุนในไทยไปแล้ว
เพราะเศรษฐกิจในประเทศไม่เติบโตและขาดโอกาสในการลงทุนใหม่ๆ
หากเศรษฐกิจไทยยังคงเน้นการพึ่งพาภาคต่างประเทศเช่นนี้และยังไม่หันกลับมาส่งเสริมการลงทุน
และการบริโภคในประเทศก็คงจะส่งผลต่อศักยภาพการเติบโตระยะยาวของไทยอย่างแน่นอน
ค่าเงินบาทในสงครามค่าเงินรอบใหม่ในปัจจุบันกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)
1
เริ่มให้คำแนะนำว่าประเทศกำลังพัฒนาสามารถทำนโยบาย QE
หรือการพิมพ์เงินไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลได้ในภาวะฉุกเฉิน
เพราะจะช่วยให้ภาวะทางการเงินของประเทศดีขึ้น
บนเงื่อนไขว่าประเทศต้องมีเสถียรภาพทางการเงินมากพอ มีการสื่อสารกับนัก
ลงทุนชัดเจน
และมีการจำกัดขนาดของการทำ QE สะท้อนว่าการทำนโยบายการเงินทั่วโลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่นักเศรษฐศาสตร์ยอมรับให้มีการอัดฉีดเงินในขนาดที่ใหญ่ขึ้นมาก
แล้วจริงๆ
การอัดฉีดเงินอย่างมหาศาลจากธนาคารกลางทั่วโลกอาจทำให้ท้ายที่สุดโลกเราเข้าสู่ยุคของสงครามค่าเงิน (Currency War)
โดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งจะกระทบค่าเงินบาทรุนแรง ขึ้นเรื่อยๆ
สัญญาณจากประเทศที่มีการอัดฉีดเงินในปริมาณมากที่สุดในโลกอย่างสหรัฐอเมริกา สร้างความกังวลว่าจะเกิดสถานการณ์ เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง
ธนาคารกลางในหลายประเทศไม่ต้องการให้เงินสกุลตนเองแข็งขึ้นเร็วเกินไป (โดยฉพาะประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสูง)
ก็มีการตอบสนองผ่านหลายวิธี เช่น การแทรกแซงค่าเงินโดยตรง
หรือแม้กระทั่งการอัดฉีดสภาพคล่องผ่านการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาล (QE)
เพราะเป็นการช่วยทั้งการลดอัตราดอกเบี้ยให้ภาครัฐและลดแรงกดดันต่อค่าเงินไปในตัว สถานการณ์เช่นนี้อาจพาโลกเข้าสู่สงครามค่าเงิน (Currency war)
สภาพแวดล้อมของนโยบายการเงินโลกที่เปลี่ยนไปจะสร้างแรงกดดันต่อค่าเงินบาทให้แข็งค่าขึ้น จาก 2 ปัจจัย
(1) ธนาคารกลางของไทยยังไม่มีการปรับเปลี่ยนไปใช้นโยบายการเงินรูปแบบใหม่ๆ ในขณะที่ประเทศอื่นๆ รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่
1
อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ได้เริ่มใช้นโยบายการเงินแบบ unconventional ไปแล้วด้วยการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลโดยตรง
เมื่อธนาคารกลางของไทยให้น้ำหนักด้านเสถียรภาพทางการเงินของประเทศมากกว่าด้านเศรษฐกิจในการดำเนินนโยบายการเงิน
จึงทำให้นโยบายการเงินของไทยมีการผ่อนคลายน้อยกว่าในหลายประเทศมาก
(2) เสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยที่อยู่ในระดับสูง
คือ การเกินดุลบัญชีเดินสะพัด เงินสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในอันดับต้น ๆ
ของโลก
และหนี้ต่างประเทศที่อยู่ในระดับต่ำ
จึงทำให้ค่าเงินบาทถูกมองว่าเป็น safe haven asset และมีโอกาสน้อยมากที่จะ
อ่อนค่าลงรุนแรง
ผลที่จะเกิดขึ้นเมื่อบาทแข็งค่าต่อเนื่องคือ
ผลกระทบต่อผู้ส่งออกสินค้าผ่านรายได้ที่ลดลง
และผลต่อความสามารถในการแข่งขันของไทย
แม้ว่าโดยปกติการอัดฉีดเงินเพื่อทำนโยบาย QE อาจไม่ใช่เรื่องเหมาะสมในบริบทของไทยเพราะจะสร้างความเสี่ยงต่อความเชื่อมั่นในวินัยทางการเงินและอาจไม่ช่วยให้สภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นไปช่วยเหลือคนและธุรกิจที่ได้รับผลกระทบได้
ตรงจุด
แต่ในสถานการณ์นี้ที่หลายประเทศหันไปใช้นโยบายการเงินกันขนานใหญ่และส่งผลต่อค่าเงินบาทเช่นนี้เกิดคำถามว่าไทยยังควรยึดหลักการการทำนโยบายแบบเดิมหรือเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ทันสมัยมากขึ้น
เป็นอีกประเด็นที่ต้องกลับมาช่วยกันคิดและประเมินกันอย่างรอบด้านอีกครั้ง
เปลี่ยนหน้าตาเศรษฐกิจไทยในโลกหลังโควิด-19
นอกเหนือจากเทรนด์ที่ถูกเร่งจากโควิด-19 ประเทศไทยยังเผชิญหน้ากับปัญหาเชิงโครงสร้างอื่นๆ มาก่อนแล้วตามที่ KKP Research ได้นำเสนอบทความมาตลอดทั้งปี 2020
1
โครงสร้างเศรษฐกิจหลายด้นของไทยที่มีความเปราะบางอยู่แล้ว
1
จะมีโอกาสถูกกระทบจากเทรนด์ใหม่ๆ ได้รุนแรงมากขึ้นอีกหลังโควิด 19
ไม่ว่าจะเป็นการพึ่งพาต่างประเทศในระดับสูงความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง
ธุรกิจยังอยู่ในรูปแบบเก่า ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และการก้าวเข้าสู่สังคม
สูงอายุอย่างรวดเร็ว
(ดู KKP Research ทำไมต่างชาติขายหุ้นไทย้ไม่หยุด?, เมื่อคนไทยกว่า 40% เข้าสู่วัยเกษียณ)
ค่อนข้างชัดเจนว่าโอกาสที่จะเห็นเศรษฐกิจไทยกลับไปโตได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนหลังโควิด คงเป็นไปได้ยากหากนโยบายเศรษฐกิจยังไม่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ
ในวันนี้นโยบายเศรษฐกิจหลายอย่างของไทยยังคงสนใจในประเด็นว่าจะทำอย่างไรให้เศรษฐกิจกลับไปโตได้แบบเดิม
หวังพึ่งพานักท่องเที่ยวให้กลับมาเติบโตเท่าเดิม หวังพึ่งพาการส่งออกที่จะกลับมาฟื้นตัว
1
และหวังว่าอุตสาหกรรมแบบเดิมจะ
สามารถเป็นตัวขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าต่อในอนาคต สิ่งที่ต้องตั้งคำถามคือ
ความหวังของหลายฝ่ายที่จะทำให้ไทยกลับไปโตแบบเดิมยังเป็นไปได้หรือไม่หากในวันนี้รู้แล้วว่าเศรษฐกิจโลกอาจไม่กลับไปโตในรูปแบบเดิมอีกแล้ว
ถึงเวลาแล้วหรือไม่ที่เราต้องหาหน้าตาแบบใหม่ของเศรษฐกิจไทยในโลกยุคหลังโควิดที่กำลังจะมาถึง
KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทรประเมินว่าภาครัฐควรให้ความสำคัญกับนโยบายปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่เศรษฐกิจแบบใหม่ ใน 3 เรื่องหลัก คือ
1
(1) การปฏิรูประเบียบ ส่งเสริมการแข่งขัน และพัฒนาแนวทางส่งเสริมอุตสาหกรรมแบบใหม่ ๆ
การพัฒนากฎระเบียบให้เอื้อต่อการเกิดธุรกิจใหม่ การส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมลดการกีดกันที่ไม่จำเป็นจะช่วยให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ
1
รวมทั้ง Start up และยังช่วยให้ธุรกิจเดิมมีการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพตามแรงกดดันจากการแข่งขันที่สูงขึ้น
ประเทศไทยยังมีจุดแข็งในอีกหลายเรื่องที่สามารถรับเอาเทรนด์ใหม่ๆ มาพัฒนา
ควบคู่กันไปได้ อาทิ การทำการเกษตรแบบครบวงจร (Agricultural Ecosystem)
และการนำเทคโนโลยีมาใช้ (farming) การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness and Medical tourism) หรือแม้แต่รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle)
ที่หากได้รับการสนับสนุนที่เหมาะสมจากภาครัฐก็อาจช่วยส่งให้เศรษฐกิจไทยเปลี่ยนไปตามเทรนด์โลกใหม่ได้
(2) การกำหนดแนวทางปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ (Restructure) ที่ชัดเจนและใช้ได้จริง
แม้ว่าปัจจุบันประเทศไทยจะมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติอยู่แล้วแต่ดูเหมือนจะไม่ได้ให้ความสำคัญอย่างจริงจังประเด็นสำคัญ คือ
การปรับโครงสร้างให้เกิดการเติบโตจากภายในประเทศตามเทรนด์โลกที่เปลี่ยนไป โดยประเมินว่ายังมีช่องว่างที่ภาครัฐยังจะเข้ามาช่วยกระตุ้นการเติบโตจากในประเทศได้จากหนี้สาธารณะที่อยู่ในระดับต่ำ
(3) การทบทวนบทบาทนโยบายการเงินเพื่อสนับสนุนการปรับโครงสร้างของประเทศ
1
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเพียงพอให้เศรษฐกิจในประเทศสามารถเติบโตได้เพื่อทดแทนการกระจุกตัวจากการพึ่งพาต่างประเทศที่มากเกินไป
1
และจะเป็นการช่วยลดแรงกดดันต่อค่าเงินบาทในระยะยาวได้จริงผ่านการเร่งให้เกิดการเติบโตของอุปสงค์ในประเทศและการนำเข้า
ติดตามความเสี่ยงระยะสั้น…ตระหนักการเปลี่ยนแปลงระยะยาว
ข้อสังเกตสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับนักลงทุนที่หากต้องการทำนายทิศทางของตลาดหุ้นและเศรษฐกิจให้ครบถ้วน
สำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องติดตามความเสี่ยงระยะสั้นและตระหนักว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอาจเกิดขึ้นได้เสมอเมื่อเกิดวิกฤต ซึ่งรวมถึงสถานการณ์ที่มีการระบาดของ โควิด-19 อย่างในปัจจุบัน
ในปี 2021 ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจยังมีอยู่สูง
จากทั้งการระบาดที่อาจลุกลามไปไกล ข้อจำกัดด้านสาธารณสุขอาจทำให้ไม่สามารถรองรับผู้ป่วยได้เพียงพอ
1
และประสิทธิภาพของวัคซีนเมื่อใช้งานจริง
ล้วนแล้วแต่เป็นประเด็นที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ในกรณีเลวร้ายคาดว่า GDP มีโอกาสที่จะโตติดลบอีกครั้งในปีนี้ (ดู KKP Research เศรษฐกิจปีฉลูกับการต่อสู้โควิดระลอกใหม่)
สำหรับเศรษฐกิจไทยในระยะยาว ย้อนกลับไปที่คำถามเริ่มต้นของบทความเศรษฐกิจจะกลับไปโตเท่าเดิม
หรือ SET จะกลับไปอยู่ในระดับเดิมได้อย่างยั่งยืนหรือไม่หลัง
โควิด-19 จบไป ในวันนี้คงตอบได้เพียงขึ้นอยู่กับว่าเศรษฐกิจและธุรกิจไทยจะสามารถปรับตัวได้มากน้อยและรวดเร็วเพียงใดเพื่อไม่ให้ตกขบวนรถไฟขบวนใหม่ในโลกยุคหลังโควิด-19
บทความนี้ต้องการชวนให้ทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจมองการเปลี่ยนแปลงให้ครบทุกมิติ และไม่เพียงแต่ให้ความสำคัญกับมาตรการรับมือในระยะสั้นเท่านั้น แต่ยังต้องประเมินสถานะของประเทศไทยในระยะยาวด้วยว่าจะโตไปในทิศทางใดท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วเช่นนี้
ในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสใหม่ๆ เกิดขึ้นมาเสมอ
ในวันนี้คงยังไม่สายเกินไปที่เราจะสร้างเครื่องยนต์ใหม่ให้กับเศรษฐกิจไทย
การพูดคุยแนวทางนโยบายต่างๆ ควรเกิดขึ้นตั้งแต่วันนี้และควรผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนอย่างแท้จริงไม่เช่นนั้นประเทศไทยอาจเป็นประเทศที่ตกขบวนรถไฟ และถูกประเทศอื่นๆ แซงหน้าไปโดยไม่หันหลังกลับมา
ดูภาพประกอบทั้งหมดได้ตาม link นี้
#KKPResearch #เศรษฐกิจไทย #โลกไม่เหมือนเดิม #ภาพรวมเศรษฐกิจ #กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร #GDP #การแพร่ระบาดของโควิด19 #การกระจายวัคซีน #เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ช้า #การเปิดรับนักท่องเที่ยว #ความสามารถในการแข่งขันของไทยในเวทีโลก #การอัดฉีดเงิน #นโยบายQE #การระบาดรอบ2 #โควิด19 #Covid19 #นโยบายการเงิน #วิกฤตเศรษฐกิจ #หนี้ทั่วโลก #Geopolitics #เทรนด์ทางเศรษฐกิจ #การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ #ปัญหาเสถียรภาพทางการเงิน #เงินเฟ้อกลับมาสูง #การประชุมหรือสัมมนาแบบออนไลน์ #Webinar #WorkFromHome #WFH #วิกฤตการเงิน #ตลาดอสังหาริมทรัพย์ #ฟองสบู่แตก #เหตุผลด้านภูมิรัฐศาสตร์ #ผู้นำทางเทคโนโลยี #นกัเศรษฐศาสตร์ #ความท้าทายต่อเศรษฐกิจไทย
#KKP #Kiatnakinphatra #นักลงทุนรายใหญ่ #Wealth #ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน #นักลงทุนมืออาชีพ #ลงทุนเติบโต #PrivateBank #เกียรตินาคินภัทร #PrivateBank #เกียรตินาคินภัทร #PhilosophyOfWealth #BestGlobalPrivateBank #FinancialPlanning #AssetAllocation #KKPAdviceCenter #KiatnakinPhatra@Blockdit #OptimiseYourOpportunities
โฆษณา