9 ก.พ. 2021 เวลา 09:49 • ประวัติศาสตร์
มาเล่นว่าวกันเถอะ
ภาพ วัชรชัย คล้ายพงษ์ / NationPhoto
ว่าวกำเนิดมาจากจีน เชื่อว่ามาจากการรบสมัยรณรัฐ (จ้านกั๋ว 476 - 221 ก่อน ค.ศ.) และนักปราชญ์ราชบัณฑิตนามกระเดื่องชื่อม่อจื่อ (470 - 391 ก่อน ค.ศ.) และ หลู่ปัน (507 - 444 ก่อน ค.ศ.) แห่งราชวงศ์โจว ซึ่งคนจีนถือเป็นเทพยดาสถาปัตยกรรมช่างไม้ เป็นผู้คิดค้นว่าวขึ้น ถือเป็นครั้งแรกของโลกที่ว่าวทำด้วยโครงไม้ไผ่สามารถบินได้เหมือนวิหคเหินลมได้เป็นเวลานาน จนถึงยุคห้าราชวงศ์ หลี่เย่จึงได้ประดิษฐ์ว่าวที่ทำจากกระดาษได้เป็นผลสำเร็จ พอถึงสมัยราชวงศ์ ซ่งหรือซ้อง ก็ถูกเผยแพร่ไปที่เกาหลีและญี่ปุ่นและถูกนำไปใช้ในการรบในสมรภูมิหลายครั้ง
เพิ่งมีการฉลองวันเล่นว่าวสากลเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2564 ซึ่งจัดให้มีขึ้นครั้งแรกที่เมืองกุจารัตติ (Gujarati) ประเทศอินเดีย แต่ว่าว่าวมีกำเนิดในจีนมาถึง 2300 ปีแล้ว และเริ่มใช้เป็นอาวุธสอดแนม ส่งสัญญาณ หรือ ขอความช่วยเหลือในสมัยกบฏไต้เผ็งที่มีการชักว่าวเหนือกรุงนานจิงเพื่อขอความช่วยเหลือ ส่วนอินเดียน่าจะรับกีฬาการเล่นว่าวมาจากจีนอีกทีหนึ่ง ผู้ที่นำมาคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพ่อค้าจีนเส้นทางสายไหมจากดินแดนจีนอันไกลโพ้น
ว่าวจีนกำเนิดมาจากความคิดที่ว่าเป็นสัญลักษณ์ของโชคลาภ ความผาสุก และความไพเราะ ของเสียงแห่ง กู่เจิงจากสรวงสวรรค์ ว่าวของจีนจึงมีความมีชีวิตชีวา ลึกลับ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของจินตภาพประกอบเสียงของดนตรีจากสรวงสวรรค์ เรียกว่า พิณแห่งลม หรือ ฟงเจิ้ง (ฟงสุย หรือ ฮวงซุ้ย คือ ลมกับน้ำ) เพราะเหมือนกับหัวธนูเกาฑัณฑ์ของมองโกล สามารถประกอบหัวนกหวีดหรือขลุ่ยทำจากหัวน้ำเต้าหรือสายพิณ ติดไปกับว่าว เวลาเล่นลมเสียงหวีดของลมที่ผ่านลิ้นเสียงขลุ่ยของน้ำเต้าหรือสายพิณที่ว่าวนำขึ้นไปบนอากาศจะส่งเสียงคล้ายกับเทวดามาเล่นพิณบนฟ้า ฟังดูอัศจรรย์ยิ่งนัก เสียงหวีดจะได้ยินไปไกล ถือเป็นการให้พรและโชคลาภ
ภาพ วัชรชัย คล้ายพงษ์ / NationPhoto
ว่าวจีนเป็นภาพสัตว์ที่ทำเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ ไม่ว่าเป็นหัวมังกร หางและลำตัวยาว เรียกว่า ว่าวร้อยขา (Centipede) หรือค้างคาวซึ่งเป็นตัวแทนความผาสุข ตลอดจนรูปสัตว์ต่าง ๆได้แก่ นกนางแอ่น ปลาทอง ผีเสื้อ แมลงปอ ตะขาบ และค้างคาว (เพราะมีคำพ้องเสียงกับคำว่าค้างคาวหรือ “เปี้ยนฝู” แปลว่า มีความสุขถ้วนหน้า หรือผาสุขถ้วนหน้า) ว่าวนกนางแอ่น ดูเหมือนคำจีนว่า “ต้า” ที่แปลว่า ยิ่งใหญ่ ถ้าวาดค้างคาวไปด้วยก็จะมีความสุขร่ำรวย และเวลาขึ้นว่าวนกนางแอ่นจะดูสวยงามเพราะขึ้นทีก็หลายสิบตัวต่อ ๆ กันไป (นี่อาจเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่คนจีนชอบบริโภครังนกนางแอ่นเพราะรูปเหมือนเงินจีน และชอบบริโภคค้างคาวเพราะเชื่อว่าทำให้มีความสุขทั่วหน้ากลายเป็นโควิด-19 ระบาดไปทั่วโลกจนบัดนี้ ฮ่าๆ ล้อเล่นน่ะ) นอกจากนี้คนจีนยังเชื่อว่าแค่การไปชักว่าวถือเป็นการปลดปล่อยสิ่งชั่วร้ายออกไปถือเป็นศุภมงคล คงคล้ายกันกับประเพณีลอยกระทงของคนไทย
เมืองหลวงแห่งการชักว่าว คือ เหวยฟาง แห่งมณฑลชานตุงซึ่งเป็นที่แข่งขันการเล่นว่าวโลก จัดขึ้นในเดือนเมษายนของทุกปี ซึ่งได้มีการพัฒนาตัวว่าวมาจากหลายแห่ง เช่น ปักกิ่ง และ เทียนสิน เป็นต้น แต่ที่นี่มีความพิเศษ เพราะมีว่าวที่ถูกพัฒนามาหลายชนิด เช่น ว่าวปีกนุ่ม ว่าวสามมิติ ว่าวปีกแข็ง ว่าวตะขาบหรือว่าวมังกรร้อยขา เป็นต้น
เหวยฟาง ดังมาจากการนำไปแสดงที่งานแสดงสินค้าออกของจีนที่เซี่ยงไฮ้ ในปี 2526 และชาวอเมริกันชื่อ David Qielak ซื้อกลับไปสหรัฐ ทำให้ดังไปทั่วโลกและได้จัดงานเทศกาลว่าวในวันที่ 1 เมษายน 2527
ประเทศไทยก็มีเทศกาลเล่นว่าว เมื่อลมว่าวพัดมาในช่วงกุมภา-มีนาคม สมัยก่อนไปหัดถีบจักรยานให้เช่า และเล่นว่าว ที่ท้องสนามหลวง ใกล้บ้านจำได้ว่าสนุกมาก แต่คนไทยเราชอบแกล้งผู้อื่นเอากาวผสมเศษกระจกหรือแก้วทาตรงสายป่านว่าว เวลาว่าวคนอื่นเข้ามาพันสายป่านที่มีคมก็จะตัดว่าวคนอื่นเสียให้ล่องละลิ่ว ลิ่วละล่องไปตามลม เป็นที่หัวเราะชอบใจสนุกสนานยิ่งนักที่ได้แกล้งคนอื่นสำเร็จ บางทีถ้าเป็นว่าวตัวเก่งเช่นว่าวจุฬา เวลาขึ้นลมแทบจะหอบผู้เล่น (ตัวเล็ก ๆ) ไปด้วยตามแรงลม
บางประเทศเช่นสหรัฐอเมริกามีข้อห้ามชักว่าวในช่วงฝนฟ้าคะนอง แต่เบนจามิน แฟลงคลิน กลับพยายามใช้ว่าวพิสูจน์ว่าฟ้าผ่ามีประจุไฟฟ้า (ซึ่งโชคดีที่ไม่โดนฟ้าผ่าตายขณะชักว่าว ฮ่า ๆ) ที่พิพิธภัณฑ์ National Aeronautics and Space Museum ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มพิพิธภัณฑ์ Smithsonian มีว่าวจีนแสดงโดยมีคำอธิบายว่านี่คือ อากาศยานและขีปนาวุธแรกของมนุษย์
ส่วนในไทยจำได้ว่าผู้ใหญ่ไม่ให้ชักว่าวใกล้สายไฟฟ้าด้วยเกรงว่าจะถูกไฟฟ้าดูด ไทยมีกฎระเบียบห้ามชักว่าวมากที่สุดถึง 78 ข้อ ถือเป็นสถิติโลก ว่าวปักเป้า ว่าวจุฬา ของไทยน่าจะเล่นมาในสมัยสุโขทัย และมีความหมายเป็นเชิงเกี้ยวพาราสีเสพย์สังวาส ดังที่สุนทรภู่ได้พรรณนาไว้ในบทอัศจรรย์ ระหว่างพระอภัยมณีและนางผีเสื้อสมุทรจำแลงว่า:
“พระฟังคำจำจิตพิศวาส...เกิดกุลาคว้าว่าวปักเป้าติด กระแซะชิดขากบกระทบเหนียง กุลาส่ายย้ายหนีตีแก้เอียง ปักเป้าเหวี่ยงยักแผละกระแชะชิด กุลาโคลงไม่สู้คล่องกระพล่องกระแพล่ง ปักเป้าแทงแต่ละทีไม่มีผิด จะแก้ไขก็ไม่หลุดสุดความคิด ประกบติดตกผางลงกลางดิน สมพาสน์ยักษ์รักร่วมภิรมย์สม... ไม่สิ้นสุดสิ่งเสน่ห์ประเวณี”...
ป.ล. คำว่า “ชักว่าว” ในสมัยก่อนมีความหมายอีกนัยหนึ่ง หมายถึง การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองของเพศชาย ปัจจุบันก็ยังมีความหมายเช่นนั้น แต่ไม่ถือเป็นคำหยาบ มีความหมายไปในทำนองตลกขบขัน
โฆษณา