Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
นักเล่านิทรา
•
ติดตาม
10 ก.พ. 2021 เวลา 04:55 • ประวัติศาสตร์
เจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ ทหารเสือพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
ในช่วงแห่งการเรียกร้องสิทธิ์มากมายแบบสมัยใหม่นี้ ค่อนข้างกระเทือนไปทุกวงการ โดนเฉพาะภาคประวัติศาสตร์ ที่มักมีคนโจมตีว่าบอกเล่าแต่เพียงเรื่องราวกษัตริย์ ไม่มีเรื่องราวของไพร่หรือขุนนางมากนัก ก็ให้พอดีได้อ่านประวัติของขุนทหารเรืองนาม ที่เคยโลดแล่นในประวัติศาสตร์ ชนิดที่เรียกว่าบทบาทของท่านดังนิยายอิงประวัติศาสตร์ของจีนก็ว่าได้ ว่าแล้วจึงกลับมาเล่าเรื่องราวสนุกๆ ด้านประวัติศาสตร์อีกสักครา เผื่อท่านที่สนใจจะได้ฟังไว้พอสนุกสนาน
1
โดยท่านผู้นี้คือเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ มีนามเดิมว่าอู่ ต้นตระกูลเป็นพรามห์จากอินเดีย เข้ามาในแผนดินสุวรรณภูมิแต่สมัยสุโขทัยเป็นราชธานี ก่อนจะรับราชการเรื่อยมาจนสมัยอยุธยา มีการจดบันทึกต้นตระกูลที่เอ่ยนามได้ก็สมัยพระนารายณ์ คือพระมหาราชครูศิริวัฒน เป็นพราห์มพิธี ซึ่งมีลูกชาย 2 คน คือ พระมหาราชครูปูโรหิตาจารย์ และพราห์มรามิน ซึ่งพระมหาราชครูปูโรหิตาจารย์เองก็มีลูกชายอีกสองคน ชื่อนายเมฆ และนายผล ทั้งสองคนนี้สละเพศ พราห์มและเข้ารับราชการแต่สมัยพระพุทธเจ้าเสือ ก่อนจะเติบโตในวงราชการเป็นใหญ่เป็นโต โดยนายเมฆได้เป็นถึงเจ้าพระยาสุรสีห์พิศมาธิราช ครองเมืองพิษณุโลก ฝ่ายนายผลคนน้องได้เป็นพระยาเพชรัตนสงคราม รั้งเมืองเพชรบูรณ์
โดยเจ้าพระยาสุรสีห์ฯ (เมฆ) นี้มีบุตรชาย 3 คน คนแรกคือนายบุญเกิด ต่อมาได้เป็นเจ้าพระยานเรนทราภัย และ นายบุญมี ต่อมาได้เป็นเจ้าพระยาสุรินทรภักดี ส่วนบุตรชายคนที่ 3 นี้เองคือตัวเอกของเรา มีนามว่าอู่ ซึ่งนายอู่นี้สมัยวัยรุ่งไม่สู้จะสนใจงานราการเช่นพี่ชาย มีนิสัยนักเลงใจกว้างและอาจหาญ จนออกญาสุรสีห์ฯ บิดาไม่สู้จะกล้าฝากตัวให้เป็นมหาดเล็กตามธรรมเนียม ด้วยเกรงว่าเมื่อรับใช้เจ้านายสนิทสนมจะกระทำผิดกฎจนมีภัย
นายอู่จะใช้เวลาวัยรุ่นในเชิงนักเลงนานเท่าใดไม่แน่ชัด แต่ภายหลังได้ลูกสาวพนักงานด่านขนอนขุนนางระดับเล็กเป็นภรรยา ก็ออกจากพระนครไปขออาศัยกับออกญาเพชรรัตนสงครามผู้เป็นอาที่เพชรบูรณ์ จึงได้รับแต่งตั้งเป็นขุนชำนาญ ไม่ปรากฏว่าสร้อยบรรดาศักดิ์คืออันใด แต่เป็นเพียงขุนแม่ตั้งหรือขุนชั้นประทวน ที่พระยาจะตั้งเองตามใจเพื่อรับราชการในตำแหน่งผู้น้อย มีหน้าที่เก็บอากรในเพชรบูรณ์
จนโอกาสในชีวิตของนายอู่ก็พลิกผัน เมื่อพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศครั้งที่ยังเป็นพระมหาอุปราชวังหน้า เสด็จไปนมัสการพระพุทธบาทที่สระบุรี ออกญาเพชรรัตน์ฯ ซึ่งเป็นข้าเก่าจึงได้ถือโอกาสเข้าเฝ้า และยังได้นำนายอู่ผู้เป็นหลานไปฝากตัวเป็นข้ารับใช้ พระมหาอุปราชก็ทรงรับไว้โดยตั้งให้เป็นขุนชำนาญเช่นเดิม โดยเชื่อว่าสร้อยของราชทินามในคราวนี้คือขุนชำนาญหาญณรงค์ เพราะมีบันทึกของพงศาวดารฉบับหนึ่งอ้างบรรดาศักดิ์นี้เมื่อได้แต่งตั้งเป็นเจ้าพระยาในภายหลัง
เมื่อเป็นขุนนางใกล้ชิดแล้วจะได้มีบทบาทสำคัญอย่างไร ก็ต้องเท้าความถึงเหตุการณ์ของบัลลังก์แต่สมัยพระพุทธเจ้าเสือเสียก่อน คือพระพุทธเจ้าเสือมีเจ้าฟ้าพระโอรสสองพระองค์ คือเจ้าฟ้าเพชรอุปราชวังหน้าพระโอรสองค์โต ที่ก่อนสวรรคตทรงไม่ไว้วางพระราชหฤทัยเกรงเป็นกบฏ จึงได้ตรัสยกบัลลังก์ให้พระโอรสองค์รองคือเจ้าฟ้าพร แต่เมื่อถึงสิ้นรัชการ เจ้าฟ้าพรได้ถวายบัลลังก์ให้แก่เจ้าฟ้าเพชรผู้เป็นพี่ชายตามศักดิ์และสิทธิ์อันพึงมี จึงเสวยราชย์เป็นพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ส่วนเจ้าฟ้าพรทรงแต่งตั้งเป็นพระมหาอุปราชวังหน้า
แม้ 2 พี่น้องจะรักกันปานใด แต่เมื่อพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระมีพระโอรส 3 องค์ คือเจ้าฟ้านเรนทร เจ้าฟ้าอภัยและเจ้าฟ้าปรเมศวร์ปัญหาก็เกิด เพราะพระโอรสทั้งสามเติบใหญ่พอจะครองราชได้ ก็ทรงประสงค์ให้สืบราชสมบัติต่อ ปัญหานี้สร้างความหนักใจแก่เจ้าฟ้านเรนทรเป็นอย่างยิ่ง เพราะพระมหาอุปราชผู้เป็นอานั้นควรได้บัลลังก์มาแต่สมัยเสด็จปู่พระราชทานให้ อีกทั้งยังรักพระองค์มากจนรับเป็นบุตรบุญธรรม จึงตัดสินใจออกผนวชเสียเพื่อเปิดทางให้เจ้าฟ้าพรผู้เป็นอุปราชขึ้นสู่บัลลังก์กษัตริย์ แต่การณ์กลับไม่เป็นดังคาดเมื่อพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระกลับยกราชสมบัติให้เจ้าฟ้าอภัยพระโอรสองค์รอง โดยได้รับการสนับสนุนจากเจ้าฟ้าปรเมศวร์พระโอรสองค์เล็ก ตรงนี้เองที่เจ้าฟ้าพรอุปราชไม่ยอมรับ และประกาศว่าถ้าเป็นเจ้าฟ้านเรนทรจึงจะยอมให้ หากเป็นผู้อื่นก็เป็นต้องรบกัน
สถานการณ์เลยเริ่มคุกรุ่นเมื่อพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระเริ่มประชวรหนัก ฝั่งวังหลวงนำโดนเจ้าฟ้าอภัยจึงยกไพร่พลมาตั้ง ณ ริมคลองประตูข้าวเปลือก ฝ่ายวังหน้าก็เช่นกัน โดยในช่วงแรกมีการปะทะหยั่งเชิงกันแต่เพียงเล็กน้อย ต่อเมื่อข่าวการสวรรคตของพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระแพร่สะพัด สงครามใหญ่ก็บังเกิดทันที เพราะฝ่ายเจ้าฟ้าอภัยซึ่งถือว่ารับพระราชโองการจากพระบิดายกราชสมบัติให้ ก็ถือเอากำลังที่กล้าแข็งเปิดทำการบุก แต่ในช่วงแรกแม้ฝ่ายวังหน้าจะกำลังเป็นรอง แต่กลับบุกทำลายข่ายวังหลวงไปไม่น้อย จนทำทีจะได้เปรียบ แต่แล้วฝ่ายวังหลวงได้พระธนบุรีทหารกล้าอาสานำทหาร 500 บุกตีโต้กลับ จนฝ่ายวังหน้าพลาดท่าแตกพ่ายไม่เป็นขบวน ซึ่งพระธนบุรีผู้นี้เก่งฉกาจกล้าแข็งนัก ขี่ม้ารำทวนไล่บดขยี้ทหารวังหน้าจนขยาดไปทั่ว
การณ์เห็นจะไม่สู้ดีเจ้าฟ้าพรอุปราชจึงประชุมพล ทรงมองว่าจะรั้งค่ายไว้ไม่ไหว คิดจะถอยหนี แต่ยอดทหารใจเพชรผู้หนึ่งร้องทัดทานเอาไว้ เขาคือขุนชำนาญหาญณรงค์นั่นเอง โดยขุนชำนาญร้องขอทหารเพียง 300 และเวลาเพียงให้เขานำทหารข้ามฝั่งคลองไปทำศึก และให้พระมหาอุปราชส่งม้าเร็วตามไปเฝ้าสำรวจ หากขุนชำนาญผู้นี้ยังมีชีวิตในสนามรบ ก็อย่าเพิ่งถอยหนี แต่หากได้สละชีพกลางสมรภูมิแล้ว จึงค่อยยอมแพ้และถอยทัพออกจากอยุธยา ด้วยความใจเด็ดนี้เองเจ้าฟ้าพรจึงพระราชทานตามที่ขอ
เมื่อได้ทหาร 300 นายขุนชำนาญก็กระโดดขึ้นหลังม้าพร้อมดาบคู่มือ นำทัพวังหน้าตลุยเข้าต่อสู่กับศึก ทั้งที่กำลังเสียเปรียบแต่ความบ้าดีเดือดอาจหาญโจนทะยานของนายทัพ กลับทำให้ทหารเพียงเท่านั้นกลับได้ทีไล่ฆ่าฝ่ายวังหลวงจนเสียกระบวน ก่อนจะเข้าปะทะกับพระธนบุรีบนหลังม้าดุจฉากต่อสู้ของขุนศึกในสามก๊กก็ไม่ปาน ฝ่ายหนึ่งใช้ทวนยาวจ้วงแทงดักเชิงระยะไกล อีกฝ่ายใช้ดาบคู่ฟาดฟันยามประชิด สุดท้ายขุนชำนาญได้ทีก็ตวัดดาบตัดศรีษะพระธนบุรีขาดกระเด็น คราวนี้เองทัพวังหลวงก็เสียขวัญแตกถอยร่นไม่เป็นกระบวน ฝ่ายขุนชำนาญจึงนำศรีษะพระธนบุรีไปเข้าเฝ้าพระมหาอุปราช จึงได้รับคำสั่งให้นำหัวพระธนบุรีผูกกับม้าก่อนบุกตีค่ายวังหลวงจนแพ้ย่อยยับ
1
เจ้าฟ้าอภัยและเจ้าฟ้าปรเมศวร์ 2 ราชบุตรได้แต่กอบสมบัติและพระราชลัญจกรลงเรือหนี ก่อนทิ้งลัญจกรลงน้ำและหายสาปสูญนับแต่นั้น ส่วนขุนชำนาญก็ไล่ล่าติดตามจนจับทั้งสองพระองค์มารับพระราชอาญาสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทร์ในที่สุด
เมื่อสถานการณ์สงบลงเจ้าฟ้าพรอุปราชเสวยราชย์ขึ้นเป็นพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ข้าราชการฝ่ายวังหลวงต้องพระราชอาญาเป็นอันมาก ส่วนข้าราชการวังหน้าต่างรับความดีความชอบเป็นขนาด โดยเฉพาะขุนชำนาญหาญณรงค์ ที่ได้เลื่อนข้ามขั้นจากการเป็นผู้มีผลงานกว่าใคร เป็นถึงเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ ที่โกษาธิบดีดูแลกรมท่า ศักดินาหมื่นไร่ อันได้สิทธิ์ดูแลหัวเมืองตะวันออกได้แก่ ระยอง จันทบุรี ตราด ชลบุรี สมุทรปราการ ธนบุรี นนทบุรี สาครบุรีและสมุทรสงคราม ต่อเมื่อจัดระเบียบราชการแล้วเสร็จ เจ้าพระยากลาโหมต้องพระราชอาญาที่วางตัวเป็นกลางคราวศึกชิงบัลลังก์ จึงได้ยกสิทธิ์ในการดูแลหัวเมืองใต้ให้แก่เจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์อีกด้วย เรียกได้ว่าเจ้าพระยามีชื่อผู้นี้อำนาจล้นฟ้าเสียทีเดียว นอกจากนี้ยังทรงเป็นที่โปรดขนาดที่ถูกกล่าวโทษจนมีการสอบสวนหน้าพระพักตร์ก็ไม่มีการลงพระราชอาญาใดๆ
ต่อมาสมุหนายกคนเดิมสิ้นลง เจ้าพระยาราชภักดี(สว่าง) บุตรชายเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ก็รับตำแหน่งแทน เรียกได้ว่าทางพฤตินัยแล้วเจ้าพระยาท่านมีอำนาจล้นฟ้าเหลือประมาณ ถึงขนาดที่บรรดาเจ้าต่างกรมก็ไม่ไว้พระทัยเกรงจะก่อการกบฏ จนแม้แต่เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศวร์อุปราชก็ยื่นกล่าวโทษ หากแต่พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศกลับไว้วางพระทัยไม่เชื่อคำให้ร้ายนั้น และให้ท่านรับราชการจนสิ้นอายุขัย
เมื่อสิ้นชีวิตพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงให้เรียกศพว่าพระศพ และรับไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ จัดงานเสมือนเจ้านายต่างกรม พระราชทานโกศชั้นสูง ซึ่งมีบันทึกทั้งในพงศาวดารและบันทึกของต่างชาติร่วมสมัยที่เข้ามาในอยุธยาช่วงนั้น เรียกได้ว่าแม้จะเป็นเพียงเจ้าพระยาแต่อำนาจและศักดิ์ที่แสดงออกเสมอด้วยขุนนานระดับสมเด็จเจ้าพระยาทีเดียว
เจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์นี้ยังสืบเชื่อสายจนถึงปัจจุบัน สืบค้นสกุลต่อเนื่องถึงทุกวันนี้ได้ 4 สกุลอันได้แก่ จันทโรจนวงศ์ บูรณศิริ ภูมิรัตน และศิริวัฒนกุล นอกจากนี้ยังเกี่ยวเนื่องด้วยสกุลบุญรัตพันธุ์อีกด้วย
ภาพประกอบจากละครช่อง 7 มิได้เกี่ยวกับเนื้อหา
5 บันทึก
8
6
6
5
8
6
6
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย