10 ก.พ. 2021 เวลา 04:38 • ประวัติศาสตร์
จามเทวี...เทพีล้านนา
.
เรื่องราวของ "พระนางจามเทวี" (พ.ศ. ๑๑๖๖ - ๑๒๗๔) อาจถูกมองว่าไกลตัวสำหรับคนในยุคปัจจุบัน ! ทั้งที่ความจริงการค้นคว้าให้เกิดความแตกฉานอาจสามารถนำไปเชื่อมโยงกับ "ตำนานมูลศาสนา" ที่ประกอบไปด้วยวิชา "กลศาสตร์ทางจิต" ที่ไม่อาจศึกษาได้ในปัจจุบันอีกแล้ว ! ทั้งยังอาจสืบเสาะไปถึงต้นตอขององค์ความรู้ในด้าน "เศรษฐศาสตร์เมือง" และ "รัฐศาสตร์" ในภูมิภาคอุษาคเนย์ได้อีกด้วย...!!!
.
1
"จามุณฑา" หรืออีกพระนามหนึ่งของพระองค์ที่ได้รับการขนานตามสายวิชาการ "ล้านนาศึกษา" เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงวีรกรรมอันน่าสรรเสริญของพระองค์ได้เป็นอย่างดี ซึ่งชื่อ "จามุณฑา" นี้ถูกเชื่อมโยงกับ "ปุราณะ" หรือเรื่องเล่าที่ตกค้างจากอินเดีย อันเป็นวรรณคดีศักดิ์สิทธิ์ !
.
กล่าวคือมี “นางจามมณฑา” (อ่าน มุนดา) เป็นเทวีที่ผสมทั้งความเป็นพระแม่อุมา (ชายาพระศิวะ) พระนางลักษมี (ชายาพระวิษณุ) และพระนางสุรัสวดี (ชายาพระพรหม) ซึ่งเป็นผู้มาปราบ “มหิงสาสุระ” หรืออสูรในรูปควาย
.
คติความเชื่อจากวรรณคดีศักดิ์สิทธิ์นี้ถูกสะท้อนออกมาอย่างเป็นรูปธรรมที่สุดในครั้งที่พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งปฐมกษัตริย์แห่งเมืองลำพูน (หริภุญไชย) และนำกำลังเข้าต่อกรกับกองทัพของ "ขุนวิลังคะ" จนได้ชัยชนะ !
.
ซึ่งเรื่องราวการต่อสู้ดังกล่าวยังอาจสืบสาวไปจนพบกับการกำเนิดของ "ศิลปมวยไทย" โดยความช่วยเหลือจาก "สุกกทันตฤาษี" แห่ง "เมืองละโว้" ผู้เป็นหนึ่งในห้ามหาฤาษีซึ่งใช้มนตราอาคมสร้างเมือง "หริภุญไชย" ขึ้นมา !! การศึกษาเรื่องราวของพระองค์จึงถือเป็นการกลับสู่ต้นกำเนิดของ "สรรพศาสตร์" แห่งสยามทั้งปวง !!!
.
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นที่ หมู่บ้านหนองดู่ อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน เมื่อราวพันสามร้อยปีก่อน ! พระนางจามเทวีได้ประสูติตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕ พ.ศ. ๑๑๖๖ ปีมะโรง เป็นดวงชะตาของ "แม่มังกร" ผู้สูงส่งและถูกลิขิตมาให้อุทิศชีวิตแก่ชาติบ้านเมืองและสร้างวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ !
.
ชะตาที่ผกผันได้ทำให้พระนางต้องมาอยู่ภายใต้การดูแลของ "สุเทวฤาษี" ซึ่งบำเพ็ญตบะอยู่ ณ เขาอุจฉุตบรรพต แปลว่า "เขาไร่อ้อย" (เชื่อว่าคือดอยสุเทพในปัจจุบัน) ตั้งแต่ยังแบเบาะ ! ซึ่งได้มีโคลงล้านนาบรรยายเหตุการณ์ตอนนี้เอาไว้อย่างไพเราะว่า...!
.
อยู่มาวันหนึ่ง...ฤาษีเดินด้อม
จ๋นเข้าไปใน...พงไพรป่าลึก
ด้วยความม่วนใจ๋...แต่ต้องหยุดกึ๊ก
ดังอึกทึก...เสียงใสไห้จ้า
.
เสียงละอ่อนหน้อย...ลูกของไผหวา
จึงรีบไคลคลา...เข้าหาผ่อใกล้
.
ว่าแล้วฤาษี...ผู้มีฤทธิ์หลาย
จึ่งรีบขะใจ๋...เสกด้วยมนตรา
บังเกิดนมย้อย...ปล๋ายนิ้วหัตถา
น้ำนมออกมา...เลี้ยงหมู่เขาได้
.
"สุเทวฤๅษี" ได้ผูกดวงและตรวจสอบชะตา ทราบว่ากุมารีบุญธรรมของท่านจะได้เป็นถึงนารีจอมกษัตริย์ ปกครองบ้านเมืองอันใหญ่โต จึงตกลงใจว่าจะต้องส่งเด็กหญิงไปสู่ราชสำนัก และที่เหมาะสมในสายตาท่านฤๅษีคือ ราชสำนักแห่ง "กรุงละโว้" ซึ่งเป็นราชสำนักที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในสุวรรณภูมิเวลานั้น
.
ภายหลังจากที่ได้ส่งเด็กหญิงไปสู่ราชสำนักเมืองละโว้จนได้รับการแต่งตั้งเป็นพระราชธิดาของ "พระเจ้าจักวัติ" เรียบร้อยแล้วนั้น ! ฝ่าย "สุเทวฤาษี" ก็รู้สึกได้ว่าบ้านเมืองเดิมเริ่มจะประสบปัญหา "ชุมชนแออัด" อันจะเป็นเหตุที่นำไปสู่ความวุ่นวายในอนาคต ดังว่า...!
.
ผ่านไปหลายปี๋...บรรดาหน่อไท้
ต่างก็เติบใหญ่...เป็นผู้คนมา
ที่อยู่คับแคบ...แสบใจ๋ของข้า
คนนักขึ้นมา...เกิดปั๋ญหาใหญ่
.
ความเป๋นมนุษย์...หรือคนนั้นไซร้
อันว่าจิตใจ๋...มากด้วยมายา
กิ๋นก็ลู่กั๋น...อยู่ก็ขางกั๋น
นักขึ้นตึงวัน...ผิดกั๋นก๋วนข้า
.
อยู่บ่เป๋นสุข...ตุ๊กใจ๋แต๊ว่า
ขัดกับพรหมา...ศิลแตกแม่นมั่น
กึ้ดหาหนทาง...หื้อเขาไปกั๋น
แยกจากเฮานั้น...ค่อยเป๋นค่อยไป
.
ความคิดของ "สุเทวฤาษี" นั้นสอดคล้องกับหลัก "เศรษฐศาสตร์เมือง" (Urban Economic) ในปัจจุบันอย่างมาก ทั้งในเรื่องของความหนาแน่นของประชากร ปัญหาความยากจน ชุมชนแออัด การจราจร มลภาวะ และ อาชญากรรม ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มี "นวัตกรรม" ที่ทันสมัย จึงต้องอาศัย "กลศาสตร์ทางจิต" (Mind over Force Field) เข้ามาทดแทน !
.
"สุเทวฤาษี" จึงได้ปรึกษากับ "สุกกทันตฤาษี" สหายจากเมืองละโว้ถึงวิธีการที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าว !
.
แรกเริ่มพระฤาษีทั้งสองได้พากันนึกไปถึงเหตุการณ์ที่นครเวสาลีในสมัยพุทธกาล ซึ่งเกิดปัญหา "ทุพภิกขภัย" (การกักตุนอาหาร) "พยาธิภัย" (โรคระบาด) "อมนุษย์ภัย" (อิทธิพลเถื่อน) อันเป็นผลมาจากชุมชนแออัดในตัวมหานคร !
.
ซึ่งการแก้ไขปัญหาในครั้งนั้นได้มีการบรรยายไว้ในเชิง "กฤษดาภินิหาร" ว่า เพียงแค่ "พระพุทธองค์" เสด็จมาด้วยพระองค์เอง และให้ "พระอานนทเถรเจ้า" สวดคาถา "รัตนปริตร" เดินประพรมน้ำมนต์ทั่วพระนครเพียงสามวันปัญหาทุกอย่างก็คลี่คลายไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ !!!
.
แต่กลับไม่มีการบันทึกไว้อย่างเป็น "รูปธรรม" ว่า "รัตนปริตร" เพียงบทเดียวนั้นแก้ปัญหาได้อย่างไร...!??
.
"สุกกทันตฤาษี" จึงได้ทำการ"ถอดรหัส" ของเหตุการณ์อันอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของวิกฤตการณ์ในครั้งนั้นด้วยว่า "ปัจจัยหลัก" ในการแก้ปัญหาก็อยู่ที่ หัวใจของพระคาถา "รัตนปริตร" นี้เอง !
.
คือในท่อนที่ลงท้ายทุกประโยคว่า
.
"เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหนตุ"
แปลว่า "ด้วยสัจจวาจานี้ - ขอจงมีความสวัสดี" !!
.
"สัจวาจา / สัจบารมี" คืออะไร...!?
.
เป็นที่รู้กันดีว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญบารมีหลายร้อยชาติ ก่อนที่จะบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ซึ่ง "สัจจบารมี" เป็นหนึ่งในบารมีสิบอย่างที่สำคัญในการบรรลุอรหัตผล !
.
"สัจจบารมี" ใช้แก้ปัญหา "ชุมชนแออัด" ได้อย่างไร !?
.
ด้วยการบำเพ็ญบารมีอย่างยิ่งยวดมาเป็นเวลานานเช่นนี้จึงทำให้ "สัจจบารมี" ของพุทธองค์นั้นเหนือกว่าปุถุชนทั่วไปมาก จน "กระแส" จากตัวของพระองค์ สามารถทำให้ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกลับตัวจาก "คนชั่ว" กลายเป็น "คนดี" ได้ !
.
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือในชาติที่ทรงกำเนิดเป็นพระโพธิสัตว์นาม "วิทูรบัณฑิต" ซึ่งพระองค์ได้รักษา "สัจจบารมี" อย่างยิ่งยวดด้วยการยอมมอบชีวิตให้กับ "อมนุษย์" (คนพาล) คือ "ปุณกยักษ์" ตามคำขอของพระราชา แต่สุดท้ายคนพาล ก็ไม่สามารถทำอันตรายพระองค์ได้ ! ซ้ำยังกลับตัวเป็นคนดีภายหลังได้รับการสั่งสอน !
.
เหตุการณ์เดียวกันนี้ได้เกิดขึ้นอีกครั้งกับ "โจรองคุลีมาล" ซึ่งกลับตัวได้เพียงในชั่วเสี้ยวอึดใจภายหลังจากที่ได้สนทนากับพุทธองค์ ซึ่งก็เป็นผลมากจาก กระแสแห่ง "สัจจบารมี" ที่พุทธองค์ได้ทรงบำเพ็ญมาแต่ในพระชาติของ "วิทูรบัณฑิต" จนกลายมาเป็น "กระแสความดี" ที่สามารถเปลี่ยน "คนพาล" ให้กลายเป็น "คนดี" ในชั่วพริบตาได้ !
.
สิ่งที่เกิดขึ้นที่เมืองเวสาลีก็คือพระองค์ทรงใช้ "สัจจบารมี" ของพระองค์เป็น "ขุมพลังงานหลัก" และให้พระอานนท์ทำหน้าที่เป็น "ผู้ถ่ายเทกระแส" ! ซึ่ง "กระแส" ที่ว่านี้ก็คือน้ำมนต์ "รัตนปริตร" อันมีคำลงท้ายในทุกวรรคตอนว่า
.
"...เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหนตุ..."
.
แปลว่าเป็นภาษาไทยว่า
.
"...ด้วยสัจจวาจานี้ ขอจงมีความสวัสดี..."
.
เป็นการนำเอากระแส "สัจบารมี" ของ "พุทธองค์" ที่เปลี่ยน "คนชั่ว" ให้เป็น "คนดี" ได้ ผ่านน้ำมนต์ไปประพรมรอบเมืองเป็นเวลาสามวัน
.
----------------------------
"สัจจบารมี" พร้อมกับกระแสของพุทธองค์ที่ไปประทับอยู่ที่นั่นได้สร้างทั้ง "อนุสาสนียปาฏิหารย์" (ปาฏิหารย์จากคำสอน) และ "อิทธิปาฏิหารย์" (ปาฏิหารย์จากฤทธิจากใจ) ด้วยการทำให้ "คนพาล" (อิทธิพลเถื่อน / อมนุษย์) ทั้งหมดยกเลิกการกระทำความชั่วด้วยการ "รีดนาทาเร้น" ชาวบ้านอย่างเด็ดขาด !
.
เมื่อไม่มีการ "รีดนาทาเร้น" ชาวบ้าน ! ปัญหา "ทุพภิกขภัย" (การกักตุนอาหาร) ก็หมดไป ! พืชพันธุ์ธัญญาหารที่เคยใช้บริโภคและหยูกยาก็กลับมาบริบูรณ์ดังเก่า ! ปัญหา "พยาธิภัย" (โรคระบาด) จึงหมดไปเช่นกัน ! จึงนับเป็นการใช้คำสอนใน "พุทธศาสตร์" มาประกอบกับพิธีกรรมทาง "ไสยศาสตร์" เพื่อแก้ปัญหาทาง "เศรษฐศาสตร์" ได้อย่างลงตัว !!!
.
------------------------------
"สุเทวฤาษี" และ "สุกกทันตฤาษี" ครั้นถอดรหัสของเหตุการณ์ดังกล่าวได้ ต่างก็สังวรณ์ว่าแม้ตนจะเป็น "ฤาษี - ผู้มีฤทธิ์" หากแต่ฤทธิ์ของพวกตนนั้นยังไม่อาจเทียบกับ "สัจจบารมี" ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ การณ์นี้จำต้องอาศัยพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญามาเป็นผู้ประกอบพิธีเท่านั้นจึงจักสัมฤทธิ์ผล
.
และแม้จะได้พระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญามาเป็นเจ้าพิธี ! แต่หากเมื่อเวลาผ่านค่อนไปถึง "กึ่งพุทธกาล" เข้า ! จิตของผู้คนจะตกต่ำลงจนอยู่ห่างไกลพระศาสนา !! ถึงเวลานั้นแม้จะยังมีพระสงฆ์ผู้ทรงอภิญญาหลงเหลืออยู่ แต่พิธีการดังกล่าวจะหมดสิ้นความศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นเพียง "ปาหี่" ไปก็เท่านั้น !
.
ทั้งสองจึงได้ตกลงใจว่าอย่างไรก็จะต้อง "สร้างเมืองใหม่" เพื่อมาแก้ไขปัญหาชุมชนแออัดที่เกิดขึ้นในยุคนั้น ดังว่า
.
จักต้องแป๋งเมือง...ตั้ดที่หนไกล๋
หื้อหมู่เขาไป...อยู่กั๋นที่หั้น
จัดแยกเป๋นส่วน...เป๋นกระบวนนั้น
หมู่ไผหมู่มัน...ป๋นกั๋นบ่ได้
.
ครั้นแล้วจึงนึกไปถึงสหายอีกตนหนึ่งคือ "อนุสิษฏ์ฤาษี" ผู้มีอิทธิฤทธิ์และความถนัดในทางการช่างซึ่งเป็นผู้สร้างเมือง "ศรีสัชนาลัย" !!! ทั้งสองจึงเดินทางไปเพื่อขอคำชี้แนะอันเกี่ยวแก่ทำเลที่ตั้งของเมือง ! รวมทั้งขอ "ผังอำนาจจิต" เพื่อให้สามารถกำหนด "ฤทธิ" และการ "ตั้งธาตุ" อย่างเหมาะสมสำหรับการเนรมิตเมืองใหม่ให้สมใจปรารถนา !
.
-----------------------------
"ผังอำนาจจิต" หรือ "ผังเมือง" ที่อนุสิษฏ์ฤาษีได้มอบให้แก่สุเทวฤาษี และ สุกกทันตฤาษี นั้นมีความผิดแผกแตกต่างจากผังเมืองที่จัดทำโดยวิศวกรโยธาในสมัยปัจจุบัน ! เพราะเป็นเรื่องของ "กลศาสตร์ทางจิต" (Mind over Force Field) หรือการสร้างเมืองโดย "อำนาจจิตเหนือสนามพลังงาน" ไม่ใช่ "กลศาสตร์ฟิสิกส์" อย่างที่วิศวกรในปัจจุบันจะเข้าใจ
.
ปัจจัยพื้นฐานของการสร้างเมืองของ "พระฤาษี" นั้นไม่ได้อยู่ที่ "พิมพ์เขียว" หรือ "เสาเข็ม" หากแต่อยู่ที่ "พระปถมัง" คือตำราวิชาไสยศาสตร์ที่มุ่งเน้นให้ผู้ศึกษาเข้าใจและเข้าถึงพลวัตของการ "จุติ - อุบัติ" ของจักรวาล เพื่อที่จะนำพลังงานดังกล่าวมาก่อให้เกิดเป็นคุณประโยชน์ในทาง "คงกระพัน - มหานิยม" (Hard Power / Soft Power) อันเปนคุณลักษณะพื้นฐานของรัฐ
.
แล้วจึงเป็นเหตุให้ "คงกระพัน - มหานิยม" (Hard Power / Soft Power) เป็นพื้นฐานโยงไปยัง "รัฐ - เศรษฐศาสตร์" (วิเสสิกา) ก่อนแตกแขนงไปสู่
.
คงกระพัน - (ปราการ)
ชาตรี - (การทูต)
แคล้วคลาด - (ค้าขาย)
มหาอุจ - (พุทธศาสนา)
แต่งคน - (ขุนทหาร)
.
ที่จะนำไปสู่ "ธนุรเวท" หรือ "นีติประกาศิตา" คืออำนาจที่ทำให้กฎหมายในเมืองศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหมดเพื่อนำไปสู่ "นารายณพล" หรือกำลังของ "พระราชา" เพื่อการสั่งสมบารมีไปสู่ "สัมโพธิญาณ" ต่อไป !
.
คำสอนใน "พุทธศาสตร์" เพื่อหลุดพ้นจากความทุกข์ ! พิธีกรรมทาง "ไสยศาสตร์" เพื่อผูกจิตใจผู้คนในสังคม ! และ "เศรษฐศาสตร์" จึงไม่ใช่สิ่งที่จะเรียนแบบแยกกันในสังคมแบบโบราณ ซึ่งแตกต่างจากในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง
.
"พิมพ์เขียว" ที่ "อนุสิษฏ์ฤาษี" มอบแด่สหายทั้งสองกลับมาสร้างเมืองนั้นก็คือ "เกล็ดหอย" ที่ภายในบรรจุด้วย "ธาตุ" และ "แก้วมณี" สี่ชนิดไว้สำหรับการ "หนุน" ระหว่างกันและกันให้บังเกิดการแปรรูปไปตาม "ฤทธานุภาพ" ตามแต่ผู้มีกำลังจิตระดับใดจะบันดาลให้เป็นไปได้
.
ซึ่งธาตุและแก้วมณีสี่นั้นก็คือ !
.
๑. นะ แก้วมณีโชติ ได้แก่ อาโปธาตุน้ำ
๒. มะ แก้วไพฑูรย์ ได้แก่ ปฐวีธาตุดิน
๓. อะ แก้ววิเชียร ได้แก่ เตโชธาตุไฟ
๔. อุ แก้วปัทมราช ได้แก่ เตโชธาตุลม
.
"นะ" คืออักขระแรกที่ "ท้าวสหัมบดีพรหม" เพ่งฌาณลงมาเห็นเมื่อครั้งกำเนิดสรรพสิ่ง จึงเรียกเป็น "นะ" ปฐมกัปป์ สื่อถึงขุมพลังงานกำเนิดสสารตัวแรก ! ส่วน "มะ อะ อุ" หรือที่รวมกันว่า "โอม" สื่อถึงสุรเสียงของ "พระศิวะ / นารายณ์ / พรหม" หมายถึงพลังงานของการ "เกิดขึ้น / ตั้งอยู่ / ดับไป"
.
-----------------------------
ทั้งสามเป็น "ขุมพลังงานหลัก" ของจักรวาลที่ต้องเข้าให้ถึงตามหลักการของคัมภีร์ "พระปถมัง" ในผังอำนาจจิต เพื่อให้เกิด "อำนาจทางความคิด" มาเสกสรรปั้นสิ่งจาก "สรรพสิ่งเล็กๆ" ให้เป็น "สรรพสิ่งใหญ่ๆ" ได้ !
.
จากนั้นเมื่อได้ "ครอบธาตุ" ด้วย "นะ ชา ลี ติ" อันเปนหัวใจของกระแสแห่ง "สักการะบารมี" ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ "พระสีวลี" เอาไว้ ! อันแสดงออกถึงกำลังค่าแห่งความเพียรเพื่อความสมบูรณ์ของโภคทรัพย์คือ
.
"นะ" หมายถึง นอบน้อม มีสัมมาคาราวะ
"ชา" หมายถึง ขวนขวายเรื่องการงาน
"ลี" หมายถึง ไม่นอนมาก ไม่นอนดึก ไม่ตื่นสาย
"ติ" หมายถึง ว่าโดยทั้งหมด
.
เหล่านี้เมื่อได้มีการนำมา "จัดวาง" ภายใต้ "เอกัคคตารมณ์" หรืออารมณ์แห่งฌาณที่รวมเป็นหนึ่ง ย่อมบันดาลให้ดินแดนรกร้าง ถูกสรรสร้างหรือ "เนรมิต" ให้กลายเป็นดินแดนแห่งความอุดมสมบูรณ์ด้วย "โภคทรัพย์" ได้
.
การบันดาลให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในทาง "ไสย์ศาสตร์" และ "วิศวกรรมศาสตร์" ที่จริงแล้วมีหลักการที่คล้ายคลึงกันนั่นก็คือ ! สิ่งที่ต้องการจะบันดาลให้เกิดนั้นจะต้องมีความ "พ้องรูป" กับ "พิมพ์เขียว" หรือ "จิตอธิษฐาน" ในครั้งแรก ! จะต่างกันออกไปก็เพียงแต่ "อัตราส่วน" หากแต่ "ตัวธาตุ" ยังคงเดิม !
.
ตามหลัก "เศรษฐศาสตร์เมือง" (Urban Economic) ระบุว่าปัจจัยที่จะก่อให้เกิดความเป็น "เมือง" ขึ้นมานั้นอยู่ที่ขนาด / ความหนาแน่นของประชากร / บทบาท (Function) / กฎหมายและการบริหาร / รวมทั้งประวัติความเป็นมา
.
เมืองแต่ละเมืองจะต่างกันเพียงในเรื่อง "อัตราส่วน" เช่นในสหรัฐฯ มีการกำหนดว่าพื้นที่เมือง (Urban Place) ต้องมีประชากร ๒,๕๐๐ คน ! ส่วนศูนย์กลางของเมืองใหญ่ๆ ต้องมีประชากร ๕๐,๐๐๐ คน ! ในขณะที่ประเทศเนเธอร์แลนด์กำหนดว่าพื้นที่เมืองต้องมีประชากรเพียง ๒๐,๐๐๐ คน !
.
เมื่อหลักของความ "พ้องรูป" / "พ้องสาร" มีความคล้ายคลึงกัน ! ต่างกันแค่เพียงอัตราส่วน ! "เกล็ดหอย" เพียงเกล็ดเดียว ที่มีการ ตั้งและหนุน "ธาตุ" ด้วย "นะ มะ อะ อุ" เรียบร้อยแล้ว !! และได้มีการ "ครอบธาตุ" ด้วย "นะ ชา ลี ติ" หรือ "หัวใจพระสีวลี" อันเปนปัจจัยแห่งความสมบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์ จึงสามารถนำมาเป็น "แม่พิมพ์" หรือ "ปลุกเสก" ให้เป็นเมืองได้ !!!
.
ศาสตร์อีกแขนงสำหรับการสร้างเมืองในยุคพระเวทย์ ก็คือวิชา "แยกจิต / แยกเงา" ! ซึ่งก็อาจมี "ผู้รู้" หลายท่านพยายามอธิบายว่าคือการทำให้เงาบนพื้นหายไปเพื่อ "การล่องหน" !!! ซึ่งเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ! และทำให้ภาพลักษณ์ของวิชา "ศิลปศาสตร์เวทย์มนต์" ตกต่ำลงไปมาก !!!
.
การ "แยกเงา" ได้รับการบันทึกไว้ครั้งแรกในพุทธประวัติในตอนที่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จไปงานแรกนาขวัญ แล้วทรง "เข้าฌาณ" ใต้ต้นหว้า จนเงา ณ ที่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อนไปตาม "มิติของกาลเวลา" ตามที่ควรจะเป็น ! นั่นเป็นเพราะ "อำนาจจิตเหนือสนามพลังงาน" (Mind over Force Field) หรือ "อำนาจฌาณ" นั่นเองที่ทำปฏิกิริยากับ "สนามเวลา" จนส่งผลเช่นนั้น
.
"มิติของเวลา" (Interstellar Dimension) เป็นสิ่งที่เคยถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ !! และวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ก็กำลังพยายามขบคิดและค้นหาเครื่องมือที่จะนำเอา "ค่าพลังงาน" จากมิตินั้นมาก่อให้เกิดประโยชน์ต่อโลกในยุคปัจจุบัน ซึ่งความจริงเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับตำนาน "มูลศาสนา" ทุกประการ ! เพียงแต่อธิบายกันคนละแบบ !!
.
เมือมาประกอบกับการ "แยกจิต" คือวิชาสมาธิชั้นสูงของ "งานช่างสิบหมู่" ว่าด้วยการใช้มือสองมือ วาดลายเส้นอันปราณีตที่แตกต่างกันภายใน "ห้วงเวลา" เดียวกันได้ ! เมื่อนั้นทักษะการ "แยกจิต / แยกเงา" นี้เองที่กลับกลายมาเป็น "ค่าพลังงาน" สูงสุดในการก่อให้เกิดสิ่งที่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ไม่เข้าใจจนต้องบัญญัติศัพท์ใหม่ใช้ว่า "ปาฏิหารย์" !!!
.
ครั้นเมื่อพระฤาษีสำรวมจิตลงใน "เอกัคคตารมณ์" กำหนด "ฌาณ" เป็นปฐมเพื่อ "ตั้งธาตุ" และ "หนุนธาตุ" ในเกล็ดหอยเรียบร้อยแล้ว ! จึงได้กำหนดนึกภาพพระนครจนปรากฎเป็น "ปฏิภาคนิมิต" แล้วทำให้เป็นจริงขึ้นมาด้วย วิชา "แยกจิต / เแยกเงา" อีกครั้งหนึ่ง ดังว่า...!
.
อัศจรรย์กำแล้ว...ในชั่วพริบต๋า
กำแพงพารา...ขึ้นมารอบเมือง
คูน้ำรายล้อม...ปราก๋ารต่อเนื่อง
มลังเมลือง...ลานหลวงใหญ่หน้อย
.
งามล้ำปราสาท...ราชวังเรียบร้อย
มณเฑียรหอคอย...เหมือนลอยจากฟ้า
งามตึงดอกไม้...อุทธยานลานต๋า
โรงช้างโรงม้า...ยายมาอยู่หั้น-
.
คำอธิบายที่ง่ายที่สุดต่อเหตุการณ์ดังกล่าวก็คือ "สนามเวลา" ณ ตรงที่พระฤาษีร่ายเวทย์ให้กลายเป็นเมือง "หริภุญไชย" ในตอนนั้น ! ถูกทำให้นั้นเป็น "คนละเวลา" กับกาลเวลาของปัจจุบันทีกำลังดำเนินอยู่ !! ในทำนองเดียวกับเหตุการณ์ "ล็อคสนามเวลา" ในอดีตเมื่อครั้งพุทธกาล !
.
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ "ธาตุ" และ "สสาร" ต่างๆ ที่อยู่ในบริเวณ "เกล็ดหอย" ศักดิ์สิทธิ์นั้น ! มีการขยายตัว หดตัว ระเหิด ระเบิด แทรกซึม ซ้อนทับ ปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ ไปตาม "กฎแห่งกาลเวลา" ที่ถูกอำนาจ "ฌาณ" เข้าควบคุมไว้อีกทีหนึ่ง ! แล้วจึงกลายเป็นเมือง "หริภุญไชย" ได้ในเวลาอันสั้น !!!
.
สถาปัตยกรรมหลายแห่งในโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "เทวสถาน" / "วิหาร" อันเป็นแหล่งรวมของกระแสแห่งความศรัทธา ! ก็ถือกำเนิดขึ้นมาด้วยวิวัฒนาการของ "กลศาสตร์ทางจิต" (Mind over Force Field) ที่คล้ายคลึงกัน !! ซึ่งเมื่อคนในโลกยุค "วัตถุนิยม" / "ทุนนิยม" หาคำอธิบายไม่ได้ จึงได้แต่กล่าวว่างมงาย หรือยกความชอบให้ "มนุษย์ต่างดาว" ไปก็เท่านั้น !
.
"อำนาจแห่งกาลเวลา" นั้นไม่ใช่สิ่งที่สมควรนำมาล้อเล่น และถึงแม้จะปรารถนาเช่นนั้นก็ใช่ว่าจะ "หยิบยืม" มาเพื่อให้เกิดประโยชน์ส่วนตนได้โดยง่าย เพราะอำนาจที่เกิดจาก "ฌาณ" ในระดับที่จะเข้าสู่ขุมพลังมหาศาลนั้นราวกับว่าได้ถูกปิดตายลงด้วยคำนิยามของโลกแห่ง "ทุนนิยม" / "วัตถุนิยม" ไปแล้ว
.
โลกที่ให้คุณค่ากับ "จิตใจ" น้อยกว่า "วัตถุ" ! และให้คุณค่าของ "ภาพลักษณ์" กับ "Branding" อยู่เหนือ "จริยธรรม" และ "สัจจะ" !! จะไม่มีวันเข้าถึง "คัมภีร์พระปถมัง" ที่เป็นปฐมบทแห่งการฝึกจิตเพื่อเข้าสู่ระดับ "นารายณ์พล" ที่จะดึงอำนาจจากสนามพลังงานที่อยู่เหนือมิติของวัตถุมาใช้ได้ !!!
.
แม้กระนั้นก็ยังคงมีพลังงานรูปแบบหนึ่งที่อาจ "อยู่เหนือกาลเวลา"
.
นั่นคือพลังของ !!!!...ความรัก...!!!!
.
เพราะ "ความรัก" นี้เองคือพลังงานที่ทำให้ดวงจิตถูกดึงดูดเข้าหากันได้อยู่เสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด ! "กาลเวลาพิสูจน์รัก" จึงอาจไม่ใช่คำที่ดูเชยจนเกินไป เพราะไม่ว่าจะเป็นใน "ยุคพระเวทย์" หรือ "ยุคทุนนิยม" ความรัก ก็สรรสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้เสมอมา !
.
แม้ว่า "ความรัก" จะไม่สามารถควบคุม "กาลเวลา" เหมือนกับอำนาจ "ฌาณ" ได้ !! แต่ความรัก ก็ได้ท้าทายกาลเวลาด้วยการพิสูจน์ให้เห็นถึง "รักแท้" ที่ไม่แพ้การรอคอยอยู่เสมอ ! เมื่อสนามแห่งกาลเวลามาบรรจบ !! ก็อาจพบกับคนรักที่รอคอยมานานชั่วชีวิต !! และตำนาน "พระฤาษีสร้างเมือง" ก็อาจเป็นเพียง "จุดเริมต้น" ของเรื่องมหัศจรรย์อีกมากมายเท่านั้นเอง !
.
สร้างสรรค์บทความโดย
.
//The Chariot
.
เนื้อหาบางตอนจาก
.
มหาเวย์มวยไทย : อัตถนิช โภคทรัพย์
ตำนานพื้นบ้านจามเทวี : สำราญ กาญจนคูหา
ล้านนาศึกษา / ไทศึกษา : ดร. เพ็ญสุภา สุขคตะ
คัมภีร์ไสยศาสตร์ฉบับสมบูรณ์ : อาจารย์ญาณโชติ
คัมภีร์พุทธมนต์โอสถ : อาจารย์ เทพย์ สาริกบุตร
อานุภาพพระปริตร : สนพ. เลี่ยงเซียง พุทธศาสน์
เศรษฐศาสตร์เมือง : โสมสกาว เพชรานนท์
ทศชาติชาดก / องคุลีมาล : สนพ. อมรินทร์
.
pic. CH3 Thailand : ละคร นาคี, 2559
pic. CH3 Thailand : เล่ห์บรรพกาล, 2561
.
***วัตถุประสงค์ของการจัดทำคือการเชิดชู "ศาสตร์" และ "เกียรติยศ" ของบรรพชนไทย ซึ่งแนวทางที่ผู้เขียนเห็นว่ามีเหมาะสมสำหรับยุคปัจจุบันคือการถ่ายทอดผ่าน "เกร็ด / เรื่องสั้นเชิงนิยายอิงประวัติศาสตร์" ตามที่ได้ระบุไว้ในวัตถุประสงค์ของเพจ***
โฆษณา