Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Abyss_Abyzz
•
ติดตาม
21 ก.พ. 2021 เวลา 05:44 • ปรัชญา
“น่าเบื่อฉิบหายเลยว่ะ กูว่าจะลาออกว่ะ ครั้งนี้กูเอาจริงแน่” บทสนทนาเดิมๆถูกพูดขึ้นมาจากเพื่อนในกลุ่มของผม เช่นเคย เป็นสิ่งที่มนุษย์เงินเดือนทุกคนต้องเจอ ความเบื่อหน่ายในการทำงานหรือการไม่ลงรอยกันกับหัวหน้างานเป็นเรื่องที่พบได้ในทุกบริษัท
“เออ พอได้มานั่งกินก๋วยจั๊บร้านนี้ แล้วก็นึกถึงไอ้บีมเนอะ” จริงซินะ บีม ชอบก๋วยจั๊บร้านนี้มากเป็นพิเศษ เด็กจบใหม่คนนี้มักจะชวนพวกเรามากินร้านนี้อยู่เสมอทุกครั้งที่มีโอกาส
บีม เป็นเด็กสาวเพิ่งจบใหม่จากรั้วมหาวิทยาลัยในภาคเหนือ สดใส พร้อมที่จะเรียนรู้ และมีความมุ่งมั่น เรียกได้ว่าเป็นเด็กกิจกรรมตัวยง
หลังจากเรียนจบ บีม ก็มาสมัครงานที่บริษัทที่ผมทำงานอยู่เป็นที่แรก และได้เข้าทำงานในฝ่ายบุคคล สัมผัสได้เลยว่าน้องสาวคนนี้มีความสุขกับการทำงานที่นี่ ผมกับบีมได้มีโอกาสพูดคุยกันอยู่บ่อยๆ จนเป็นเพื่อนที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันในที่สุด
เวลาผ่านไปเพียงหกเดือนเท่านั้น บีมที่ทุกคนจดจำว่าเป็นเด็กแข็งแรงและสดใส ก็เปลี่ยนเป็นเด็กสาวที่ไม่แข็งแรงและป่วยอยู่บ่อยๆ น้องเล่าว่าช่วงหลังมานี้มักจะปวดหัว นอนไม่หลับ และบางวันก็เริ่มมีอาการแขนอ่อนแรง หยิบจับสิ่งของหรือยกแขนขึ้นไม่ได้ตามที่ต้องการ พวกเราแนะนำให้น้องลองไปหาหมอ เพื่อตรวจร่างกายดู แต่แน่นอนว่าน้องไม่ยอมไป “หนูมันถึกอยู่แล้วพี่ ไม่ต้องห่วง แค่นี้ชิลๆ” จนเวลาล่วงเลยผ่านไป
เที่ยงวันหนึ่งขณะที่ผมนั่งกินข้าวอยู่ที่ร้านข้างๆออฟฟิศ เที่ยงวันนั้นอากาศร้อนมากจนผมไม่อยากเดินออกไปไหนไกล มีรุ่นน้องคนหนึ่งได้โทรมาหาผม บอกว่าบีมไม่สบาย ปวดหัว ยกแขนไม่ได้ และเดินลำบากก้าวขาไม่ออก กำลังจะพาไปนอนพักที่ห้องพยาบาล ให้ผมรีบมาช่วยหน่อย
เมื่อผมมาถึง บีมนอนนิ่งอยู่บนเตียงในห้องพยาบาล สีหน้าไม่ค่อยดีนัก น้องบอกเราว่าปวดหัว และแขนข้างขวาไม่มีแรง สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นได้คือมุมปากของน้องตกลง พวกเราตัดสินใจทันทีว่าต้องพาน้องไปส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด ผมขับรถพาบีมไปส่งโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุด บีมเข้าห้องฉุกเฉินทันที ไม่นานนักหมอก็บอกกับผมว่าบีมมีอาการของเส้นเลือดในสมองแตก เป็นเส้นเลือดฝอย อาจจะยังไม่ต้องผ่าตัดแต่ต้องได้รับยาและพักฟื้น
ไม่น่าเชื่อว่าเด็กผู้หญิงที่เพิ่งจะเรียนจบคนนี้จะเป็นโรคเส้นเลือดในสมองแตก อายุยังน้อย และแข็งแรงมาตลอด บีมต้องพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลประมาณสองสัปดาห์ก่อนจะกลับมาทำงานได้อีกครั้ง พวกเราเบาใจว่าน้องแข็งแรงขึ้นแล้ว
ผ่านมาประมาณหนึ่งเดือนหลังจากที่บีมออกจากโรงพยาบาล อาการของบีมก็เกิดขึ้นอีก แต่ครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งที่ผ่านมามาก
“หนูจะตายมั้ยพี่” บีมถามผมขณะที่นอนอยู่ในห้องฉุกเฉิน
“อย่าบอกพ่อหนูนะพี่ ไม่อยากให้เค้้าเป็นห่วง” ผมได้พูดคุยกับหมอเจ้าของเคส ซึ่งหมอแจ้งกับเราว่า บีม ต้องเข้ารับการผ่าตัดสมอง เพราะครั้งนี้เส้นเลือดที่แตกเป็นเส้นที่มีขนาดใหญ่ เลือดที่ไหลออกมาค่อนข้างเยอะและเริ่มกดทับที่สมอง
บีม ได้คิวผ่าตัดที่สถาบันประสาทวิทยาในช่วงปลายปี ก่อนวันขึ้นปีใหม่เพียงสองวัน ระหว่างนี้หมอให้น้องพักที่โรงพยาบาลอีกหนึ่งอาทิตย์ ก่อนกลับไปพักฟื้นต่อที่บ้านเพื่อเตรียมตัวเข้ารับการผ่าตัด
“การผ่าตัดสมอง มีความเสี่ยงสูงนะครับ ผลที่ได้นั้นอาจออกมาได้สามแบบ น้องอาจจะดีขึ้นแต่ต้องยอมรับนะครับว่าน้องจะไม่เป็นปกติเหมือนเดิม หรือน้องอาจจะเป็นเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง อาการป่วยอาจจะยังคงอยู่ หรือสุดท้าย น้องอาจจะไม่ได้ออกมาจากห้องผ่าตัดนะครับ” หมอเจ้าของไข้ของบีมบอกข้อมูลนี้กับพวกเรา
ในช่วงแรกก่อนที่บีมจะกลับบ้าน ผมจะไปเยี่ยมน้องทุกครั้งที่มีโอกาส บีมที่ผมจำได้นั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว น้องซึมเศร้า ร้องไห้ทุกครั้งที่ต้องอยู่คนเดียว และต้องเข้ารับการทำกายภาพบำบัด แขนและขาของบีมเริ่มที่จะขยับไม่ได้ดั่งที่ต้องการ ผมได้แต่เฝ้าบอกน้องว่า “ไม่เป็นไร เดี๋ยวมันก็จะดีขึ้นนะ โอกาสที่น้องจะหายยังมีนะ” คำปลอบโยนเหล่านี้เหมือนไปไม่ถึงใจของน้องเลยสักครั้ง
แววตาของน้องสาวที่ผมรู้จักมันเปลี่ยนไปแล้ว มันเต็มไปด้วยความกังวลและท้อแท้
“ถ้าบีมหายนะ พี่สัญญา พี่จะเลี้ยงโกโก้ปั่นร้านหน้าปากซอยเดือนนึงเลย โอเคป่ะ” ผมบอกกับบีมเพื่อให้น้องยิ้มขึ้นมาบ้าง “โอเคค่ะพี่ พี่สัญญากับหนูแล้วนะ” บีมไม่ได้ยิ้มตอนที่ตอบผม
“หนูน่าจะตายไปเลยนะพี่ ทุกคนจะได้ไม่ต้องลำบาก นี่พ่อก็ต้องบินมาจากบ้าน มาเฝ้าหนู”
วันสุดท้ายก่อนที่น้องจะบินกลับบ้าน บีมขอเข้ามาที่บริษัท เพื่อเก็บของส่วนตัว และจะได้มีโอกาสได้ร่ำลากับเพื่อนร่วมงานในแผนก
บีมเดินด้วยตัวเองไม่ได้ ต้องให้คุณพ่อประคองมานั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเอง เพื่อนร่วมงานทุกคนเข้ามาหาน้อง สวมกอดและให้กำลังใจน้องก่อนเข้ารับการผ่าตัด
“พี่ๆรู้มั้ยว่าหนูรักงานที่นี่มากแค่ไหน ช่วงหลังมานี้หนูฝันบ่อยๆ ว่าได้กลับมาทำงาน เนี่ยหนูยังขึ้นเวทีงานเลี้ยงประจำปี เป็นพิธีกรคู่กับพี่ดี้อยู่เลย”
ไอ้เจ้าดี้มองหน้าน้อง แล้วยิ้มเขิลๆ
“หนูจะกลับมาให้ได้ หนูสัญญา ตอนนี้หนูขอแค่หายป่วยและได้กลับมาทำงาน ได้กลับมาเจอพี่ๆ ได้กลับมานั่งที่โต๊ะตัวนี้ แค่นี้แหละ ตอนนี้ ชีวิตหนูไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว” พวกเราสวมกอดกันครั้งสุดท้ายก่อนจะส่งน้องขึ้นรถที่คุณพ่อของน้องจอดรออยู่
“แล้วเจอกันนะค่ะ ทุกๆคน”
หลังจากวันนั้น ผมก็ไม่สามารถติดต่อบีมได้อีกเลย
วันขึ้นปีใหม่ได้ผ่านไปแล้ว...
ประกาศจากฝ่ายบุคคลได้ติดอยู่ที่บอร์ด แจ้งสถานะการพ้นสภาพของพนักงาน ต้นปีนี้มีพนักงานหลายคนลาออก โบนัสคงได้ไม่เยอะอย่างที่หวังไว้ล่ะมั้งนะ และแน่นอนผมคิดไว้แล้วว่าต้องมีวันนี้
ชื่อของบีมอยู่ในประกาศฉบับนี้จริงๆ
บีมพ้นสภาพพนักงานด้วยสาเหตุว่่าน้องป่วย ต้องหยุดเพื่อรักษาตัว และไม่สามารถปฎิบัติงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพตามที่บริษัทต้องการได้อีกแล้ว
น้องรับทราบและยินยอมที่จะลาออกจากบริษัท
“การผ่าตัดสมองของบีมได้ผลเป็นที่น่าพอใจ น้องหายจากอาการบาดเจ็บจากการที่มีเลือดไหลในสมอง แต่ต้องทำกายภาพบำบัดเพื่อให้กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติอีกครั้ง รวมไปถึงน้องต้องฝึกควบคุมอารมณ์ ตอนนี้น้องควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ไม่ดีนัก ไม่เหมือนกับคนปกติ” เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลตอบคำถามของผม เมื่อผมถามถึงเหตุผลของการพ้นสภาพพนักงานของน้องสาวคนนี้
เข้าสู่เดือนที่สามของปี บีมได้โทรศัพท์เข้ามาหาผม
“พี่ พรุ่งนี้ออกมาเจอกับหนูที่ร้านหน้าปากซอยได้มั้ย ชวนพี่ทิพย์มาด้วยนะ นี่หนูบินลงมาจากบ้าน เข้ามาเก็บของที่หอพักค่ะ”
“คงไม่ได้กลับมาที่กรุงเทพอีกแล้วนะพี่ พรุ่งนี้พี่มาเจอหนูให้ได้นะ” ผมรับปากบีมว่าต้องได้เจอกันแน่นอน
เมื่อถึงเวลานัดผมเดินเข้าร้านไปพร้อมกับทิพย์ บีมนั่งรอเราอยู่ที่มุมร้าน น้องผอมลงไปมาก มีแผลผ่าตัดที่ศรีษะ ยิ้มสวย และร้องไห้
“หนูขอแค่น้ำส้มนะพี่ โกโก้ปั่น หนูกินไม่ได้แล้วอ่ะ หมอห้าม เสียดายเนอะ พี่อุตส่าห์สัญญากับหนูไว้แล้ว”
บีมเล่าว่าในช่วงแรกน้องจะไม่ค่อยรู้สึกตัว ไม่รู้ว่าตัวเองฝันอยู่หรือว่าตื่นแล้ว ไม่รู้ว่าเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นจริง หรือไม่จริง
อาการทางกายยังพอฟื้นฟูได้ด้วยการทำกายภาพบำบัด แต่ทางจิตใจน้องเล่าว่าค่อยข้างจะรุนแรง น้องควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ โกรธรุนแรง ทำร้ายร่างกายคนรอบข้าง ขว้างปาและทำลายสิ่งของ
ไม่เฉพาะแค่อารมณ์โกรธเท่านั้น แต่อารมณ์เศร้าเสียใจ น้องก็ควบคุมมันได้ยากเช่นกัน
บีมร้องไห้ตลอดระยะเวลาที่เรานั่งคุยกัน อาจจะหยุดร้องได้เป็นพักๆ แต่พอมองหน้าเราสองคนแล้วน้องก็จะร้องอีก ตอนนี้น้องดีขึ้นมาก อาจมีแค่การร้องไห้เท่านั้นที่น้องยังควบคุมไม่ได้เหมือนคนปกติทั่วไป
“หนูทำกายภาพบำบัดเพิ่มเป็นสองเท่าเลยนะพี่ หนูอ่ะอยากให้ตัวเองกลับมาเป็นเหมือนเดิมให้มากที่สุด จะได้กลับมาทำงานได้” บีมยิ้มทั้งน้ำตา
“พี่ดูซิหนูจับแก้ว มือไม่สั่นแล้วนะ” บีมยกแก้วน้ำส้มขึ้นโชว์ให้พวกเราดู มือน้องไม่สั่นเลยสักนิดเดียว
“ตอนที่พี่ฝ่ายบุคคลเค้าโทรมาบอกหนู หนูเสียใจมากเลยนะพี่ หนูกลับมาได้แล้ว หนูขยันทำกายภาพบำบัด เพื่อที่จะกลับไปทำงานให้ได้เร็วที่สุด แต่เค้าไม่เอาหนูแล้ว” ไม่ใช่แค่บีม แต่ทิพย์ก็ร้องไห้ตามน้องไปแล้วเช่นกัน
“ทุกการเปลี่ยนแปลงย่อมมีเรื่องดีเกิดขึ้นเสมอ จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่ที่เราจะมอง วันนี้ขอให้บีมรักษาตัวเองให้แข็งแรง ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวให้เต็มที่ วันข้างหน้าเราค่อยมาหางานที่เหมาะกับเราดีกว่า” ทั้งหมดที่ผมพูดกับบีมได้ มีเพียงเท่านี้
ค่ำวันนั้นผมขับรถไปส่งบีมที่หอพัก ก่อนจะต้องจากกันไกล ผมยังได้มีโอกาสร่ำลาน้องคนนี้อีกสักนิด
“รักษาสุขภาพด้วยนะพี่ ที่ผ่านมา หนูขอบคุณมากนะค่ะ”
“ลาก่อนนะพี่ คงได้เจอกันอีกแหละ มั้ง เนอะ” ผมลืมรอยยิ้มของบีมในคืนนี้ไม่ลงจริงๆ
ทุกวันนี้ผมยังไลน์คุยกับน้องอยู่บ่อยๆ น้องแข็งแรงขึ้นมาก ไม่ร้องไห้แล้ว ยิ้มสวย แขนมีเรี่ยวแรง เดินได้ไกลขึ้นและเริ่มมีความสุขกับงานในสวนผลไม้ของพ่อ
“เออ มึงว่าไงว่ะ กูแม่งเบื่อพี่นุ้ยฉิบหาย มึงว่ากูออกสิ้นเดือนนี้เลยม่ะ จะทิ้งงานไว้ให้แม่งแก้ด้วย ทิ้งขี้ไว้ให้แม่งเลย สะใจ” มันหันมาถามความเห็นผมทั้งที่เส้นก๋วยจั๋บยังเต็มปาก
“แล้วแต่มึง” ผมตอบได้แค่นี้จริงๆ
บันทึก
6
4
6
4
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย